ตอนที่ 44-2 ดอกไม้ที่เบ่งบานในคุก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ริมฝีปากนั่น ริมฝีปากเล็กที่อวบอิ่มราวกับดอกไม้ตูมนั่น

 

 

หัวใจของรูแฮเต้นแรงขึ้น ในขณะที่เขากำลังจะก้มลงประทับริมฝีปากของกโยซึล

 

 

“เป็นอะไรไปหรือ”

 

 

ริมฝีปากอิ่มเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงใสของกโยซึล เสียงนั้นเป็นเหมือนดั่งเชือกที่ดึงสติของรูแฮกลับมา เป็นสัญญานเตือนให้เขาตั้งสติ รูแฮสูดหายใจเข้าอย่างยากลำบาก เขาแทบจะหลุดเสียงหัวเราะเยาะตัวเองออกไป

 

 

เกือบไปแล้ว

 

 

ตนเกือบจะกระทำสิ่งนั้นกับนางไปแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนเกือบจะมัวเมาไปกับความปรารถนา ไม่ได้ จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ นางเป็นคนรู้ใจที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ รูแฮละมือที่ลูบไล้ริมฝีปากนิ่มของกโยซึลแล้วย้ายไปที่แก้ม สันคาง ไล้ไปจนถึงจอนผมแล้วนำมันทัดหู จากนั้นก็ย้ายลงมาสัมผัสวนที่ติ่งหูอยู่อย่างนั้น ยังคงทำได้เพียงเท่านี้ เขาพอใจแล้วกับการได้สัมผัสนางอย่างโหยหาเช่นนี้ รูแฮถามคำถามใหม่เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของตนไปที่อื่น

 

 

“เหตุใดถึงได้ทรงคิดมาที่นี่”

 

 

“วันนี้ทั้งวันเราเทียวไปเทียวมาอยู่หลายที่” กโยซึลบอกเล่าว่าตนไปที่ใดบ้างอย่างเขินอาย “เรารู้สึกราวกับโลกกำลังจะถล่มเมื่อได้ยินว่ารูแฮถูกนำตัวไปที่ศาลหลวง”

 

 

“โลกถล่มอย่างนั้นหรือ”

 

 

“มี มีอะไรน่าขันนักหรือ”

 

 

“คำอธิบายถึงความเป็นห่วงของกโยซึลที่มีต่อข้าช่างน่าเอ็นดูนัก”

 

 

รอยยิ้มของรูแฮนั้นเหมือนกับกำลังล้อตนอยู่ กโยซึลจึงยื่นริมฝีปากล่างออกเล็กน้อยอย่างบูดบึ้ง รูแฮเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เกิดความปรารถนาขึ้นอีกครั้งจึงต้องรีบเอ่ยถามต่อ

 

 

“แล้วอย่างไรต่อหรือ”

 

 

“เราไปที่ตำหนักบุกบี แล้วก็ไปที่ตำหนักดงชอน”

 

 

หลังจากที่ได้ยินคำว่าตำหนักดงชอนแววตาของรูแฮก็หม่นแสงลง คนที่ในตอนนี้ตนไม่อยากจะพูดถึง ไม่อยากจะเอ่ยนาม

 

 

บีพาอัน

 

 

ถึงแม้ว่าทั้งกโยซึลและรูแฮจะนึกถึงคนๆ นั้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยมันออกมา ทั้งสองดำเนินบทสนทาต่อไปโดยตั้งใจหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงเขาคนนั้น รวมทั้งชื่อของเขาด้วย

 

 

“ได้พบกับเขาหรือไม่”

 

 

“ได้พบกัน เราได้พูดคุยกันมากมาย แต่…” กโยซึลส่ายหน้าไปมา ตนตะลอนไปทั่วทั้งวัน ทว่ามันกลับไม่ช่วยอะไรเลย

 

 

“เราก็ตระหนักได้ว่าถึงแม้จะไปที่ใดก็ไม่มีประโยชน์ คนที่เราเป็นห่วง คนที่เราควรจะไปหาก็คือรูแฮ เป็นท่าน” ดังนั้นตนจึงวิ่งมาที่นี่ เพราะความคิดถึงที่มากล้นตนจึงทิ้งเรื่องราวทุกอย่างและวิ่งตรงมายังที่แห่งนี้ “เราคิดถึงท่าน”

 

 

“ขอบพระทัยขอรับ”

 

 

รูแฮดึงมือของกโยซึลเข้ามาจุมพิต จุมพิตที่ตนสามารถทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น ลมหายใจร้อนของรูแฮกระทบนิ้วแต่ละนิ้วของกโยซึล

 

 

“ที่ทรงเสด็จมาหากระหม่อมถึงที่ที่อันตรายเพียงนี้ ที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉัน ที่ทรงรีบร้อนมาที่นี่เพื่อหม่อมฉัน”

 

 

“เราหาได้ทำสิ่งใดไม่”

 

 

“ทรงได้ทำแล้ว”

 

 

รูแฮพยักหน้าจริงจังให้กับกโยซึลที่ก้มหน้าอยู่เพราะความเขินอาย

 

 

“มิใช่ว่าทรงรวบรวมความกล้าจนหม่อมฉันได้สัมผัสพระองค์อยู่เช่นนี้หรือ”

 

 

เหตุใดคนผู้นี้ถึงเอาแต่พูดจาอ่อนโยนถึงเพียงนี้ คำพูดของเขาแต่ละคำราวกับว่ามันถูกเคลือบด้วยน้ำผึ้ง คำพูดของเขาช่างหวานล้ำ ทว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ตั้งแต่สถานที่ที่ทั้งอ้างว้างและมืดชื้นเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ได้พบกับคนรักอีกครั้งอย่างในคุกคุมขังแห่งนี้ รูแฮนั้นอยู่ในคุก ส่วนกโยซึลอยู่ด้านนอก ทั้งคู่ทำได้เพียงยื่นมือไปหากันและกันระหว่างกรงขังไม้นี้

 

 

“เราจะทำอย่างไรดี”

 

 

“ตอนนี้กระหม่อมหาได้กังวลต่อสิ่งใดแล้ว”

 

 

“มีหนทางแล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

กโยซึลเมื่อเห็นรูแฮทำท่าโล่งใจก็แสดงความยินดีผ่านทางใบหน้าพร้อมกับถามออกไป รูแฮส่งยิ้มสดใสให้อย่างที่เคยทำ

 

 

“กระหม่อมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะพิสูจน์ให้ได้เห็น แล้วในตอนนี้กโยซึลก็มาหากระหม่อมด้วยตนเองพร้อมกับเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงแล้วมิใช่หรือ” อยู่ๆ รูแฮก็เอ่ยคำโอ้อวดที่ว่าตนจะพิสูจน์ความรู้สึกของกโยซึลให้ได้เห็น ถึงแม้ว่าความรู้สึกของ

 

 

กโยซึลจะถูกพิสูจน์แล้วดั่งคำโอ้อวดของเขาด้วยเหตุที่นางมายังคุกแห่งนี้ ทว่าในตอนนี้สิ่งสำคัญหาใช่การพิสูจน์ความในใจไม่ สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาทั้งสองในตอนนี้คือการพิสูจน์ความบริสุทธิ์

 

 

“ตอนนี้ใช่เวลาล้อเล่นหรือ”

 

 

“เพราะฉะนั้น” น้ำเสียงล้อเล่นของรูแฮเปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

 

“ในครั้งนี้เองกระหม่อมก็จะพิสูจน์ความจริงให้ได้เช่นกัน”

 

 

“ไม่ว่าจะมีผู้ใดพยายามป้ายความผิดอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็คงไม่สามารถเอาชนะความจริงได้”

 

 

กโยซึลแสดงความเห็นด้วยด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว และที่น่าปลาบปลื้มยิ่งกว่านั้นก็คือการที่กโยซึลไม่สงสัยถึงความบริสุทธิ์ของรูแฮเลย

 

 

“ทรงเชื่อกระหม่อมหรือ ทรงเชื่อว่ากระหม่อมไม่ได้เป็นคนทำร้ายชายาเซจาและลูกของนางที่อยู่ในครรภ์โดยไม่ตรัสถามสิ่งใดเลยหรือ”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว! รูแฮจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน”

 

 

ท่าทีที่เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อสงสัย แววตาเชื่อใจดั่งคำพูด กโยซึลที่มีความเชื่อมั่นในตัวของรูแฮอย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้ทำให้เขาใจเต้นอีกครั้ง

 

 

“ข้ารักท่าน” หากจะหาคำใดตอบกลับมาก็คงจะมีเพียงคำบอกรักเท่านั้น แก้มของกโยซึลแดงเรื่ออีกครั้ง

 

 

“เหตุใดถึงเอาแต่พูดคำนี้ น่าอายยิ่ง…”

 

 

“ข้าจะพูดกับท่านเรื่อยๆ จนกว่าท่านจะชินกับมัน”

 

 

รูแฮเมื่อเห็นกโยซึลมีท่าทีเขินอายที่ตนบอกรักก็ยิ่งเอ่ยย้ำอย่างหยอกล้อ เขาเอื้อมมือออกไปกุมที่หลังคอของนาง อยากจะดึงนางเข้ามาแล้วสัมผัสทุกอย่างของนาง ทว่าก็ทำได้เพียงแตะหน้าผากของตนไปที่หน้าผากของกโยซึลแล้วสูดหายใจลึก หลังจากนั้นก็กระซิบอย่างแผ่วเบาว่า

 

 

“ข้ารักท่าน รัก รักท่านเหลือเกิน”

 

 

เสียงอันสั่นไหวของรูแฮขยับเข้าไปใกล้ใบหูกโยซึลมากขึ้น มันใกล้จนเกือบสัมผัสใบหูนางและในระยะห่างที่ชวนหวั่นไหวนี้

 

 

“รักเพียงแค่เจ้า”

 

 

ไม่มีสิ่งใดหวานล้ำกว่านี้อีกแล้ว กโยซึลอยากละทิ้งทุกสิ่งแล้วปล่อยตัวให้จมลึกลงไปในน้ำเสียงหวานหูของรูแฮ ภายในคุกลับใต้หินที่กรมราชองครักษ์แห่งพระราชวังกลาง ความรู้สึกภายในจิตใจลึกซึ้งมากขึ้นทุกที

 

 

***

 

 

ในขณะที่อีกสถานที่หนึ่งคู่รักได้กลับมาพบกันอีกครั้งอย่างลับๆ ด้วยความยากลำบาก ที่ตำหนักซอชอนเองก็ได้มีการประชุมหารือกันอย่างลับๆ เช่นเดียวกัน

 

 

“พระชายาทรงเสด็จไปที่ตำหนักดงชอนพ่ะย่ะค่ะ” เป็นการรายงานธรรมดาทั่วไป ทว่าประโยคต่อมาก็ทำให้ตาของดึกวอลเป็นประกายขึ้น

 

 

“หลังจากนั้นก็ทรงปรากฏตัวที่คุกชั่วคราวที่กรมราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ”