บทที่ 410 การพบปะอย่างลึกลับ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“เขตสำคัญทางทหาร ห้ามเข้าไป!”

เย่เทียนมองอักษรสีแดงฉานที่แขวนอยู่บนประตูเหล็กแล้วตากระตุกเล็กน้อย เขามองฉินโล่หยินที่นั่งฝั่งคนขับด้วยสีหน้าประหลาด

วันนี้เขาได้รับโทรศัพท์จากฉินเจิ้งแต่เช้า พูดอย่างลึกลับว่าฉินโล่หยินจะพาเขาไปไหนสักที่

ตอนแรกเย่เทียนอยากปฏิเสธ แต่ฉินเจิ้งบอกว่าจะไม่ให้เขากลับมือเปล่า

หลังจากชั่งใจดู ยังไงตี๋ต้าจื้อก็มาแล้ว เย่เทียนจึงตามฉินโล่หยินมาแต่โดยดี อยากเห็นว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ฉินเจิ้งจริงจังและระมัดระวังขนาดนี้

แต่ต่อให้เย่เทียนคิดจนหัวจะระเบิดก็เดาไม่ได้ว่าฉินโล่หยินจะพาเขามาที่เขตทหารเมืองเจียงหนัน

ที่นี่คือป้อมปราการระบบปิดโดยไม่ต้องสงสัย ทุกห้าหกเมตรมีทหารยืนรักษาการณ์ด้วยอาวุธครบครัน ถ้ามีใครใจกลัาฝืนบุกเข้ามา ต้องโดนยิงจนพรุนอย่างกับรังผึ้งแน่นอน

ยังไงซะลุงใหญ่ของฉินโล่หยิน ฉินชิงหู่ก็ทำงานอยู่ที่นี่ ทหารที่ยืนรักษาการณ์อยู่ย่อมไม่กล้าขวาง ปล่อยให้ทั้งสองคนบุกเข้ามาในฐานทัพที่มีมาตรการเข้มงวดนี้ตามใจชอบ

เย่เทียนมองซ้ายทีขวาที ท่าทางอย่างกับบ้านนอกเข้ากรุงไม่มีผิด เขาตามหลังฉินโล่หยินมาอยู่หน้าตึกที่สูงเพียงสองชั้น

ทหารสองคนที่ยืนตัวตรงแด่วเฝ้าประตูประหนึ่งเจ้าที่ หน้าตาเย็นชาไร้ความรู้สึก จิตสังหารพลุ่งพล่านออกมาอยู่รอบตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารแกร่งที่ผ่านศึกหนักมาแล้ว!

ยังไงซะก็เป็นคนที่ต้องคุ้มกันหัวหน้าสำคัญ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าทหารธรรมดานั้นเทียบไม่ได้

เย่เทียนใจกระตุกวูบ กลืนน้ำลายด้วยสัญชาตญาณ

“พี่เย่ ทำไมฉันรู้สึกว่าพี่ตื่นเต้นจังเลยล่ะ?”

ดูเหมือนฉินโล่หยินจะสัมผัสความผิดปกติของเย่เทียนได้ เธอหันมาด้วยสีหน้าก่อกวน

“ตื่นเต้น? ฉันจะไปตื่นเต้นได้ยังไง”

เย่เทียนแกล้งทำเป็นไม่กลัวอะไร แต่เหงื่อที่ฝ่ามือกลับเช็ดออกไม่หมดสักที

อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย ต่อให้เป็นช่วงที่เขาอยู่จุดสูงสุดเมื่อชาติที่แล้ว เย่เทียนก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในฐานทัพทหารใดๆด้วยความโอหังเลยสักครั้ง

ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่กล้าจริงๆ

ไม่พูดเรื่องที่ในฐานทัพทหารมีทหารที่พลังสูงส่งมั้ย แค่กองทัพที่มาตั้งฐานอยู่ อาวุธปืนกลที่พลานุภาพแรงกล้ามีตั้งมากมาย ทลายโล่ทิพย์ได้สบายอย่างกับเป็นของเล่นเลยล่ะ ใครกล้าฝืนบุกเข้าไปต้องเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งอย่างแน่นอน!

ถึงแม้เย่เทียนจะเชื่อใจตระกูลฉินอยู่มาก แต่ตระกูลฉินเล่นซะลึกลับขนาดนี้ เขาไม่คิดเป็นอื่นเลยคงเป็นไปไม่ได้หรอก

โบราณว่าไว้ จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิพึงมี การระวังผู้อื่นมิควรขาด

ฉินโล่หยินยิ้มหวาน ไม่ได้เปิดโปงความคิดเหล่านั้นของเย่เทียน เธอหันไปยิ้มสดใสให้กับทหารสองนายที่ยืนเฝ้าการณ์อยู่

“พี่ไห่ พี่เฉิน ลุงใหญ่ฉันอยู่ข้างในมั้ยคะ?”

“อยู่ครับ” ทหารฝั่งซ้ายพยักหน้าเบาๆ สายตาที่มองเย่เทียนยังคงเต็มไปด้วยความระแวง

“พี่ไห่นี่คือเย่เทียนค่ะ เถ้าแก่ถังหัวหน้าของลุงใหญ่ได้เชิญพี่เย่ไปร่วมงานคัดตัวสมาชิกทีมสายฟ้าที่เมืองจิน”

ฉินโล่หยินสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของทหารได้อย่างว่องไว ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลเรื่องอะไร รีบอธิบาย

“ที่แท้นายก็คือเย่เทียนเหรอ สนใจประลองกับฉันหน่อยมั้ย?”

“เล่าลือกันต่อๆมาซะอัศจรรย์ ฉันก็นึกว่ามีสามหัวหกแขน ตอนนี้ดูแล้วก็คนเหมือนๆกันนี่”

พอเขาพูดแบบนี้ ทหารสองคนที่เฝ้ายามอยู่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยในบัดดล สายตาฉายแววอยากลอง

“บางทีพวกนายอาจจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่อย่าหาว่าโม้เลย แค่ความสามารถของพวกนายยังไม่มีสิทธิ์สู้กับฉัน”

ความเป็นปรปักษ์ที่ทั้งสองแสดงออกมาทำให้เย่เทียนงงนิดหน่อย เขาขมวดคิ้วมองฉินโล่หยิน ก่อนจะปริปากเรียบๆ

“ใจกล้าดีนี่ แต่ไม่รู้ว่านายมีความสามารถขนาดนั้นจริงรึเปล่า!”

“โอหัง! เชื่อมั้ยว่าฉันล้มนายได้ตอนนี้เลย”

ทหารสองนายตะคอกเสียงดุดัน ท่าทางเย็นชานั้นราวกับถ้าพูดกันไม่ถูกคอก็พร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ

“พี่ไห่ พี่เฉิน ลุงใหญ่ฉันยังรอพบเย่เทียนอยู่นะคะ ฉันพาเขาเข้าไปก่อนนะ”

เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายใกล้ปะทุขึ้นไปเรื่อยๆ ฉินโล่หยินประหลาดใจเสร็จแล้วก็รีบตั้งสติและลากเย่เทียนเข้าไปข้างใน

“โล่หยิน นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมสองคนนั้นถึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันขนาดนี้?”

หลังจากเข้ามาในประตูใหญ่แล้ว เย่เทียนที่ได้สติไม่ทันสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบๆก็รีบดึงฉินโล่หยินไว้ไม่ให้เดินต่อ

“เย่เทียน นายมาแล้วเหรอ?”

แต่ไม่รอให้ฉินโล่หยินตอบอะไร เสียงเสน่ห์เสียงหนึ่งกลับดังลงมาจากในห้องเสียก่อน

มองไปตามเสียง ก็เห็นว่าประตูของห้องห้องหนึ่งถูกเปิดออก ถังเหวินหลงเดินนำลงมาก่อน

เรื่องที่เหนือความคาดหมายของเย่เทียนที่สุดคือคนที่อยู่ข้างถังเหวินหลงคือหลัวสาม!

และมีฉินชิงหู่ เฉิงหลง กับหัวหน้าระดับสูงคนอื่นๆในเขตทหารเมืองเจียงหนันตามมาด้วย

สีหน้าของเย่เทียนประหลาดขึ้นมาในบัดดล เขารู้ว่าหลัวสามมีฐานะไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะสุดยอดขนาดนี้

ดูจากลำดับในการเดินออกจากห้องของพวกเขาแล้ว ฐานะของหลัวสามอยู่เหนือกว่าหัวหน้าระดับสูงเขตฐานทัพสามสี่คนนั้นอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่าเย่เทียนก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมฉินเจิ้งถึงต้องให้ฉินโล่หยินพาเขามาให้ได้ เกรงว่าเป็นสิ่งที่ถังเหวินหลงต้องการด้วยน่ะสิ

“มาๆๆ เย่เทียน นั่งคุยกันเถอะ”

ถังเหวินหลงทักทายเย่เทียนอย่างเปี่ยมเมตตา และเดินมานั่งบนเก้าอี้ในห้องรับแขก

เย่เทียนเงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่ยศสูงมีอำนาจทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ โดยเฉพาะหลัวสาม สายตาของเย่เทียนหยุดที่เขาหลายวิ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามถังเหวินหลงเงียบๆ ในใจยังระแวงอยู่บ้าง

สถานการณ์เช่นนี้ออกจะคล้ายกับขึ้นศาลตัดสิน บวกกับที่ตัวเองเตะหลัวสามไปก็ไม่เบา ถ้าตาเฒ่าปัญญาอ่อนนั่นต้องการเอาคืน ไม่แน่วันนี้อาจจะตั้งใจเรียกถังเหวินหลงมาเพื่อข่มตัวเอง

“เย่เทียน นายคงแปลกใจมากสินะว่าทำไมถึงเรียกนายมาในวันนี้?”

ถังเหวินหลงมองเย่เทียนด้วยรอยยิ้ม “จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่มีของบางอย่างที่ต้องมอบให้นายกับมือ”

ขณะที่พูด ถังเหวินหลงโบกมือ เฉิงหลงที่ตำแหน่งต่ำที่สุดในที่นี้รีบลุกขึ้น ทำหน้าทำตาและควักหนังสือเล่มเล็กๆสีแดงออกจากอกก่อนจะยื่นให้เย่เทียน

เย่เทียนรับมาด้วยสีหน้างุนงง เมื่อเห็นคำว่า ‘ใบอนุญาตครูฝึกสอน’แล้วอดตากระตุกไม่ได้

เขารีบเปิดหนังสือสีแดงเล่มเล็กดู รูปถ่ายสามนิ้วบนนั้นถ้าไม่ใช่ตัวเองแล้วจะเป็นใครอีก?!

โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าบนหนังสือสีแดงบัญญัติสำนักเฟยวี่ ในช่องแผนก ส่วนตำแหน่งคือครูฝึกสอนของหน่วยชางหลงแห่งเขตทหารเมืองเจียงหนัน เย่เทียนก็นิ่งไม่ไหวอีกต่อไป

“ท่านถัง นี่มันอะไรกันครับ? เรื่องตำแหน่งผมยังพอเข้าใจได้ แต่ตรงแผนกหมายความว่ายังไงครับ? ชื่อปัญญาอ่อนอย่างสำนักเฟยวี่คงไม่ใช่แผนกของระบบหรอกนะครับ”

“เฮ้ไอ้หนุ่ม นายพูดอย่างนี้ได้ยังไง”

ไม่รอให้ถังเหวินหลงตอบ หลัวสามเป็นฝ่ายส่งเสียงขึ้นมาก่อน เขาพูดอย่างไม่พอใจ “สำนักเฟยวี่เป็นสำนักของฉัน แม้แต่ในโลกของนักบู๊ ก็เป็นการดำรงอยู่ที่สามารถติดอยู่ในสิบอันดับแรก!”

“คราวนี้ฉันช่วยนายไว้มากนะ นายสงบปากสงบคำไว้จะดีกว่า!”