บทที่ 833 : แวมไพร์โชว์ตัว!
  “ห๊ะ!แวมไพร์เหรอ?!”
  “อะไรนะแวมไพร์มีจริงด้วยเหรอนี่?!”
  “แวมไพร์จริงๆน่ะเหรอ!เป็นไปได้ยังไงกัน?”
  “หลิงหยุน..นี่นายไม่ได้จงใจพูดให้พวกเรากลัวใช่มั๊ย”
  ……….
  ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงหยุนพาแวมไพร์กลับมาด้วยบรรดาสาวงามต่างก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงหวู่ เสี่ยวเม่ยหนิง หลินเมิ่งหาน แล้วก็เหยาลู่ที่ร้องถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
  หลังจากที่กงเสี่ยวลู่มู่หลงเฟยจื่อ และซูปิงหยานกลับไปแล้ว ก็ยังเหลือสาวงามอยู่ในบ้านอีกถึงเก้าคน..
  และในบรรดาสาวงามทั้งเก้าคนนั้นคนที่เคยเผชิญหน้ากับแวมไพร์มาด้วยตัวเองก็คือเกาเฉินเฉิน เธอจึงไม่มีท่าทีตกอกตกใจอะไรแม้แต่น้อย..
  ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่เองก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของแวมไพร์มาจากตี้เสี่ยวอู๋บ้างแล้ว อีกทั้งฉินตงเฉี่วยและคนตระกูลฉินต่างก็เคยรู้เรื่องที่แวมไพร์มีอยู่จริงบนโลกใบนี้มาก่อนเช่นกัน
  ด้วยความอยากรู้อยากเห็นประกอบกับความเป็นห่วงเป็นใยในตัวหลิงหยุนหนิงหลิงยู่จึงได้ไปค้นคว้าข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของแวมไพร์มาก่อนหน้านี้ จึงค่อนข้างรู้เรื่องของแวมไพร์ดีกว่าใครๆ
  ส่วนไป๋เซียนเอ๋อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นดูจะสงบนิ่งกว่าใครๆ เพราะเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนพาแวมไพร์กลับมาด้วย ท่าทีของทั้งคู่ก็ไม่ต่างจากกำลังฟังคนพูดคุยเรื่องของดินฟ้าอากาศอยู่
  นั่นเป็นเพราะที่มาของหญิงสาวทั้งคนนั้นไม่ใช่ธรรมดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋เซียนเอ๋อ นางเองก็เป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อหางที่สามงอกสมบูรณ์
  ส่วนเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นก็เป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งเทพธิดาของชาวเหมี่ยวเจียง และเติบโตมากับสภาพแวดล้อมที่มีทั้งเวทย์มนต์คาถา และเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย เรื่องเหนือธรรมชาติจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับเธอเช่นกัน..
  ดังนั้นหญิงสาวทั้งห้าคนจึงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจเพียงแต่ร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเท่านั้น ที่เห็นว่าหลิงหยุนสามารถพากแวมไพร์กลับมาด้วย ก็เท่านั้นเอง..
  ส่วนหลงหวู่เสี่ยวเม่ยหนิง หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอทั้งสี่คนได้ยินว่าแวมไพร์มีอยู่จริง พวกเธอคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น เมื่อได้ยินว่าแวมไพร์มีตัวตนอยู่จริง หญิงสาวทั้งสี่จึงร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าที่ตกอกตกใจอย่างมาก!
  แต่ถึงกระนั้น..พวกเธอก็ได้รับรู้เรื่องราวของไป๋เซียนเอ๋อมาก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งระหว่างที่อยู่กับหลิงหยุน พวกเธอก็ได้พบเห็นเรื่องราวน่าประหลาดใจ และเหลือเชื่อมาไม่น้อย จึงสามารถฟื้นคืนสติได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
  หลังจากที่อึ้งไปเล็กน้อยฉินตงเฉี่วยก็ร้องถามหลิงหยุนทันที
  “เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้าพาแวมไพร์กลับมาด้วยจริงๆงั้นรึ! แล้วเวลานี้เจ้าเอาตัวพวกมันไปไว้ที่ใหน? รีบพาข้าไปดูเร็วเข้า!”
  หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนและตอบกลับไปยิ้ม “น้าหญิง.. ท่านไม่ต้องรีบร้อนนัก ข้าจะเรียกพวกมันออกมาเดี๋ยวนี้แล้ว!”
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตสั่งพอลกับเจสเตอร์ที่เฝ้าโกดังด้านหลัง ให้เข้ามาในห้องรับแขกทันที..
  เพื่อไม่ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายหลิงหยุนจึงได้ให้พอลกับเจสเตอร์ไปรออยู่ที่สวนด้านหลัง และให้ทั้งคู่ทำหน้าที่เฝ้าสองพี่น้องตระกูลเฉินไว้ แต่เวลานี้ทั้งคู่กำลังเดินเข้ามายังห้องนั่งเล่นตามคำสั่งของหลิงหยุน..
  “ไวส์เคาน์พอล..ทำความเคารพเจ้านาย!”
  “ไวส์เคาน์เจสเตอร์..ทำความเคารพเจ้านาย!”
  เมื่อพอลกับเจสเตอร์มาถึงห้องนั่งเล่นทั้งคู่ก็ทำโค้งคำนับทำความเคารพหลิงหยุนตามแบบฉบับของชาวตะวันตก..
  “ว้าว..ที่นี่มีสาวสวยมากมายทีเดียว!”
  หลังจากที่ทำความเคารพหลิงหยุนเรียบร้อยแล้วเจสเตอร์ที่เพิ่งยืดตัวตรงก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยท่าทางดีอกดีใจจนเกินงาม
  หลิงหยุนแสยะยิ้มมุกมปากเล็กน้อยแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แวมไพร์ทั้งสองตนเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าหมายความเช่นใด!
  เมื่อแวมไพร์ทั้งสองตนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วนอกเหนือจากฉินตงเฉี่วย ไป๋เซียนเอ๋อ และเกาเฉินเฉินแล้ว หญิงสาวคนอื่นๆก็ถึงกับก้าวถอยหลังไป เพราะคำว่าแวมไพร์นั้นฟังดูน่าหวาดกลัวไม่น้อยทีเดียว!
  แม้จะดูเหมือนว่าฉินตงเฉี่วยจ้องมองเหล่าแวมไพร์ด้วยสายตาเรียบเฉยที่ไม่สะทกสะท้านเช่นนั้นแต่ความจริงแล้วร่างของนางก็กำลังสั่นไม่น้อยทีเดียว และดวงตาคู่งามนั้นก็กำลังสำรวจพอลกับเจสเตอร์อย่างละเอียดละออ
  เกาเฉินเฉินยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไร..
  ไป๋เซียนเอ๋อผงะและถอยหลังกลับไปเพียงแค่ครึ่งก้าวดวงตาคมมีเสน่ห์อย่างนางจิ้งจอกนั้นหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองแวมไพร์ทั้งสองตนด้วยแววตาเหยียดหยัน ก่อนจะจงใจก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
  แม้ว่าทั้งสามคนจะอยู่ในร่างของมนุษย์แต่พวกเขาก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แท้จริง.. ไป๋เซียนเอ๋อจัดอยู่ในเผ่าพันธุ์ของเหล่าปีศาจ ส่วนเจสเตอร์กับพอลก็คือเผ่าพันธุ์ของผีดูดเลือด เมื่อสองเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์มาพบเจอกัน พวกมันจึงไม่ยอมลงให้กันง่ายๆ
  และหากไม่มีหลิงหยุนอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ดูเหมือนว่าคงต้องเกิดสงครามเผ่าพันธุ์ขึ้นภายในบ้านเลขที่-1 อย่างแน่นอน..
  หลิงหยุนรีบลุกขึ้นยืนและรีบคว้าร่างของไป๋เซียนเอ๋อมาข้างตัวเขาทันทีพร้อมกับกระซิบเสียงเบาว่า
  “เซียนเอ๋อ..ไม่มีอะไร แวมไพร์ทั้งสองต่างก็เป็นบริวารของข้าเอง!”
  ระหว่างที่สาวงามหลายคนยังคงอยู่ในความตระหนกตกใจนั้นหลิงหยุนก็รีบแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน..
  “นี่คือพอลกับเจสเตอร์ทั้งคู่มาจากประเทศ..”
  “พอล..เจสเตอร์.. นี่คือน้าหญิงของข้า ส่วนนี่ก็น้องสาวของข้า – หนิงหลิงยู่ แล้วนั่นก็เสี่ยวเม่ยหนิง หลงหวู่…”
  หลังจากที่แนะนำทั้งสองฝ่ายแล้วหลิงหยุนก็หันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์ว่า..
  “พวกเจ้าทั้งสองจงจำไว้ให้ดี..หญิงสาวทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญของข้า หากข้าไม่อยู่.. คำสั่งของพวกนางจึงเปรียบเสมือนคำสั่งของข้า พวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกนางเช่นเดียวกับที่เชื่อฟังคำสั่งของข้า.. พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
  พอลกับเจสเตอร์รีบพยักหน้ารับคำสั่งและพูดออกมาพร้อมๆกัน “พวกเราน้อมรับคำสั่งครับเจ้านาย!”
  เสี่ยวเม่ยหนิงก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ“พี่หลิงหยุน.. นี่เป็นแวมไพร์จริงๆเหรอ! ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้น่ากลัวเหมือนในหนังเลยล่ะ? หนำซ้ำยังหล่อเหลามากด้วย..”
  สายตาของหญิงสาวคนอื่นๆในเวลานี้ก็บ่งบอกว่ากำลังคิดเช่นเดียวกับเสี่ยวเม่ยหนิง..
  หลิงหยุนหันไปมองเสี่ยวเม่ยหนิงพร้อมกับยักไหล่แล้วจึงพูดขึ้นว่าตอบว่า “หนิงน้อย.. เธออยากจะเห็นแวมไพร์กลายร่างมั๊ยล่ะ ไม่ยาก..”
  หลิงหยุนหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์“พวกเจ้าสองคนกลายร่างให้พวกนางดูเป็นขวัญตาหน่อย!”
  จากนั้นจึงหันไปบอกกับสาวสวยทั้งหมดว่า“ทุกคนจับตาดูให้ดีล่ะ แล้วก็ไม่ต้องตกใจกลัวล่ะ..”
  “ครับเจ้านายที่เคารพ..”
  พอลกับเจสเตอร์ตอบหลิงหยุนพร้อมกันจากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มกลายร่างเป็นแวมไพร์ทันที..
  สิ่งแรกที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือฟันของทั้งคู่เขี้ยวทั้งสองข้างค่อยๆงอกยาวออกมาอย่างรวดเร็ว และริมฝีปากที่ค่อยๆอ้ากว้างขึ้นนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสด..
  “กรี๊ด…”
  ระหว่างที่พอลกับเจสเตอร์ค่อยๆกลายร่างนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังไปทั่วทั้งห้องนั่งเล่น หลงหวู่กับเสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับพุ่งตัวเข้าหาหลิงหยุนทันที..
  แคว๊ก..
  เสียงเสื้อผ้าๆค่อยๆฉีกขาดและร่างของแวมไพร์ทั้งสองตนก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาทั้งสองคน ได้ขยายจนตัวหนาขึ้น และดูแข็งแกร่งมากขึ้น ส่วนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแวมไพร์ที่น่าสะพรึงกลัว..
  “ห๊ะ..ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่เปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว!” หนิงหลิงยู่ที่เฝ้ามองโดยไม่พูดอยู่นาน ในที่สุดก็ร้องอุทานออกมา
  จากนั้น..ปีกสีดำของพอลกับเจสเตอร์ก็ค่อยๆงอกตามขึ้นมา และสยายออกกว้างมากกว่าสามเมตร จนบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น ทำให้ภายในห้องนั้นมืดไปถนัดตา
  “ดูสิ..ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้ว.. แล้วก็มีปีกใหญ่ด้วย!”
  “ขนสีม่วงบนปีกนั่นสวยจังเลย!”
  ระหว่างที่สาวสวยต่างก็ร้องอุทานกันอย่างตื่นเต้นนั้นหลิงหยุนเองก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆว่า ทั้งพอลกับเจสเตอร์ที่ได้รับเลือดของเขาเข้าไปนั้น ดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกวัน จนแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกมันจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใหนกันแน่
  หลังจากที่พอลกับเจสเตอร์กลายร่างเป็นแวมไพร์เต็มตัวแล้วทั้งคู่ก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะขยับปีก และบินขึ้นกลางอากาศโชว์
  “ว้าว..ได้กลายเป็นแวมไพร์ต่อหน้าสาวสวยแบบนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากทีเดียว!”
  เหล่าแวมไพร์นั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษยธรรมดา มักจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก และถึงแม้จะได้รับคำสั่งจากหลิงหยุนให้เชื่อฟังคำสั่งของสาวงามเหล่านี้ แต่ในสายตาของพวกมันก็ไม่ได้เห็นสาวงามเหล่านี้อยู่ในสายตานัก..
  หลิงหยุนเองก็สังเกตเห็นธรรมชาติในข้อนี้ของแวมไพร์อยู่เหมือนกันแต่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็มักจะภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตนเอง และเรื่องของการรับคำสั่งกับความคิดส่วนตัว ก็เป็นคนละเรื่องกัน
  เมื่อเห็นแวมไพร์ทั้งสองตนบินอยู่กลางอากาศเช่นนั้นทั้งฉินตงเฉี่วยกับไป๋เซียนเอ๋อก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนหลังของพวกมันทันที
  หลิงหยุนได้ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยและได้แต่คิดในใจว่า ‘น้าหญิงกับเซียนเอ๋อช่างห้าวหาญเสียจริง!’
  แต่การที่หญิงสาวทั้งสองคนห้าวหาญเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลแม้ฉินตง
เฉี่วยจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5 แต่ความแข็งแกร่งของนางนั้นเทียบเท่าขั้นเซียงเทียน-6 อีกทั้งนางยังฝึกวิชาดาราคุ้มกายด้วย หากต้องประมือกับพอลและเจสเตอร์เวลานี้ นางก็มีโอกาสชนะค่อนข้างสูงมาก
  แต่นั่นหมายถึงการต่อสู้ในภาคพื้นดินเท่านั้นหากแวมไพร์ทั้งคู่บินขึ้นสู่เวหาแล้ว ก็แทบไม่ต้องพูดถึง..
  ส่วนไป๋เซียนเอ๋อที่ไม่เห็นพอลกับเจสเตอร์อยู่ในสายตานั้นเพราะนางมีวิชาจิ้งจอกระเริงไฟ และวิชาฝ่ามือเพลิงสวรรค์ ทั้งสองวิชานี้แม้แต่เอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสก็ยังต้องหวาดกลัว
  แต่แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็วูบขึ้นมาในหัวของหลิงหยุน และดูเหมือนว่าจะสื่อสารไปถึงจิตใจของไป๋เซียนเอ๋อได้ ไป๋เซียนเอ๋อที่ยืนอยู่บนหลังของเจสเตอร์นั้น ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา และเปลวไฟขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลก็ปรากฏขึ้น ทำให้อุณหภูมิภายในห้องนั่งเล่นสูงขึ้นในทันที!
  “ว้าย..”
  หญิงสาวหลายคนกรีดร้องออกมาพร้อมกัน!
  และเพียงแค่ไม่กี่วินาที..หลงหวู่ เกาเฉินเฉิน และเสี่ยวเม่ยหนิงก็ไม่สามารถทานทนต่อความร้อนของเปลวไฟได้อีก และเหงื่อก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุด
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและกำลังจะร้องห้าม แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านมา สายลมเย็นนี้ไม่เพียงสามารถต้านทานความร้อนจากเปลวไฟทั้งสองของไป๋เซียนเอ๋อได้ แต่ยังทำให้ภายในห้องนั่งเล่นกลับมาเย็นได้อีก..
  หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับหันไปมองหลินเมิ่งหานทันทีทั้งคู่สบตากันแต่ก็ไม่พูดอะไร
  ‘ช่างยอดเยี่ยมนัก!ต่อไปพวกนางคงช่วยข้าได้มากทีเดียว..’
  หลิงหยุนแอบดีใจอยู่เงียบๆและรีบสั่งแวมไพร์ทั้งสองตนว่า “เอาล่ะ.. พวกเจ้ารีบกลางร่างขั้นสุดท้ายได้แล้ว..”

บทที่ 834 : ความหมายของการมอบกระบี่!
  เมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนทั้งฉินตงเฉี่วยกับไป๋เซียนเอ๋อต่างก็กระโดดลงจากหลังของพอลกับเจสเตอร์ทันที
  ทั้งพอลและเจสเตอร์ต่างก็มองไป๋เซียนเอ๋อด้วยแววตาหวาดกลัวความภาคภูมิใจเมื่อครู่มลายหายสิ้นไปทันทีเมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งของไป๋เซียนเอ๋อ..
  ‘เจ้านายนะเจ้านาย..ข้างกายท่านมีเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าพวกเราทั้งสองอีก..’ เจสเตอร์นั้นทั้งอึ้งทั้งตกใจ..
  “เอาล่ะ..พวกเจ้ารีบกลายร่างขั้นสุดท้ายได้แล้ว!”
  ทั้งพอลและเจสเตอร์จึงได้กลายร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กและกำลังบินโชว์อยู่ในห้องรับแขก หลังจากบินโชว์อยู่ครู่หนึ่ง หลิงหยุนก็โบกมือให้พวกมันกลับไปได้ ทั้งคู่จึงรีบบินออกไปทางหน้าต่างทันที
  “ทุกคนคงได้เห็นแวมไพร์กับตาตัวเองแล้วสินะ..”
  หลังจากที่พอลกับเจสเตอร์บินออกจากห้องนั่งเล่นไปภายในห้องนั่งเล่นก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดราวสิบกว่าวินาที ก่อนที่หลิงหยุนจะเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้นมา..
  “แวมไพร์มีชีวิตที่ยืนยาวมากและหลังจากที่กลายร่างแล้วทั้งพลัง ความแข็งแกร่ง และความเร็ว ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าแวมไพร์ในร่างมนุษย์หลายเท่า ไม่เพียงแค่นั้น.. ร่างกายแวมไพร์ยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากถูกทำร้ายด้วยของมีคม หรือพูดอีกอย่างก็คือว่าพวกมันไม่มีวันตาย..”
  “แต่แวมไพร์จะมีศักยภาพสูงสุดเมื่อปีกของพวกมันงอกและบินไปมาบนอากาศได้ เพราะนั่นจะทำให้คู่ต่อสู้ของมันไม่สามารถโจมตีพวกมันได้ และความเร็วนั้นก็จะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากมายหลายเท่า..”
  “ไม่เพียงเท่านั้น..แวมไพร์ขั้นบารอนขึ้นไปจะสามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ และแน่นอนว่าแวมไพร์จะแปลงร่างเป็นค้างคาวก็ต่อเมื่อพวกมันต้องการจะหนีคู่ต่อสู้..
  “แต่ถึงแม้แวมไพร์จะดูเก่งกาจแต่พวกมันก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน พวกมันกลัวแสงแดด แสงสว่าง เปลวไฟ แล้วก็ของมีคมที่ทำจากเงิน นี่เป็นสิ่งที่แวมไพร์ทุกคนต่างก็หวาดกลัวเหมือนกัน!”
  …….
  เวลานี้..หลิงหยุนได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับแวมไพร์ที่เขาล่วงรู้มา ให้กับเหล่าสาวงามทั้งหมดฟังโดยไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
  แต่จู่ๆฉินตงเฉี่วยก็ขัดขึ้นมาด้วยสีประหลาดใจ “แต่เหตุใดแวมไพร์สองตนนี้จึงได้โผล่มาตอนกลางวันเช่นนี้ได้! แล้วพวกมันยังสามารถบินอยู่ท่ามกลางแสงสว่างได้อย่างไม่สะทกสะท้าน..?!”
  หลิงหยุนฟังแล้วจึงได้แต่ยิ้ม“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอลให้กับชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง ข้าจะค่อยๆเล่าให้น้าหญิงฟัง แต่มันค่อนข้างจะยาวมาก..”
  การที่หลิงหยุนเรียกแวมไพร์ออกมาให้หญิงสาวทุกคนได้พบเห็นนั้นก็เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจแวมไพร์มากขึ้น และวันหนึ่งหากต้องพบเจอกับแวมไพร์จริงๆ พวกนางจะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจ หรือหวาดกลัวจนเสียสติ..
  หลิงหยุนใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงในการเล่าเรื่องทุกอย่างให้หญิงสาวทั้งหมดที่อยู่ในห้องฟังเขาเล่าจนปากคอแห้งผาก และในที่สุดทุกคนก็เข้าใจทุกอย่างได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น
  แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็รู้ดีว่าเรื่องใดที่ควรเล่า และเรื่องใดที่ไม่ควรเล่า!
  “ตอนนี้ผมมีแวมไพร์เป็นบริวารถึงห้าตน– เอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์ขั้นมาร์ควิส ส่วนเพียร์ซกับจอยซ์เป็นแวมไพร์ขั้นเคานต์ และพอลกับเจสเตอร์เป็นแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์..”
  “แล้วนี่ก็คือดาบพายุที่ผมใช้ในการทำให้เหล่าแวมไพร์กลายมาเป็นบริวาร..”
  ระหว่างที่หลิงหยุนเล่านั้นบรรดาสาวงามก็พากันกรูเข้ามาดูดาบพายุที่เพิ่งเรียกออกมาจากแหวนพื้นที่ หลิงหยุนยกดาบพายุชี้ขึ้นฟ้า และพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
  หญิงสาวที่อยู่ภายในห้องต่างก็มองหลิงหยุนด้วยความชื่นชมมีเพียงฉินตงเฉี่วยที่ยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
  “เจ้าเด็กดื้อ..ดูเหมือนว่าคราวนี้เจ้าคงเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยเลยสินะ”
  ฉินตงเฉี่วยกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหลิงหยุนไม่เข้าใจแต่ก็ส่งกระแสจิตบอกฉินตงเฉี่วยว่า
  –น้าหญิง..ในเมื่อข้ามีดาบพายุแล้ว ข้าจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่มังกรขาว ข้าจะมอบมันให้กับท่านไว้ใช้เป็นอาวุธ-
  ฉินตงเฉี่วยนั้นเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5แล้ว อีกทั้งยังมีวิชาดาราคุ้มกายอีก เรียกได้ว่าเพียงแค่นี้นางก็สามารถท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆได้อย่างไม่มีอะไรต้องกังวลใจ แต่หลิงหยุนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
  ฉินจิวยื่อไปที่สำนักกระบี่เทวะในหุบเขาเทียนซันจนป่านนี้ยังไม่กลับมา และไม่ได้ข่าวคราวใดๆเลย สำหรับหลิงหยุนแล้ว ฉินตงเฉี่วยนั้นไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าฉินจิวยื่อเลย เขาจึงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉินตงเฉี่วยเช่นกัน!
  หลิงหยุนรู้ว่าฉินตงเฉี่วยนั้นชื่นชอบการใช้กระบี่กระบี่มังกรขาวนั้นแม้จะบางเบา แต่ก็สามารถตัดเหล็กได้ราวกับตัดเต้าหู้ และยังอ่อนนุ่มจนสามารถพันรอบเอวของนางได้ จึงเหมาะที่นางจะพกติดตัวสำหรับไว้ป้องกันตัว..
  ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็ถึงกับยิ้มออกมาทันทีร่างกายของนางสั่นสะท้านอยู่เพียงสองสามวินาทีก่อนจะตอบกลับไปว่า
  –ไม่ล่ะ..กระบี่นั่นเป็นของเจ้า เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้มัน!-
  ฉินตงเฉี่ยวนั้นยินดีอย่างมากกระบี่มังกรขาวนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า อีกทั้งหลิงหยุนยังรักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิต แต่จู่ๆกลับนำมามอบให้กับนางเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่าหลิงหยุนกำลังจะบอกสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขาให้นางล่วงรู้หรอกหรือ!
  แต่ถึงกระนั้น..กระบี่มังกรขาวที่ล้ำค่าเช่นนี้ ฉินตงเฉี่วยไม่อาจรับไว้ได้จริงๆ!
  อีกทั้งในวันข้างหน้าหลิงหยุนยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งกาจมากมาย อย่างน้อยมีอาวุธที่ดีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า และทำให้นางไม่ต้องเป็นคอยเป็นห่วงอีกด้วย
  หลิงหยุนเห็นฉินตงเฉี่วยปฏิเสธเช่นนี้เขาจึงไม่ต้องการเซ้าซี้ และเวลานี้ก็มีผู้คนอยู่มากมาย จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้..
  หลิงหยุนมองดูนาฬิกาและพบว่าเป็นเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “น้าหญิง.. นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการอีกมากมาย และทุกคนก็ต้องกลับไปเตรียมตัวเพื่อไปงานเลี้ยงคืนนี้!”
  ระหว่างที่พูดหลิงหยุนก็มองตาฉินตงเฉี่วยไปด้วย..
  ฉินตงเฉี่วยเข้าใจความต้องการของหลิงหยุนได้ในทันทีในเมื่อเป็นเรื่องสำคัญ ก็คงจะไม่สะดวกให้คนอื่นๆ ได้ล่วงรู้ นางจึงรีบพูดสนับสนุนขึ้นมาทันที
  ฉินตงเฉี่วยลุกขึ้นยืนและพูดว่า“หลิงหยุนเพิ่งจะกลับมาถึงจิงฉู ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาจะต้องไปจัดการ ข้าว่าพวกเราอย่ารบกวนเวลาของเขาจะดีกว่า เอาล่ะ.. พวกเรากลับกันได้แล้ว!”
  หญิงสาวคนอื่นๆต่างก็ยังต้องการที่จะอยู่กับหลิงหยุนต่อแต่ก็ไม่กล้าขัดฉินตงเฉี่วย จึงได้แต่โบกไม้โบกมือลาหลิงหยุน และกลับไปเตรียมตัว..
  “พี่หลิงหยุน..”
  ไป๋เซียนเอ๋อเป็นเพียงคนเดียวที่ดื้อดึงส่วนคนอื่นๆนั้นเดินออกไปกันหมดแล้ว หลิงหยุนจูบหน้าผากไป๋เซียนเอ๋ออย่างอ่อนโยนแล้วบอกไปว่า
  “เซียนเอ๋อ..ข้าเองก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน!”
  “แต่ข้าขอโทรศัพท์ก่อน..”
  หลิงหยุนโอบร่างของไป๋เซียนเอ๋อไว้ในอ้อมแขนจากนั้นจึงเรียกเครื่องมือสื่อสารที่เหล่ากุ่ยให้มา และรีบติดต่อหานักบินและผู้ช่วยทันที หลิงหยุนขอให้ทั้งคู่มาที่บ้านของเขาโดยเร็วที่สุด
  อีกยี่สิบนาทีต่อมา..นักบินและผู้ช่วยนักบินประจำตระกูลหลิงต่างก็เดินทางมาถึงบ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุน..
  ทั้งคู่นั่งแท็กซี่มาตามที่อยู่ที่หลิงหยุนบอกไว้และเมื่อมาถึงที่หน้าประตู จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็รับรู้แล้ว ก่อนที่ตี้เสี่ยวอู๋จะทันได้ถามอะไร หลิงหยุนก็สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปเปิดประตูให้กับคนทั้งคู่
  เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในห้องนั่งเล่นต่างฝ่ายต่างก็ทักทายกัน “ขอบคุณพวกคุณทั้งสองที่มา เมื่อคืนพวกคุณคงเหนื่อยมาก ไม่ทราบว่าได้พักผ่อนเพียงพอมั๊ย”
  นักบินและผู้ช่วยถึงกับอึ้งไปแต่รีบตอบกลับไปว่า “ขอบคุณนายน้อยสี่มากครับ! ความจริงแล้วพวกเราพักที่ใหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนนายน้อยสี่เลย!”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า “พวกเราเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เชิญพวกคุณนั่งลงก่อน..”
  ชางจวินกับซวู่รุ่ยเป็นนักบินที่คอยขับเครื่องบินให้กับปู่ของหลิงหยุนในเมื่อท่านปู่ไว้ใจส่งทั้งคู่มา หลิงหยุนจึงต้องให้เกียรติ และมีมารยาทกับพวกเขาทั้งคู่
  หลิงลี่สั่งให้พวกเขาทั้งคู่ทำหน้าที่ดูแลหลิงหยุนมีหรือที่ต่อหน้าหลิงหยุนพวกเขาจะกล้านั่ง ชางจวินที่อยู่ตรงข้ามหลิงหยุนรีบพูดขึ้นว่า
  “นายน้อยสี่..ไม่ต้องมีมารยาทกับพวกเราก็ได้ครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะสั่งพวกเรา!”
  เมื่อหลิงหยุนเห็นทั้งคู่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมนั่งเช่นนั้นเขาจึงไม่อยากบังคับอีก หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและพูดขึ้นว่า
  “ความจริงแล้วที่ผมขอให้พวกคุณมาพบที่บ้านก็ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรใหญ่โต ผมแค่ต้องการให้พวกคุณยืนยันอะไรบางอย่างเท่านั้น..”
  “อะไรเหรอครับ”ชางจวินกับซวู่รุ่ยถามขึ้นพร้อมกัน
  หลิงหยุนยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาและจัดการเปิดภาพของคนผู้หนึ่งที่เขาถ่ายมาจากคลิปวีดีโอที่อยู่ในโน๊ตบุ๊ค จากนั้นจึงยื่นให้ทั้งสองคนดูพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “ไม่ทราบว่าพวกคุณทั้งสองคนรู้จักคนผู้นี้บ้างมั๊ย”
  ชางจวินกับซวู่รุ่ยเดินก้าวไปด้านหน้าสองก้าวพร้อมกันต่างคนต่างก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูหน้าจอมือถือของหลิงหยุนอย่างตั้งอกตั้งใจ
  หลังจากที่ซวู่รุ่ยดูแล้วก็ส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อน..
  หลิงหยุนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและหันไปมองชางจวินที่อยู่ด้านหลัง แววตาของชางจวินเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาทำท่าครุ่นคิด แต่ก็พึมพำออกมาว่า
  “คนผู้นี้คุ้นหน้าคุ้นตาผมมากแต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยพบที่ใหนมาก่อน..”
  หลิงหยุนได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมากและเริ่มมีหวัง จึงรีบกับชางจวินว่า ค่อยๆคิดดูว่าคุณเคยเห็นจากที่ใหน..
  ชางจวินขมวดคิ้วหลับตาครุ่นคิดอยู่นานแต่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
  “นายน้อยสี่..ผมคิดออกแล้ว คนผู้นี้เป็นคนของนายน้อยใหญ่!”