ตอนที่ 1725 แผนการของแมลงมีเขา

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เสียง “ตูม” ดังขึ้น ชั่วพริบตาที่ซากศพล้มลง ลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นก็ระเบิดออก

กายเนื้อและพลังปราณในร่างกลายเป็นพายุโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งออกไปรอบด้านราวกับพายุฝน

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ดังสนั่นไปทั่ว

ท่ามกลางพายุโลหิต เงาลวงตารางๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ กระโจนเข้ามาหาระฆังสีขาวหิมะราวกับภูตผี

นั่นก็คือทารกวิญญาณของชายหนุ่มที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนี!

เขากลับรู้ดีว่า หลังจากที่สูญเสียกายเนื้อไป อาศัยแค่ทารกวิญญาณย่อมหนีออกจากเงื้อมมือของหานลี่ได้ยาก จึงอยากสิงเข้ากับระฆังสีเงิน หวังว่าจะอาศัยอานุภาพมหัศจรรย์หนีเอาชีวิตรอดไปได้

วานรยักษ์เผชิญหน้ากับลูกธนูโลหิตที่พุ่งเข้ามา ทว่าไม่ได้หลบหลีก กลับยิ่งมีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน ทรวงอกบวมพองขึ้น แล้วร้องคำรามออกมา

เสียงร้องคำรามราวกับเสียงฟ้าผ่า เมื่อออกจากปากก็สั่นสะเทือนอากาศในบริเวณรอบ บรรยากาศตรงหน้าถูกระลอกคลื่นเสียงม้วนวนเข้าไป ทยอยกันบิดเบี้ยว ตาข่ายเส้นไหมปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน

หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์พลันร้องคำราม คาดไม่ถึงว่าจะทำให้อากาศแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เห็นได้ชัดถึงพลานุภาพที่แฝงอยู่

ชั่วพริบตาที่พายุโลหิตเหล่านั้นระเบิดหายไป ในเวลาเดียวกันนั้นเงาลวงตาสายนั้นก็ตกอยู่ในอาณาเขตของเสียงคำราม ไม่ทันได้ร้องครวญครางก็กลายเป็นผุยผงเช่นกัน

แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ พริบตาที่ทารกวิญญาณของชายหนุ่มถูกทำลาย ระฆังสีขาวโพลนก็เปล่งเสียงร้องออกมา เปล่งแสงเจิดจ้า แล้วระเบิดตัวออก

ทว่าการระเบิดตัวตนของสมบัติชิ้นนี้กลับไม่เผยอานุภาพออกมาเลยสักนิด แค่กลายเป็นลำแสงสีขาวกะพริบวาบๆ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

วานรยักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนั้น แววตาพลันฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ แต่ร่างกายกลับเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศ

ครู่ต่อมาวานรยักษ์พลันปรากฏตัวขึ้นเหนือหัวของงูเหลือมยักษ์สีขาวที่กำลังพัวพันกับกิ้งก่าหกขา

กำปั้นยักษ์ทั้งสองทุบลงมาราวกับพายุฝนกระหน่ำ

น่าเสียดายกิ้งก่าตัวนั้นมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง แต่ภายใต้การโจมตีของวานรยักษ์ที่แปลงกายมาจากหานลี่ ก็ถูกทุบจนเป็นน้ำจิ้มเนื้อไร้ซึ่งแรงต้านทาน แม้กระทั่งแก่นปีศาจก็ยังถูกตะปบเอาไว้แน่น

จิตวิญญาณปีศาจหนีออกมาจากกายเนื้อ และถูกงูเหลือมยักษ์สีขาวกลืนลงท้องไป จิตวิญญาณแตกกระจายออก

วานรยักษ์เห็นศัตรูตนสุดท้ายถูกทำลาย ทันใดนั้นร่างก็ระเบิดลำแสงสีทองออกมา ร่างกายหดเล็กลง

หานลี่ที่อยู่กลางอากาศกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ จากนั้นก็หันหน้าไป จ้องเขม็งไปยังจุดที่ระฆังสีขาวหิมะหายวับไป แววตาเปล่งประกายครุ่นคิด

……

ในเวลาเดียวกันที่ระฆังใบน้อยระเบิดตัวออกในแดนกว้างเย็น ภายในวิหารลับแห่งหนึ่งในแดนวิญญาณ ชั้นสูงที่สุดที่ถูกเขตอาคมล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา พลันมีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น

“เป็นไปได้อย่างไร!”

เสียงร้องเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

ตรงทางเข้าของหอคอย นักรบชุดเกราะสีทองสองสามคนยืนตัวตรงแน่วอยู่ แต่กลับมีใบหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับไม่ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากหอคอยเลยสักนิด

ในชั้นสูงของหอคอย มีชาวเผ่าแมลงมีเขาสีหน้าแตกต่างกันอยู่สามคน มองไปยังระฆังยักษ์สีขาวหิมะที่อยู่บนโต๊ะบูชาหยกสีเขียวมรกต สีหน้าเผยความเคร่งเครียดออกมา

ระฆังยักษ์บนโต๊ะมีความสูงหนึ่งจั้ง นอกจากขนาดแล้ว รูปร่างและสีสันก็เหมือนกับระฆังใบน้อยที่ชายหนุ่มเขาสีทองควบคุมทุกระเบียบนิ้ว

และบนพื้นใต้โต๊ะหยก กลับมีเขตอาคมขนาดเล็กที่เรียงรายกันอยู่ห้าอันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ

สี่ในห้านั้นล้วนว่างเปล่า มีเพียงอันเดียวที่เข้าใกล้กับเขตอาคมของระฆังยักษ์ แต่กลับปรากฏลำแสงสีขาวออกมา

ลำแสงสีขาวและระฆังยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับว่าตอบสนองต่อกันอย่างไรอย่างนั้น

“คาดไม่ถึงว่าจะมีอาวุธสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งถูกทำลายแม้แต่วัตถุดิบหลักของอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างวิญญาณเที่ยงแท้ระฆังเทวาก็ยังบินกลับมา ดูแล้วศิษย์ที่ครองอาวุธสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง คงเพลี่ยงพล้ำไปในแดนกว้างเย็นแล้ว” หญิงงามเอ่ยพึมพำ

“มันจะแปลกอันใด ในแดนกว้างเย็นมีคนที่ถูกส่งมาจากเผ่าที่แข็งแกร่งตั้งเท่าไหร่ เจ้านี้เจอกับคู่ต่อสู้ที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือชั้นสองสามคน หรืออาจจะบังเอิญพบกับอสูรโหดเหี้ยมในแดนนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ชายชราอีกคนหนึ่ง สวมชุดสีขาว หว่างคิ้วมีจุดสีเขียว ฟั่นหนวดขณะเอ่ย ท่าทางไม่ใส่ใจ

“พี่ซื่อซิน พูดเช่นนี้ไม่ถูกนัก มีอาวุธลอกเลียนแบบสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์อย่างระฆังลวงนภาอยู่ ต่อให้ประสบกับระดับศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะเอาชีวิตรอดได้สบายๆ และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ก็ได้กำชับเอาไว้แล้วว่า ทุกคนต้องเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะพบกับอันตรายใดที่ทำให้ศิษย์หลักที่ถืออาวุธสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีผู้คนคุ้มกันจำนวนมากเพลี่ยงพล้ำได้ และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ต่อให้ตอนแรกจะถูกส่งตัวไปไกลแค่ไหน พวกเขาในตอนนี้ก็น่าจะถึงที่หมายและเริ่มดำเนินการตามแผนแล้ว” คนสุดท้ายคือชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าใบหน้าขาวผ่องไร้หนวดเครา เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ

เมื่อได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ แววตาของชายชราก็ฉายแววครุ่นคิด

“ไม่ว่าศิษย์ผู้นั้นจะเพลี่ยงพล้ำได้อย่างไร กลุ่มคนผู้นั้นก็สูญเสียอาวุธสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว และสูญเสียโอกาสที่จะได้ของสิ่งนั้นมา นี่มีผลกระทบต่อแผนการใหญ่ของเผ่าเราเป็นอย่างมาก” หญิงงามวัยกลางคนกลับมีสีหน้าราบเรียบ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

“ไม่เป็นไร เจ้าสิ่งนั้นมีทั้งหมดห้าส่วน ขอแค่คนที่เหลือได้มา การเปิดแดนกว้างเย็นครั้งต่อไปก็ยังคงไม่ส่งผลกระทบต่อแผนของเผ่าเรา” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“กลัวว่าคนที่เหลือจะเกิดปัญหาหน่ะสิ หากขาดไปส่วนหนึ่ง ก็ยังพอเสริมได้ แต่หากขาดไปสองส่วนก็จะยุ่งยากแล้ว!” หลังจากที่ชายชราครุ่นคิด ก็เอ่ยอย่างเชื่องช้าออกมา

“ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเพียงนั้น หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าเราไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และไม่มีอันใดให้ต้องโกรธแค้น” บุรุษวัยกลางคนตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม

“แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่พวกเราก็ใช้วัตถุดิบล้ำค่าในเผ่าไปไม่น้อย และยังสนใจระฆังหลงนภา ถึงได้หลอมอาวุธสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาสองสามชิ้น มันสิ้นเปลืองไปหน่อย ต้องเข้าใจว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นสมบัติที่ใช้หลอมผนึกเหล่านั้นชั่วคราว แม้ว่าอานุภาพจะไม่ต่างกับอาวุธสวรรค์ทมิฬทางการเท่าใดนัก แต่หากผ่านไปหนึ่งปี ก็จะระเบิดตัวเองออก หากไม่ได้ประโยชน์อันใด ข้าที่รับหน้าที่ดูแลแผนการของพวกเรา จะไปรายงานกับท่านอาวุโสผู้อื่นได้อย่างไร” ชายชราขมวดคิ้ว

“จะรายงานอย่างไร หรือว่าทั้งสองท่านลืมแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของพวกเราไปแล้ว? แม้ว่าแดนกว้างเย็นจะล้มเหลว? แผนการของแดนเรากลับมีโอกาสสำเร็จแปดเก้าส่วน” แววตาของหญิงงามฉายแววเย็นชาขณะเอ่ย

“ไม่ผิด น่าจะถึงเวลาที่ต้องจบสงครามกับเมฆาสวรรค์ครั้งนี้ได้แล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงงาม บุรุษวัยกลางวันและชายชราก็มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วหัวเราะร่าออกมา

หญิงงามกลับไม่ได้เอ่ยอันใด นิ้วข้างหนึ่งชี้ไปที่ดวงลำแสงสีขาวที่ลอยอยู่กลางเขตอาคมสีทอง ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา แล้วร่อนลงมาหาระฆังยักษ์ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไป

ระฆังยักษ์เปล่งเสียงร้องออกมา อักขระสีเงินบนผิวปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ

……

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่รู้ว่า การสังหารชายหนุ่มเขาสีทองของตนเอง ไปทำลายแผนการใหญ่ของเผ่าแมลงมีเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ยามนี้เขากำลังจมเข้าสู่การเรียนรู้ประสบการณ์การใช้กำปั้นสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งหลังจากแปลงกายเป็นวานรยักษ์

เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของคาถาตื่นจากจำศีลเองก็พัฒนาขึ้นตามระดับของผู้บำเพ็ญเพียร อานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ไม่เหมือนกับการแปลงกายครั้งที่แล้ว เขาที่พัฒนามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย ความน่ากลัวของอิทธิฤทธิ์นี้ก็ได้สำแดงออกมาแล้ว

เขาที่แปลงกายเป็นวานรยักษ์ กายเนื้อและพลังเทวาเพิ่มขึ้น จนแทบจะทำให้เขาสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ได้แล้ว

โชคดีที่ระดับจิตใจของเขาผ่านการชำระล้างด้วยแสงจันทราในเขตแดนภาพลวงตาดวงดาราไปรอบหนึ่ง ในที่สุดก็มั่นคงขึ้นแล้ว นี่ถึงได้ยังคงรักษาความสมดุลของจิตใจได้ ไม่ถึงกับสูญเสียการควบคุมระดับของจิตใจ

ทว่าเทียบกับเรื่องนี้ เขารู้สึกเสียหายที่ระฆังน้อยสีขาวหิมะนั้นหายไปเป็นอย่างมาก

สมบัติที่คล้ายกับสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนั้น ช่างมหัศจรรย์นัก หากชิงมาได้ ก็ทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นแล้ว

แต่ในเมื่อสมบัติชิ้นนี้หายไปแล้ว เขาก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้อย่างจนปัญญา หลังจากที่เก็บสมบัติที่ชายหนุ่มผู้นั้นทิ้งเอาไว้มาแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป

พริบตานั้นหานลี่ก็มาปรากฏตัวห่างออกไปสองสามหมื่นลี้

ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี หานลี่เริ่มพิจารณาแผนต่อไปของตนเอง

แม้ว่าเขาจะช่วยหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกชิงของที่ต้วนเทียนเริ่นและไฉ่หลิวอิงต้องการมาได้ แต่วัตถุดิบหลอมอาวุธที่ได้รับปากกับเผ่าศิลารังไหมเอาไว้ในตอนแรกยังไม่ได้มา

ต้วนเทียนเริ่นเคยกล่าวว่า มีเพียงต้องช่วยให้เขาได้สมบัติในเขตอาคมมาก่อน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจ แต่เขาก็ไม่อยากถูกเผ่ารังไหมศิลาอาศัยเรื่องนี้ล้มเลิกเรื่องที่เขาจะอาศัยเขตอาคมส่งตัวขนาดใหญ่

ดังนั้นเมื่อขบคิดเช่นนั้นเวลาที่เหลือในแดนกว้างเย็น ย่อมรู้ว่าต้องชดเชยพลัง และต้องวิ่งไปในแดนกว้างเย็นอีกรอบหนึ่ง

ทว่าก่อนหน้านี้ เขาจำต้องฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

แดนกว้างเย็นอันตรายขนาดนี้ แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะเพิ่มขึ้น ก็ไม่กล้าประมาทเลยสักนิด

เมื่อหานลี่ขบคิดเสร็จ ทันใดนั้นก็จัดการทุกอย่างรอบหนึ่งแล้วพุ่งไปยังจุดที่ไกลออกไป

ครึ่งวันต่อมาหานลี่ก็หยุดลำแสงหลีกหนีลงเหนือป่ารกที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง เผยร่างออกมา

เขาโคจรรอบๆ ครั้งหนึ่ง แววตาเปล่งแสงสีฟ้าออกมาแล้วกวาดมองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในป่าลับ

หานลี่หาต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ไม่อาจใช้คนสองสามคนโอบได้ จมหายเข้าไปในโพรงตรงรากของมัน จากนั้นก็ยกมือขึ้นธงอาคมสองสามด้ามพุ่งออกไป หายวับไปที่ปากโพรง กลายเป็นเขตอาคมอำพรางง่ายๆ แล้วปิดบังโพรงนี้เอาไว้

สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเหลืองบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากกะพริบวาบ อสูรน้อยขนปุกปุยก็ร่อนลงมาบนพื้น

นั่นคืออสูรมิคาทน!

หลังจากที่อสูรตัวนี้กินแก่นดวงจิตสองสามดวงของอสูรสามตาไปแล้ว ก็เอาแต่หลับสนิทอยู่ในกำไลเก็บอสูรวิญญาณ เพิ่งจะตื่นขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นาน

แม้ว่ามันจะหลอมแก่นดวงจิตเหล่านั้นแล้ว แต่ภายนอกก็ดูเหมือนไม่แตกต่างนัก แค่บนตัวมีลวดลายสีดำสนิทเพิ่มขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็แตกต่างไปเล็กน้อย ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายเล็กน้อย

นี่จึงทำให้เขาอดที่จะพิจารณาอสูรตัวนี้สองแวบไม่ได้