กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 907

จักรพรรดินีโบกพระหัตถ์เพื่อให้ทุกคนออกไปและเหลือเพียงไป่หนิง กู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหาน

เยี่ยจิ่งหานเพิกเฉยต่อพระนาง

“รักษาอยู่นานเช่นนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่หายเสียที?” จักรพรรดินีเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย

“ฝ่าบาทเพคะ อาการบาดเจ็บของคุณชายเยี่ยนั้นสาหัสอย่างมาก จำเป็นต้องใช้เวลาอีกหน่อยเพคะ”

“หนึ่งเดือนกว่า ข้าให้เวลาเจ้าเพียงหนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น หลังจากหนึ่งเดือนครึ่ง หากเขายังไม่หายเป็นปกติ ฮึ……”

“ขอรับ……”

“ฟังให้ดีล่ะ ข้าบอกว่าหายเป็นปกตินั้น รวมไปถึงขาทั้งสองข้างของเขาด้วย”

กู้ชูหน่วนตกตะลึง

จักรพรรดินีชั่วร้ายคนนี้ พระนางรู้หรือว่านางต้องการรักษาขาทั้งสองข้างของเยี่ยจิ่งหาน?

“ข้าน้อยจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพคะ……”

“ไม่ใช่พยายาม แต่ต้องรักษาให้หาย” จักรพรรดินีใช้สายตาในการกล่าวเตือน

ถึงแม้ว่าพระนางจะไม่บอกถึงผลที่ตามมา แต่กู้ชูหน่วนรู้ดี หากนางไม่สามารถรักษาให้หายได้ และไม่สามารถหนีออกไปจากวังหลวงได้ เช่นนั้น……ผลที่ตามมานั้นนางไม่สามารถแบกรับเอาไว้ได้อย่างแน่นอน

“เพคะ”

“หลังจากเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ข้าจะแต่งงานกับหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้า เหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหาน”

ซี๊ด……

ร่างกายของเยี่ยจิ่งหานเย็นลงเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเพราะพระนางพูดถึงเหวินเส่าอี๋ หรือเพราะพูดถึงการแต่งงานกับเขา

พระพักตร์ของจักรพรรดินีแสดงออกถึงความชื่นชมและพอใจในตัวเยี่ยจิ่งหาน จากนั้นตรัส “ถึงตอนนั้นข้าจะแต่งตั้งให้เหวินเส่าอี๋เป็นสามีเอก และเยี่ยจิ่งหานเป็นสามีรอง”

“ยินดีด้วยเพคะ” ไป่หนิงกล่าวแสดงความยินดี

กู้ชูหน่วนก็กล่าวแสดงความยินดีออกไปด้วยความไม่เต็มใจ

จักรพรรดินีค่อยๆ เสด็จเข้ามาใกล้เตียงของเยี่ยจิ่งหานและประทับลงที่เตียงของเขา จากนั้นจับคางของเขาด้วยนิ้วเรียวยาว ยิ้มและตรัสว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ข้าต้องรอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายนั้น ข้าต้องรอด้วยความทุกข์ทรมานมากเพียงใด?”

เยี่ยจิ่งหานสะบัดออกอย่างรุนแรงด้วยความรังเกียจและกล่าวอย่างเย็นชา “หญิงไร้ยางอาย เจ้าน่ะหรือจะมีสิทธิ์ได้ครอบครองข้า”

“บังอาจ เจ้ากล้าพูดกับฝ่าบาทเช่นนี้หรือ”

“เจ้าต่างหากที่บังอาจ เป็นเพียงสุนัขรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่พูดแทรกขึ้นมา?”

เยี่ยจิ่งหานมองไปยังไป่หนิงอย่างเย็นชาและความเป็นราชาผู้อำมหิตเยือกเย็นก็แผ่ซ่านออกมา

ถึงแม้ว่ากำลังความสามารถของเขาจะถูกผนึก แขนและขาถูกมัด อีกทั้งร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่รัศมีความเป็นราชาผู้อำมหิตและความเยือกเย็นของเขานั้นกดทับไป่หนิงจนนางอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านออกมาเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่ง

แต่หากจพูดถึงความเป็นราชากันอย่างจริงจังแล้ว นางรู้สึกว่าพระนางไม่อาจสู้เยี่ยจิ่งหานได้

ไม่เพียงแค่ไป่หนิงที่คิดเช่นนั้น

กู้ชูหน่วนก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน

แม้ว่าจักรพรรดินีเป็นผู้สูงส่ง แต่บนร่างกายของพระนางนั้นกลับเต็มไปด้วยความน่ากลัวชั่วร้าย

เยี่ยจิ่งหานรู้สึกดูถูก รังเกียจเหยียดหยามจักรพรรดินีอย่างมาก แต่จักรพรรดินีกลับไม่โกรธและลูบไล้ไปตามหลอดเลือดแดงของเยี่ยจิ่งหานด้วยเล็บที่ทาด้วยสีแดงสด

พระนางเลียริมฝีปากอยู่หลายครั้ง ราวกับมีความต้องการและกระหายอย่างมาก

“ไม่เลวเลย ร่างกายกำยำมาก เลือดของเจ้าต้องอร่อยมากแน่ๆ”

“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียน”

“ฝ่าบาท คุณชายเยี่ยไม่มีความยำเกรงและเคารพในฝ่าบาทเลย ข้าน้อยโปรดให้ฝ่าบาทลงโทษเขาอย่างหนักเพคะ”

“เช่นนี้สิถึงจะมีรสชาติป่าเถื่อนดี ข้าชอบ”

“จักรพรรดินีชั่วร้าย เจ้าต้องชดใช้กับสิ่งที่เจ้าทำไปทั้งหมดในวันนี้”

“ได้ ข้าจะรอวันนั้น”

จักรพรรดินีตรัสเสร็จ จากนั้นยกผ้าห่มขึ้นและเผยให้เห็นสะบักไหล่ หน้าท้อง……แม้แต่เอว……

แต่ละครั้งที่พระนางยกขึ้น ความเยือกเย็นในตัวของเยี่ยจิ่งหานก็มากขึ้นเรื่อยๆ

เยี่ยจิ่หงานพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากโซ่เหล็กพันปีที่ข้อมือและข้อเท้าของเขา

จากนั้นมีเสียงกล่าวออกมาจากซอกฟัน “หากเจ้ากล้าแตะเนื้อต้องตัวข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าสาบานว่าจะทำให้เจ้าต้องร้องขอความตายอย่างแน่นอน”

ฉับ……

บรรยากาศเย็นลงเรื่อยๆ

สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานนั้นดำสนิทราวกับก้นหม้อ รัศมีสังหารอาฆาตในแววตาของเขานั้นดุเดือดพลุ่งพล่าน

หนาวเหน็บจนไป่หนิงและกู้ชูหน่วนสั่นสะท้านโดยไม่รู้สึกตัว

ผู้ชายคนนี้รู้สึกโกรธโมโหแล้วจริงๆ

หากเขาสามารถปลดพันธนาการออกได้

แม้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็สามารถทำให้วังหลวงนี้เละเป็นทะเลเพลิงได้อย่างแน่นอน

ผู้ชายคนนี้……ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

แต่จักรพรรดินีกลับไม่รู้สึกเกรงกลัว

พระนางยังคงจับจ้องไปยังเบื้องล่าง

จนขณะที่ถึงบริเวณเอว พระหัตถ์ของจักรพรรดินีก็แข็งทื่อ

พระสรวลบนพระพักตร์ของพระนางก็แข็งทื่อ แววตาคู่นั้นจ้องมองไปยังปานสามเหลี่ยมบริเวณเอวข้างซ้ายของเยี่ยจิ่งหานโดยไม่ละสายตา

ปานนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับมีรูปร่างชัดเจน

ปานนี้เหมือนไม่ได้มีมาหลังจากกำเนิดออกมาจากครรภ์

ดูแวบแรกก็รู้ว่าปานนี้มีมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์

เยี่ยจิ่งหานตะโกนด่าทอ “ไสหัวไป……”

นอกหน้าต่าง นกทั้งหลายต่างตกใจและบินหนีไป ทหารอารักขาที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ตกใจจนตัวสั่นและรู้สึกได้ถึงความเดือดดาลของคนที่บ้าระห่ำอยู่ใกล้ๆ ที่สามารถลงมือฆ่าสังหารได้ทุกขณะ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการตะโกนคำรามของเยี่ยจิ่งหานหรือไม่

หรือเพราะจักรพรรดินีเห็นปานบริเวณเอวข้างซ้ายของเยี่ยจิ่งหาน

พระนางวางพระหัตถ์ลง

โดยไม่เปิดผ้าห่มไปถึงข้างล่างอีกต่อไป

แต่กลับจ้องไปยังเยี่ยจิ่งหานที่โกรธจัดอย่างไตร่ตรอง

เยี่ยจิ่งหานโกรธจนกัดฟันกรอดและจ้องจักรพรรดินีตาเขม็ง

ราวกับหากพระนางยังกล้าแตะต้องเขาอีกเพียงนิดเดียว เช่นนั้นคงต้องพังพินาศไปราวกับหยกที่แตกละเอียด

จักรพรรดินีรีบกลับไปสู่ท่าทางอ่อนช้อยก่อนหน้านี้อย่างเร็วไวและใช้น้ำเสียงเรียบเฉยตรัสว่า

“คนก็ดูน่ากิน แต่นิสัยแย่ไปเสียหน่อย ยังต้องอบรมสั่งสอนอีกเยอะ วางใจได้……ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเป็นพิเศษ”

ขณะที่จักรพรรดินีตรัสคำว่าพิเศษนั้น พระนางได้แอบเหลือบมองเยี่ยจิ่งหาน

“ปรนนิบัติดูแลคุณชายเยี่ยให้ดี หากเขาฆ่าตัวตาย เช่นนั้นเก้าชั่วโคตรของพวกเจ้าต้องถูกฆ่าตายเพื่อสังเวยตามไปด้วย”

“เพคะ……”

เมื่อจักรพรรดินีเสด็จออกไป เบื้องหลังของพระนางมีขันทีและนางกำนัลตามออกไปอีกจำนวนมาก

เยี่ยจิ่งหานยังคงทำสีหน้าเยือกเย็นและความโกรธในร่างกายของเขายังไม่ลดลง

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วและมองไปยังบริเวณเอวข้างซ้ายของเยี่ยจิ่งหาน

เหตุใดนางจึงรู้สึกว่า ตอนที่จักรพรรดินีมองไปยังปานของเยี่ยจิ่งหานนั้น ดูแล้วปฏิกิริยาของพระนางนั้นแปลกไปเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าพระนางจะกลับสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่สายตาของพระนางยังคงเต็มไปด้วยความตกใจที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หรือว่าจักรพรรดินีรู้จักเยี่ยจิ่งหานมาก่อนหน้านี้แล้ว?

ไม่น่าเป็นไปได้กระมัง

เยี่ยจิ่งหานมาจากพื้นที่ดินแดนอื่นไม่ใช่หรือ?

หรือว่าจักรพรรดินีก็มาจากรัฐเยี่ยด้วยเช่นกัน?

กู้ชูหน่วนตกใจอย่างมากจากความคิดของนางเอง

ไม่นานนางก็ปฏิเสธ

จักรพรรดินีอยู่ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งนี้ตั้งแต่เล็กจนโต จะเคยไปรัฐเยี่ยได้อย่างไร

นอกเสียจาก……

จักรพรรดินีคนนี้ไม่ใช่จักรพรรดินีที่แท้จริง

แต่หากพระนางไม่ใช่จักรพรรดินีที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วจักรพรรดินีที่แท้จริงอยู่ที่ใดหรือ?

เหตุใดเหล่าขุนนางในราชสำนักของรัฐปิงถึงไม่รู้?

กู้ชูหน่วนนั่งลงที่เตียงของเยี่ยจิ่งหานโดยไม่รู้ตัวพร้อมด้วยคำถามมากมาย

จนมาถึงตอนที่ได้ยินเสียงตะโกนคำรามของเยี่ยจิ่งหานดังขึ้นในหู “เจ้าตาบอดหรืออย่างไร? นั่งลงที่ใด?”

กู้ชูหน่วนตกใจจนตัวสั่น

เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่านางได้นั่งลงบริเวณช่วงล่างของเอวของเขา

นางหน้าแดงก่ำและรีบลุกขึ้นยืน

จากนั้นรีบกล่าวอย่างเขินอาย “ขอโทษ ข้าเหม่อลอยน่ะ”

เยี่ยจิ่งหานหัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือไม่

ถูกขังอยู่ในวังหลวงของรัฐปิง เป็นถึงท่านอ๋องแต่ถูกจักรพรรดินีคนหนึ่งลวนลามก็ลำบากใจมากพอแล้ว

และตอนนี้ยังถูกผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่รู้หัวนอนปลายเท้า……

โกรธ……

โกรธมากเหลือเกิน

กู้ชูหน่วนลูบไล้เส้นผมของเขา “ไม่ได้กดจนใช้งานไม่ได้ ไม่เป็นปัญหาต่อเรื่องอย่างว่าระหว่างเจ้ากับจักรพรรดินีหรอก”

“เจ้าอยากถูกตบปากอย่างนั้นหรือ?”

“พระนางเป็นถึงจักรพรรดินี ได้แต่งงานกับพระนางก็ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็สุขสบายและร่ำรวย มีสักกี่คนที่มีโอกาสอย่างเจ้า”

“ก็ได้ๆ……ข้าพูดผิด แต่เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าจักรพรรดินีมีบางสิ่งผิดปกติ”

เยี่ยจิ่งหานยังคงโกรธและหันศีรษะของเขาไปอย่างขุ่นเคือง โดยไม่สนใจคำพูดของกู้ชูหน่วน

เขาก็สงสัยว่าจักรพรรดินีไม่ปกติ

เขายังสงสัยอีกด้วยว่าความสามารถที่แท้จริงของจักรพรรดินีเมื่อเทียบกับเขาแล้ว แข็งแกร่งกว่าหรือแทบไม่มีความสามารถเลย

เมื่อก่อนเขาเพียงแค่คาดเดา

แต่เมื่อสักครู่ที่จักรพรรดินีมองมายังเอวของเขา พระนางได้เปล่งรัศมีอย่างหนึ่งของผู้แข็งแกร่งออกมา

พละกำลังของรัศมีชนิดนี้ อย่างน้อยจะต้องอยู่ในระดับหก

แม้อาจถึงยอดฝีมือสูงสุดระดับหกก็เป็นได้

“ไม่รอให้ถึงค่ำแล้ว เริ่มเคาะกระดูกตอนนี้เลยเถอะ?”

“ตอนนี้? เช่นนั้นหากจักรพรรดินีเสด็จกลับมาอีกจะทำเช่นไร?”

“เจ้าเป็นคนตายอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าเป็นเพียงแค่หมอคนหนึ่ง จะไปเผชิญหน้าจัดการกับจักรพรรดินีได้อย่างไร”