บทที่ 835 : สายเลือดที่แข็งแกร่ง!
  “ใช่แล้ว!ผมนึกออกแล้ว! เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว นายน้อยใหญ่ขออนุญาตท่านผู้เฒ่าใช้เครื่องบินเส่วนตัว ท่านผู้เฒ่าจึงได้ส่งผมให้ไปเป็นผู้ขับเครื่องบินให้กับนายน้อยใหญ่ แล้วผมก็ได้เห็นคนผู้นี้บนเครื่องบิน..”
  หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ชางจวินก็เล่าสิ่งที่ตนนึกได้ออกมาจนหมด..
  “เฮ้อ..”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับถอนหายใจยาวและได้แต่คิดว่า ‘เป็นเจ้าจริงๆสินะหลิงห่าว! เจ้าช่างทำได้ลงคอ!’
  จากนั้นหลิงหยุนก็ถามขึ้นมาอย่างไม่ลังเล“ชางจวิน.. นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก! คุณมั่นใจหรือไม่ว่าจำได้แม่นยำ แล้วก็ไม่มีอะไรผิดพลาด!”
  หลิงหยุนจำเป็นต้องถามย้ำเพื่อให้มั่นใจเพราะคนผู้นั้นมีรูปลักษณ์ที่ธรรมดาไม่โดดเด่น และหากอยู่ท่ามกลางฝูงชน ก็แทบจะไม่มีใครสนใจ!
  แต่กลับคิดไม่ถึงว่าชางจวินจะตอบกลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจยิ่งกว่าเดิมเขายกมือขึ้นตบที่หน้าอกของตนเอง และกับย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
  “นายน้อยสี่..!ผมเป็นทหารในหน่วยพิเศษมานานถึงหกปี และได้รับการฝึกฝนพิเศษมาในหลายๆด้าน แม้ว่าผมจะไม่กล้าพูดว่าจำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน แต่ก็สามารถพูดได้ว่าจำได้แม่นยำไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอนครับ..”
  หลิงหยุนพยักหน้าแต่ก็นึกประหลาดใจจึงได้ถามต่อว่า “ในเมื่อพวกคุณสองคนกับคนผู้นั้น ต่างก็เป็นคนของตระกูลหลิงทั้งหมด แล้วเพราะเหตุใดจึงดูเหมือนกับไม่เคยรู้จัก”
  หลิงหยุนพูดจบก็หันไปมองซวู่รุ่ยอีกครั้งและสายตาของซวู่รุ่ยก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาเองไม่รู้จักคนผู้นั้น
  ชางจวินและซวู่รุ่ยหันไปมองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมาจากนั้นชางจวินจึงตอบหลิงหยุนกลับไปด้วยรอยยิ้ม
  “นายน้อยสี่เพิ่งจะกลับเข้าตระกูลหลิงได้ไม่นานอาจยังมีบางสิ่งบางอย่างที่นายน้อยสี่เองก็ยังไม่รู้..”
  “ตระกูลหลิงเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่งซึ่งนับว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่มากตระกูลหนึ่ง นายน้อยสี่คงจะยังไม่รู้ว่าภายในตระกูลหลิงนั้นมีผู้คนทั้งนอกและในอยู่หลายร้อยคน..”
  “และทุกคนต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองในแต่ละวัน.. ต่างคนต่างก็มีภารกิจลับเฉพาะที่ตนเองต้องจัดการ ต่างฝ่ายจึงต่างไม่เปิดเผยฐานะของตนเอง!”
  “อย่างเช่นพวกเราสองคน..พวกเรามีหน้าที่ในการขับเครื่องบินให้กับนายผู้เฒ่าเท่านั้น ไม่เพียงไม่มีสิทธิ์สอบถามเรื่องใดๆ แต่ยังเกี่ยวข้องกับผู้อื่นน้อยมากด้วย..”
  หลิงหยุนได้ฟังคำอธิบายก็สามารถเข้าใจได้ในทันทีในเมื่องทุกคนต่างก็มีหน้าที่เฉพาะของตนเอง อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้โคจรมาพบกัน บางคนอาจะยังไม่เคยพบเจอกันสักครั้งแม้ว่าจะทำงานให้กับตระกูลหลิงเหมือนกัน และเรื่องทำนองนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร!
  ชางจวินหยุดมองหลิงหยุนเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบา “นายน้อยสี่.. ความจริงที่ผมพูดไปเมื่อครู่นั้นก็เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น.. หลายปีมานี้นายน้อยใหญ่ได้แอบซุ่มฝึกฝนกำลังคนอย่างลับๆ และคนผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในกำลังคนของนายน้อยใหญ่..”
  คำอธิบายของชางจวินทำให้หลิงหยุนยิ่งเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัดมากขึ้นไปอีกหลิงหยุนได้แต่ยิ้มและถามต่ออย่างสงสัย
  “หลิงห่าวแอบซ่องสุมกำลังเช่นนี้เหตุใดท่านปู่จึงไม่จัดการอะไรกับเขา”
  ชางจวินยิ้มขื่นพร้อมกับตอบไปว่า“นายน้อยสี่.. ท่านอย่าลืมว่าเวลานี้นายผู้เฒ่าได้รามือจากภารกิจต่างๆของตระกูลไปนานนับสิบปีแล้ว เรื่องราวต่างๆในตระกูลหลิงล้วนดูแลจัดการโดยผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน อีกทั้งเวลานี้นายน้อยใหญ่ก็เป็นกำลังหลักของผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบัน เขาจึงต้องต้องสร้างสมกำลังอำนาจให้กับตนเอง..”
  “เรื่องเราวในลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติของตระกูลใหญ่นายน้อยใหญ่เป็นถึงทายาทที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงคนต่อไป นายผู้เฒ่าจึงต้องหลับตาข้างหนึ่ง และปล่อยให้เขาทำไป..”
  “อ่อ..ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง..”
  หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกและแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน แต่แล้วก็กลับสู่ความสงบเป็นปกตินิสัย
  หลิงหยุนหันมองหน้าชางจวินกับซวู่รุ่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. ที่ผมขอให้พวกคุณมาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการให้พวกคุณสองคนช่วยยืนยันว่าคนในรูปใช่คนตระกูลหลิงหรือไม่เท่านั้น.. ในเมื่อยืนยันเสร็จแล้ว เรื่องนี้ก็ขอให้จบแต่เพียงเท่านี้..”
  ความจริงแล้วหลิงหยุนยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่างต่อแต่เลือกที่จะจบคำถามเพียงเท่านั้น และไม่เปิดเผยสิ่งที่เขาคิดให้นักบินทั้งสองคนได้รู้..
  ทั้งชางจวินและซวู่รุ่ยเองก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของหลิงหยุนเป็อย่างดีทั้งคู่จึงยืดตัวตรงพร้อมกับยกมือขึ้นทำท่าวันทยาหัตนถ์ และตอบด้วยเสียงดังฟังชัด
  “ครับผม!”
  หลิงหยุนพอใจอย่างมากกับท่าทีของนักบินทั้งสองคนเขายิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ผมกลับมาจิงฉูครั้งนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญต้องสะสาง ระหว่างที่รอผมอยู่นี้ พวกคุณทั้งสองคนก็ถือโอกาสท่องเที่ยวให้ทั่วเมืองจิงฉูเลยก็แล้วกัน หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว ผมจะรีบกลับปักกิ่งทันที!”
  พูดจบ..หลิงหยุนก็ยิ้มกว้างให้กับนักบินทั้งสองคน เขายกมือขึ้นตบบ่าคนทั้งคู่พร้อมกับพูดอย่างมีความสุข
  “พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้คนนำเงินไปให้พวกคุณสองคนคนละหนึ่งล้านหยวนขอให้ท่องเที่ยวในจิงฉูให้สนุกเต็มที่ แล้วถ้าไม่พอให้มาบอกผม!”
  ทั้งชางจวินและซวู่รุ่ยต่างก็หันไปมองหน้ากันพวกเขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง..
  คนละหนึ่งล้านหยวนงั้นหรือ!ถ้าไม่พอก็สามารถขอเพิ่มได้อีกอย่างนั้นหรือ?! นายน้อยสี่ช่างใจกว้างเป็นแม่น้ำ..
  แต่ทั้งคู่กลับส่ายหน้าไปมาพร้อมกันทั้งสองคนรีบปฏิเสธทันทีว่าไม่สามารถรับเงินของหลิงหยุนได้
  หลิงหยุนจึงตอบกลับยิ้มๆ“พวกคุณสองคนไม่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว อีกอย่างที่ผ่านมาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้กับตระกูลหลิง พวกคุณไปเที่ยวให้สนุก ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน..”
  ชางจวินรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากแต่ก็พูดออกไปอย่างเกรงใจ “นายน้อยสี่.. ตั้งแต่พวกเราสองคนได้มารับใช้นายผู้เฒ่า ก็มีชีวิตที่ดีกว่าคนธรรมดามากมายหลายร้อยเท่าแล้ว พวกเราสองคนไม่สามารถรับเงินของท่านได้จริงๆ มันเป็นกฏของตระกูลหลิง..”
  เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองยังยืนกรานปฏิเสธเช่นนั้นหลิงหยุนถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับพูดตัดบทว่า
  “ผมรู้ว่าเป็นกฎของตระกูลหลิงแต่นี่ก็เป็นกฎของผมเช่นกัน! พวกคุณสองคนยังอยากขับเครื่องบินให้กับผมอยู่หรือเปล่า”
  เมื่อได้ยินหลิงหยุนถามเช่นนี้ทั้งชางจวินกับซวู่รุ่ยจึงรีบพยักหน้าพร้อมกันทันที..
  หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. ในเมื่อพวกคุณทั้งสองคนยังต้องการจะขับเครื่องบินให้ผมต่อ พวกคุณก็ต้องทำตามกฎของผม! ออกไปเที่ยวเล่นในเมืองจิงฉูได้แล้ว!”
  หลิงหยุนไม่รอให้ทั้งสองคนปฏิเสธอีกและรีบส่งทั้งคู่กลับไปทันที หลังจากที่นักบินทั้งสองคนเดินออกจากบ้านเลขที่-1 ไปแล้ว หลิงหยุนจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง..
  หน้าตาของไป๋เซียนเอ๋อเต็มไปด้วยความสงสัยนางจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าที่ดูไม่มั่นใจ ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้จนต้องถามออกไปว่า
  “พี่หลิงหยุน..ข้าได้ยินพวกเขาเรียกท่านว่านายน้อยสี่!”
  หลิงหยุนหยุดครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงหันไปมองหน้าไป๋เซียนเอ๋อ “เซียนเอ๋อ.. หลังจากเสร็จธุระที่จิงฉู ข้ายังจะต้องกลับไปปักกิ่งอีก ไม่เพียงต้องไปจัดการตระกูลเฉินกับเหล่าแวมไพร์ แต่ข้ายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำอีก!”
  “เซียนเอ๋อ..เวลานี้ข้าได้รู้จักกับบรรพบุรุษที่แท้จริงของตัวเองแล้ว และตอนนี้พี่หลิงหยุนของเจ้าก็คือนายน้อยสี่แห่งตระกูลหลิงในปักกิ่ง!”
  “ห๊ะ!”
  หลิงหยุนยิ้มและพูดต่อว่า“ท่านปู่ของข้าคือหลิงลี่ – ผู้นำตระกูลหลิงคนก่อน ส่วนท่านพ่อของข้าชื่อหลิงเสี่ยว มีฐานะเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลหลิง และท่านแม่ของข้าก็คือธิดาพรรคมารคนก่อน..”
  “จริงหรือ!”
  ใบหน้างดงามของไป๋เซียนเอ๋องุนงงเล็กน้อยแต่แล้วก็รีบพุ่งเข้าหาอ้อมแขนของหลิงหยุนทีพร้อมกับเอ่ยแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
  “เซียนเอ๋อยินดีกับพี่หลิงหยุนด้วย!ในที่สุดท่านก็ได้พบกับครอบครัว และพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดท่านแล้ว!”
  แต่ใบหน้าของหลิงหยุนกลับปรากฏร่องรอยของความขมขื่นใจ..
  “เซียนเอ๋อ..ข้าพบเพียงแค่ต้นตระกูลของตนเองเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ข้ายังไม่เคยได้พบหน้าท่านพ่อกับท่านแม่ผู้ให้กำเนิดเลยแม้แต่คนเดียว!”
  ไป๋เซียนเอ๋อถึงกับอึ้งไปและจู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาของหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามออกมาอย่างแปลกใจ
  “อะไรนะ!เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? มันเกิดอะไรขึ้น?”
  หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาช้าๆเขาวางร่างของไป๋เซียนเอ๋อไว้บนโซฟา แล้วจึงตอบกลับไปว่า
  “เรื่องมันยาว..ไว้ว่างๆข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เจ้าฟัง!”
  ไป๋เซียนเอ๋ออยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้และไม่มีสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน หลิงหยุนจึงเลือกที่จะแบ่งปันความลับเรื่องที่เขากลับสู่ตระกูลหลิงให้นางฟัง..
  ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือว่าไป๋เซียนเอ๋อนั้นแข็งแกร่งมากแม้แต่เขาเองยังไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของนาง หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าไป๋เซียนเอ๋อจะสามารถช่วยเขาได้มาก
  “เซียนเอ๋อ.ไว้ข้าเสร็จภารกิจที่จิงฉูเมื่อไหร่ ข้าจะพาเจ้าไปปักกิ่งด้วย ที่นั่นมีศัตรูที่แข็งแกร่งมากมาย เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าเวลานี้ก็คือ เจ้าต้องเร่งพัฒนาขั้นให้ก้าวหน้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจหรือไมไ!”
  ไป๋เซียนเอ๋อรีบพยักหน้าทันที..
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับลูบแผ่นหลังของไป๋เซียนเอ๋อแล้วสั่งว่า “เอาล่ะ.. นี่ก็ห้าโมงแล้ว เจ้ารีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ข้าจะไปที่สวนหลังบ้านหน่อย..”
  ไป๋เซียนเอ๋อวิ่งกลับชึ้นไปชั้นสองทันทีส่วนหลิงหยุนก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นพรัอมกับตะโกนร้องบอกตี้เสี่ยวอู๋ให้ตามเขาไปที่ห้องเก็บด้านหลัง..
  ในเวลานั้น..พอลกับเจสเตอร์ได้จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาอยู่ในสภาพของสุภาพบุรุษชาวตะวันตกเช่นเดิม
  “เจ้านายที่เคารพ!”
  “เจ้านายที่เคารพ!”
  เมื่อเห็นหลิงหยุนกำลังเดินมาทั้งพอลกับเจสเตอร์ก็รีบลุกขึ้นทักทายด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
  “เมื่อคืนนี้หลังจากที่สูดดมเอาอากาศที่ประหลาดเข้าไปพวกเจ้าสองคนรู้สึกเปลี่ยนไปเช่นใดบ้าง มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของพวกเจ้าบ้างหรือไม่?”
  หลิงหยุนกำลังถามถึงปราณเสวียนและปราณหวงที่แวมไพร์ทั้งสองตนดูดซับเข้าไปเมื่อคืนนี้
  เจสเตอร์รีบร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ“เจ้านายที่เคารพ.. พวกเราสองคนคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว!”
  “พวกเราไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่พอพวกเราสูดดมเข้าไปก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมาทันที และรู้สึกราวกับว่าหยดเลือดของท่านในร่างกายของพวกเราทั้งคู่นั้น กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว..”
  เมื่อครั้งที่พอลกับเจสเตอร์ได้รับเลือดของหลิงหยุนเข้าไปครั้งแรกนั้นทั้งคู่ก็แข็งแกร่งขึ้นในทันที แต่เมื่อคืนนี้ได้รับปราณเสวียนกับปราณหวงเข้าไป ความแข็งแกร่งก็เพิ่มมากขึ้นอีก ทั้งคู่จึงรู้สึกดีใจอย่างมาก
  “งั้นรึ!นี่นับว่าเป็นข่าววดี ไม่นานพวกเจ้าก็คงจะเข้าสู่ขั้นเคานต์แล้วสินะ?”
  หลิงหยุนคาดเดายิ้มๆ..
  พอลตอบกลับมาทันที“เจ้านายที่เคารพ.. แม้ว่าพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นมากก็จริง แต่การจะพัฒนาเข้าสู่ขั้นเคานต์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ง่ายๆ..”
  หลิงหยุนหันไปถามหน้าตาเลิ่กลั่ก“เพราะอะไร!”
  พอลขมวดคิ้วเล็กน้อย“เจ้านาย.. หลังจากที่รับเลือดของท่านเข้าไปครั้งแรกนั้น ไม่เพียงพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆวัน แต่การพัฒนาขั้นกลับขยับได้ช้ามาก.. พวกเราเองก็ได้พูดคุยกับจอยซ์และเพียร์ซ จึงได้ข้อสรุปว่าอาจเป็นเพราะเลือดในกายของพวกเราแข็งแกร่งเทียบเท่าแวมไพร์ขั้นลอร์ด ระดับขึ้นจึงพัฒนาไปได้อย่างช้ามาก..”
  หลิงหยุนถามต่อด้วยความแปลกใจ“แต่เมื่อครั้งที่พวกเจ้ารับเลือดของข้าเข้าไปครั้งแรก พวกเจ้าก็สามารถพัฒนาขั้นไปถึงไวส์เคานต์ได้ในทันที!”
  เจสเตอร์ตอบอย่างนึกเสียดาย“เจ้านายที่เคารพ.. นั่นเป็นเพราะเลือดของพวกเราเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจอีก“ในการต่อสู้นั้น.. ความแข็งแกร่งสำคัญมากกว่าลำดับขั้น พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นก็ดีแล้ว..”
  “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ต่อ..พวกเราเข้าไปดูขยะสองชิ้นในห้องเก็บของกันก่อนดีกว่า..”
บทที่ 836 : สรุปผลการใช้ปราณเสวียนและหวง!
  แวมไพร์ทางตะวันตกนั้นนอกเหนือจากที่จะต้องดื่มเลือดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแล้ว อายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้แวมไพร์ตนนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน แต่ไม่มีการฝึกฝนวิชาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแต่อย่างใด..
  ดังนั้นแวมไพร์จึงสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยเลือดและอาศัยวันเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานนั้น ค่อยๆเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองอย่างช้าๆ
  แต่เวลานี้..หลิงหยุนได้ค้นพบว่ายังมีวิธีที่ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแวมไพร์ชาวตะวันตกได้ดีกว่านั้น ซึ่งก็คือปราณเสวียนกับปราณหวงนั่นเอง!
  แต่แน่นอนว่าแวมไพร์ที่จะสามารถพัฒนาขั้นได้ด้วยวิธีนี้จะต้องเป็นแวมไพร์ที่ได้รับเลือดของหลิงหยุนเข้าไป และได้กลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ของหลิงหยุนแล้วเท่านั้น
  หลิงหยุนคาดเดาว่าเป็นเพราะสายเลือดตระกูลหลิงในร่างกายของหลิงหยุนบวกกับความเข้าใจในเคล็ดวิชาได้อย่างรวดเร็วของตนเอง ทำให้เขาสามารถฝึกวิชาตามคัมภีร์เสวียนหวงก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้!
  อีกทั้งการฝึกวิชาตามคัมภีร์เสวียนหวงนั้นยังทำให้เกิดพลังพิเศษที่สามารถกระตุ้นสมุดจักรพรรด์ได้อีกด้วย!
  ตั้งแต่ที่หลิงหยุนได้สมุดจักรพรรดิมานั้นเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากสมุดจักรพรรดิมาหลายครั้งหลายครา และครั้งแรกคือตอนที่อยู่ในก้นหลุมยักษ์ ครั้งสุดท้ายคือที่สมุดจักรพรรดิปล่อยพลังอมตะสีเหลืองออกมานั่นเอง!
  ก่อนหน้านี้หลิงหยุนไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ตอนนี้หลิงหยุนมั่นใจว่าพลังอมตะสีเหลืองที่พุ่งออกมาจากสมุดจักรพรรดินั้น ก็คือปราณเสวียนและปราณหวงนั่นเอง!
  ปราณเสวียนและหวงที่ปลดปล่อยออกมาจากสสมุดจักรพรรดินั้นไม่เหมือนกับปราณเสวียนและปราณหวงที่ได้จากการฝึกตามคัมภีร์เสวียนหวงของตระกูลหลิง และไม่เหมือนกับปราณเสวียนและหวงที่หลิงหยุนฝึกฝน แต่มันคือพลังบริสุทธิ์ที่อยู่ระหว่างสรวงสวรรค์กับผืนโลก
  มันป็นปราณอมตะเสวียนและหวงที่บริสุทธิ์ที่สุดและบริสุทธิ์ในระดับเดียวกับพลังหยางบริสุทธิ์ที่ปลดปล่อยออกมาจากพู่กันจักพรรดิ!
  ในความรู้สึกของหลิงหยุนนั้นหากเปรียบเทียบระหว่างพู่กันกับสมุดจักรพรรดิแล้ว เขารู้สึกว่าสมุดจักรพรรดินั้นจะมีน้ำใจกับเขามากกว่า สมุดจักรพรรดิซ่อนอยู่ภายในจุดตันเถียนของเขา และเมื่อใดก็ตามที่เขาตกอยู่ในอันตราย หรือภาวะวิกฤต มันจะพุ่งออกมาปกป้องเขาโดยไม่ลังเล..
  หลิงหยุนฝึกวิชาตามคัมภีร์เสวียนหวงทุกอาทิตย์ปราณเสวียนและปราณหวงจึงถูกรวบรวมไว้ในจุดตันเถียน เส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มต่างๆในร่างกายของตนเอง! และหากเป็นเช่นนี้.. หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าเขาจะไม่ขาดแคลนปราณเสวียนกับปราณหวงอย่างแน่นอน
  อีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่เคยใช้ปราณเสวียนและหวงที่ฝึกมาในการต่อสู้เลยสักครั้งที่ผ่านมานั้นเขาใช้เพียงแค่พลังหยินและหยางเท่านั้น
  อย่าว่าแต่ปราณเสวียนและหวงเลยที่ผ่านมาหลิงหยุนยังไม่ได้ใช้วิชาหยางพิสุทธิ์ด้วยซ้ำไป แต่เขาก็ยังสามารถสังหารเหล่าแวมไพร์ไปได้มากมายหลายร้อยตน
  และนี่คือไพ่สำคัญในมือที่แท้จริงของหลิงหยุน!
  ‘เพียงแค่วิชาหยางพิสุทธิ์..ข้าก็สามารถสังหารพวกเจ้าได้อย่างสิ้นซาก นี่ยังไม่นับปราณเสวียนและปราณหวงอีกเล่า!’
  หลิงหยุนเดินเข้าไปยังห้องเก็บของที่ขังเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินไว้และทันทีที่หลิงหยุนเดินเข้าไปในโกดัง เขาก็จัดการคลายจุดให้กับสองพี่น้องตระกูลเฉินทันที และสำรวจดูพวกมันอย่างละเอียดลออ..
  สภาพของเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินเวลานี้บอกได้คำเดียวว่าไม่ต่างจากครึ่งคนครึ่งศพ และกำลังเจ็บปวดอย่างที่สุด!
  หลังจากที่ทั้งสองคนได้สูดเอาปราณเสวียนกับปราณหวงเข้าไปในร่างกายแล้วพวกมันก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน
  หลังจากที่หลิงหยุนคลายจุดให้แล้วแม้เฉินเจี้ยนกุ่ยจะมีสภาพที่ดีกว่าเฉินเซินเล็กน้อย แต่มันก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ เวลานี้ใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดวงตาแดงก่ำ ปีกที่ถูกตัดขาดครึ่งหนึ่งโผล่ออกมา และกำลังนอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนพื้น
  สภาพของเฉินเซินนั้นย่ำแย่กว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยมาก..มันเพิ่งจะถูกเฉินเจี้ยนกุ่ยดูดเลือดทำให้กลายเป็นแวมไพร์เมื่อคืนนี้ และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการกลายร่างจากมนุษย์เป็นแวมไพร์ แต่เมื่อคืนกลับสูดเอาปราณเสวียนกับปราณหวงของหลิงหยุนเข้าไปในร่างกาย
  ภายใต้สภาพร่างกายที่เพิ่งจะเข้าสู่กระบวนการกลายร่างแต่กลับสูดเอาปราณเสวียนและหวงของหลิงหยุนซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับเลือดแวมไพร์ในตัวของมันเข้าไป เฉินเซินจึงมีสภาพที่ทุกข์ทรมานจนแทบอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่โชคร้ายที่มันถูกสกัดจุดไว้ ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ จึงต้องทนเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดแหลมเป็นพันๆเล่มทิ่มแทง
  “อ๊าก..”
  ทันทีที่หลิงหยุนคลายจุดให้เฉินเซินก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขี้ยวที่งอกยาวออกมาราวสี่ถึงห้าเซนติเมตรบนใบหน้าของมนุษย์นั้น ดูเป็นภาพที่ก้ำกึ่งระหว่างความน่ากลัวกับขบขัน..
  “โอ๊ย!ข้าไม่ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว! หลิงหยุน.. เจ้ารีบฆ่าข้าให้ตายเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าดื่มเลือด ข้าขอร้องล่ะ.. ข้าเจ็บปวดมากจริงๆ!”
  เลือดสีแดงหลั่งออกจากดวงตาของเฉินเซินในขณะที่ปากก็พร่ำร้องอ้อนวอนหลิงหยุนไม่หยุด เพราะไม่สามารถทนต่อสภาพที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้อีกต่อไป
  หลิงหยุนยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องเก็บของเขาจ้องมองสองพี่น้องตระกูลเฉินที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา ในขณะที่สมองก็กำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง..
  ‘เป็นถึงยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-6แต่กลับต้องทุกข์ทรมานกับปราณเสวียนและปราณหวงที่สูดเข้าไปมากถึงเพียงนี้เชียวรึ’
  หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงและคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ เขาคงจะไม่สามารถใช้ปราณเสวียนและหวงรักษาคนตระกูลเกาทั้งสิบคนแล้ว..
  เฉินเจี้ยนกุ่ยได้ยินเสียงกรีดร้องของเฉินเซินที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจึงจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามออกไปว่า
  “สิ่งที่พวกข้าหายใจเข้าไปเมื่อคืนนี้มันคืออะไรเหตุใดมันจึงสามารถลดความแข็งแกร่งของแวมไพร์ในตัวข้าได้?!”
  เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่กรีดร้องโหยหวนเช่นเฉินเซินมันดูสงบนิ่งกว่า และน้ำเสียงก็ดุดันกว่า..
  เฉินเจี้ยนกุ่ยรู้ว่า..สิ่งที่มันกำลังพูดถึงนั้นแตกต่างจากแสงอาทิตย์ เปลวไฟ หรือลูกธนูเงิน และที่สำคัญมันสามารถลดความแข็งแกร่งในตัวของเขาได้อีกด้วย มันรู้สึกได้ว่าพลังแห่งเลือดแวมไพร์ในตัวได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
  “ปราณเสวียนและปราณหวง!”
  หลิงหยุนจ้องมองเฉินเจี้ยนกุ่ยและตอบออกไปอย่างไม่ยี่หระ! ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร
  เฉินเจี้ยนกุ่ยได้ฟังถึงกับตกใจ“อะไรนะ! ปราณเสวียนกับปราณหวงในคัมภีร์เสวียนหวงของตระกูลหลิงงั้นรึ?”
  หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าไม่พูดอะไร..
  ตระกูลเฉินได้ส่งเฉินเจี้ยนกุ่ยข้ามน้ำข้ามทะเลไปเพื่อให้แวมไพร์สัญชาติอังกฤษทำให้มันกลายเป็นแวมไพร์และหวังให้มันกลับมาเป็นกำลังสำคัญช่วยเหลือตระกูลเฉินในประเทศจีน เฉินเจี้ยนกุ่ยจึงเปรียบเสมือนฮีโร่ และความหวังของทุกคนในตระกูล..
  หากไม่มีหลิงหยุน..เวลานี้แผนการของตระกูลเฉินคงจะใกล้สำเร็จแล้ว แต่นับจากที่ต้องเผชิญหน้ากับหลิงหยุนหลายครั้งหลายครา ตระกูลเฉินก็พบเจอแต่ความโชคร้าย!
  แววตาของเฉินเจี้ยนกุ่ยเต็มไปด้วยความสงสัยและรีบถามขึ้นว่า “แต่เท่าที่ข้ารู้ ปราณเสวียนกับปราณหวงของตระกูลหลิง ไม่สามารถต้านทานเลือดแวมไพร์ได้!”
  หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ตอบคำถามของเฉินเจี้ยนกุ่ย..
  เฉินเจี้ยนกุ่ยกำลังครุ่นคิดอย่างหนักมันจ้องมองหลิงหยุนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก..
  “เจ้าสามารถทำให้แวมไพร์กลายเป็นบริวารของเจ้าได้..หรือว่า.. เจ้าจะเป็นปีศาจกันแน่..!”
  เฉินเจี้ยนกุ่ยร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับหันไปมองพอลกับเจสเตอร์ที่เคยเป็นคนของตนเอง..
  หลิงหยุนยืนนิ่งเงียบและไม่ว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะพูดอะไร เขาก็ไม่โต้ตอบ..
  หลิงหยุนรูว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นกำลังหวาดกลัวเขาอย่างที่สุดไม่เช่นนั้นมันคงจะไม่พร่ามอะไรออกมามากมายเช่นนี้
  “ข้าต้องการที่จะเป็นบริวารของเจ้าเช่นกันเจ้าช่วยทำให้ข้ากลายเป็นบริวารของเจ้าด้วยเถิด..”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับยิ้มหยันริมฝีปากแดงเผยอยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
  “เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย..เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับสิ่งดีๆแบบนั้น! ต่อให้ข้าไม่ฆ่าเจ้า ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการชีวิตของเจ้า!”
  เฉินเจี้ยนกุ่ยถึงกับหน้าจ๋อยและรีบร้องบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็สังหารข้าเสียเลยสิ!’
  หลิงหยุนพูดด้วยความรู้สึกเสียดาย..“ฟังนะ.. หากข้าสามารถสังหารเจ้าได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่อีกแม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่เวลานี้คนตระกูลเกาอีกสิบชีวิตกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากข้า ไว้ข้าสามารถปรุงยาถอนพิษจากเลือดของเจ้าได้ก่อน ถึงเวลานั้นข้าต้องฆ่าเจ้าแน่!”
  “ไม่เช่นนั้น..อย่าหวังว่าเจ้าจะหลีกหนีความตายพ้นเลย!”
  หลิงหยุนพูดพร้อมกับหันไปทางตี้เสี่ยวอู๋“เสี่ยวอู๋.. ไปจัดการหาเลือดสัตว์มาหนึ่งถัง เอาที่สดที่สุด!”
  ตี้เสี่ยวอู่รับคำสั่งแล้วเดินออกไป..
  เมื่อเฉินเซินได้ยินว่าหลิงหยุนสั่งให้นำเลือดมามันก็ถึงกับดิ้นขลุกขลักด้วยความหิวโหย..
  ส่วนเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นลืมตาขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าสังหารคนตระกูลเฉินมากมายเช่นนี้ รับรองว่าคนตระกูลเฉินจะต้องตามมาเอาชีวิตของเจ้าอย่างแน่นอน!”
  “ข้าจะบอกอะไรให้..ท่านปู่สองของข้า – เฉินจิ้งเฉวียน เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 และเป็นผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ท่านปู่สองของข้าทำงานอยู่ในหน่วยนภา และเขาจะต้องฆ่าเจ้าได้อย่างแน่นอน!”
  หลิงหยุนยิ้มสดใสให้กับเฉินเจี้ยนกุ่ยพร้อมตอบกลับไปว่า..
  “ขั้นเซียงเทียน-9แล้วยังมีพลังเหนือธรรมชาติอีกด้วย ทำงานในหน่วยนภา.. น่าสนใจดีนี่!”
  หลิงหยุนยกนิ้วชี้ขึ้นถูจมูกพร้อมกับพูดด้วยแววตาเป็นประกาย..
  “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกอะไรให้..ข้าจะทำลายตระกูลเฉินให้สิ้นซาก!”
  หลิงหยุนมองแววตาตกตะลึงของเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินด้วยความรู้สึกตื่นเต้น..
  ไม่นานนัก..ตี้เสี่ยวอู๋ก็นำถังใส่เลือดสดกลับมาหนึ่งถัง หลิงหยุนสั่งพอลกับเจสเตอร์ดูแลเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินให้ดี ก่อนจะพูดทิ้งท้ายว่า..
  “ข้ากำลังรอให้คนตระกูลเฉินมาช่วยพวกเจ้า!”จากนั้นจึงเดินออกจากห้องเก็บของไป
  ไป๋เซียนเอ๋ออยู่ในชุดกระโปรงสีขาวพร้อมแว่นดำรออยู่ที่สวนหน้าบ้านตั้งนานแล้วเมื่อเห็นหลิงหยุนเดินกลับมา จึงรีบส่งยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “พี่หลิงหยุน..เมื่อไหร่จะไปกันสักที”
  หลิงหยุนโอบเอวไป๋เซียนเอ๋อและตอบกลับไปยิ้มๆ “ไปกันได้แล้ว!”