ตอนที่ 1726 มัจฉาสายรุ้งเหิน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

แม้ว่าหานลี่ในยามนี้จะไม่อาจมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของอสูรมิคาทนได้ กลับรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เขาในยามนี้รู้สึกถึงสิ่งที่คุกคามได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา

น่าเสียดายยามนี้ไม่มีเวลาจะศึกษาอย่างละเอียด และทำได้เพียงรอให้ออกจากแดนกว้างเย็น ค่อยตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของอสูรตัวนี้ให้ละเอียด

หานลี่ขบคิดในใจ ใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับอสูรมิคาทน หลังจากที่ออกคำสั่งตักเตือน ก็นั่งขัดสมาธิ สองตาพลันปิดลงแล้วเริ่มนั่งสมาธิ

พลังปราณที่ฟื้นฟูในครั้งที่แล้วไม่มากนัก ประกอบกับพบกับการต่อสู้กับชาวเผ่าแมลงมีเขา พลังปราณในร่างจึงเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่

ดังนั้นหานลี่อยู่ในโพรงใต้ต้นไม้เป็นเวลาเจ็ดวัน ถึงจะฟื้นฟูพลังปราณมาได้เก้าส่วน

ตามความคิดเดิมของเขา แน่นอนว่าย่อมคิดจะฟื้นฟูพลังปราณทั้งหมด แล้วค่อยออกจากที่นี่

แต่ยามเที่ยงวันที่แปด ฉับพลันนั้นข้างหูพลันมีเสียงคำรามต่ำๆ ของอสูรมิคาทนดังขึ้น

หานลี่มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม ได้สติตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝน และเบิกตาขึ้นอีกครั้ง

ไอวิญญาณที่สับสนวุ่นวายปรากฏขึ้นรางๆ ในบริเวณใกล้เคียง และมีเสียงระเบิดดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

ราวกับว่ามีผู้ใดกำลังต่อสู้กันกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น

หานลี่พลันใจเต้น แผ่จิตสัมผัสออกมาโดยไม่พูดอันใด แล้วกวาดสายตาไปด้านนอกโพรงต้นไม้

ผลคืออดที่จะมีสีหน้าแปลกประหลาดใจไม่ได้

เห็นเพียงกลางอากาศเหนือป่าลับ มีสงครามไล่สังหารระหว่างอสูรโหดเหี้ยม

อสูรประหลาดขนาดใหญ่สองตัวก็กำลังต่อสู้กันอยู่กลางอากาศเหนือขึ้นไปสองสามพันจั้ง แล้วไล่ล่ากันไปมาไม่หยุด

ตัวหน้ามีขนาดแค่สองสามจั้ง แต่เรือนกายเป็นสีทองเรืองรอง แววตาดำสนิท คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับระดับราชาที่เคยถูกพวกเดียวกันไล่ล่าซึ่งหานลี่เคยพบในป่าลับ

แต่ในยามนี้อสูรลับระดับราชาตัวนี้มีท่าทีจนตรอก ไม่เพียงขนบนร่างจะมีจุดไหม้เกรียมไม่น้อย ด้านหลังหางที่เคยยาว ก็หายไปกว่าครึ่ง

แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ อสูรตัวนี้ก็ยังคงมีท่าทีโหดเหี้ยมไม่ลดลงเลยสักนิด กลายเป็นเงาสีทองสายหนึ่งพุ่งหนีไปพลาง พ่นพายุใบมีดสีทองออกมาเป็นสายๆ ไม่หยุดไปพลาง

เมื่อพายุใบมีดสีทองออกห่างจากปากของอสูรลับสีทอง ก็มีขนาดสองสามฉื่อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป มาอยู่กลางอากาศห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง แล้วสับลงมาอย่างรุนแรง

อสูรประหลาดอีกตัวด้านหลังกลับทำเป็นมองไม่เห็นพายุใบมีดสีทอง ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ดีดการโจมตีเหล่านี้ออกไป

ความแข็งแกร่งของอิทธิฤทธิ์ป้องกันช่างน่าตกตะลึงจริงๆ!

ส่วนอสูรประหลาดตัวนี้มีความยาวถึงสิบจั้ง เป็นอสูรประหลาดลึกลับ หัวเป็นสุกรตัวเป็นมังกรวารี

หัวเป็นสีขาวหิมะ ร่างกายเปล่งแสงสีฟ้า กลิ่นอายแข็งแกร่งกว่าอสูรลับสีทองหลายส่วน

มิน่าล่ะอสูรลับระดับราชาถึงไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ แค่บินหนีไปพลาง ต่อสู้กันไปพลาง

หานลี่เก็บอสูรมิคาทน ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลั้นลมหายใจ

สมาธิของอสูรสองตัวจดจ่ออยู่กับร่างของศัตรูที่แข็งแกร่งตรงหน้า ไม่ได้สนใจหานลี่ที่อยู่ด้านล่างเลยสักนิด

ชั่วครู่ทั้งสองตนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังพลันแฉลบผ่านไปเหนือป่าลับ จมหายเข้าไปในขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่พลันขมวดคิ้ว ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลงแล้วกลับเป็นเหมือนเดิม

“อสูรลับระดับราชาตัวนี้หนีมาที่นี่ได้อย่างไร!”

แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกตกตะลึง

ทว่าเขาในยามนี้เผชิญหน้ากับอสูรสองตัวกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวนัก แน่นอนว่าก็ไม่มีทางหาเรื่องยุ่งยากให้ตนเองอย่างเปล่าประโยชน์ ถึงได้หลบซ่อนอยู่ในนี้ไม่ออกมา

แม้ว่าอสูรลับระดับราชาจะปรากฏตัวอย่างกะทันหัน แต่เป็นเพราะไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง หานลี่จึงไม่ได้ขบคิดอันใด

หลังจากผ่านความวุ่นวายไป เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ

ถึงอย่างไรเสียยามที่อสูรทั้งสองผ่านป่าลึกไปแล้วทิ้งกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเอาไว้ จะดึงดูดอสูรโหดเหี้ยมตนอื่นๆ ในบริเวณนี้ได้

โชคดีที่ทิศทางที่อสูรทั้งสองไล่ตามกันไป คนละทางกับทางที่เขาจะไป จึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

หลังจากที่เขาถอนอาคมที่ประตูแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งบินออกมาจากโพรงต้นไม้ แล้วออกเดินทางต่อ

ระหว่างที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนี มือก็กุมศิลาวิญญาณระดับสุดยอดเอาไว้ ดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์จากมันไม่หยุด

เชื่อว่าแม้เขาจะไม่ได้นั่งสมาธิ หลังจากนี้ไม่นาน ก็จะชดเชยพลังปราณในร่างได้จนหมด

หานลี่เดินทางทั้งวันทั้งคืน การเดินทางครั้งนี้กินเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

ระหว่างทางนอกจากพบกับอสูรโหดเหี้ยมระดับต่ำที่ตาไร้แววแล้ว ก็ไม่ได้พบกับความยุ่งยากอันใดหรือพบกับกลุ่มคนชนต่างเผ่าอื่นๆ

แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี มองเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาอยู่ไกลๆ

ผิวน้ำเป็นสีฟ้าราวกับมหาสมุทร กลางอากาศที่กว้างไกลเป็นหมื่นลี้มีเมฆสีดำ เป็นภาพที่งดงามมาก

หานลี่มองเห็นทะเลสาบ มุมปากพลันหยักรอยยิ้มออกมา ในเวลาเดียวกันก็แผ่จิตสัมผัสออกไปกวาดบนผิวของทะเลสาบอย่างระมัดระวัง

หากแผนที่ชี้ไม่ผิดล่ะก็ การเดินทางครั้งนี้จะถึงเป้าหมายแล้ว

ชั่วครู่เขาก็ดึงจิตสัมผัสกลับมา

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น สายรุ้งสีเขียวทะยานไปเหนือผิวน้ำ และพุ่งไปยังส่วนลึก

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ความมหึมาของทะเลสาบนี้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ จากความเร็วที่น่ากลัวของเขาประกอบกับระยะเวลายาวนานขนาดนี้ รอบด้านก็เป็นทัศนียภาพที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาเช่นกัน

หากไม่ใช่เพราะการเดินทางครั้งนี้ แผนที่ที่พามาไม่เคยผิดพลาดเลยสักนิด เขาก็คิดว่าเข้ามาในมหาสมุทรนิรนามแล้ว

สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจก็คือ ตั้งแต่ที่เข้ามาในเกาะทะเลสาบนี้ นอกจากมัจฉาธรรมดาๆ ที่อยู่ก้นบ่อ คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นอสูรอื่นๆ ที่หาได้ยาก

บางครั้งก็มีสองสามตัว และทั้งหมดล้วนเป็นอสูรทะเลสาบระดับต่ำที่เชี่ยวชาญการอำพรางกาย ล้วนหลบซ่อนอยู่ก้นทะเลสาบไม่เคลื่อนไหว

หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสของเขาเหนือกว่าคนธรรมดา ก็คงไม่อาจพบร่องรอยของพวกมันได้ง่ายๆ

แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ในใจเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา ในเวลาเดียวกันความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์เช่นนี้เขาไม่ใช่ไม่คุ้นเคย ทะเลสาบนี้น่าจะเป็นที่มั่นของอสูรที่ร้ายกาจแปดเก้าส่วน ถึงได้มีอสูรระดับต่ำอื่นๆ ตกใจจนเตลิดหนีไป

แม้ตอนแรกเผ่าศิลารังไหมจะกำชับเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ที่นี่ปลอดภัยมาก และไม่มีอสูรโหดเหี้ยมที่แข็งแกร่งอันใด

แต่สิ่งที่พูดมันเป็นเรื่องตั้งแต่ที่แดนกว้างเย็นเปิดครั้งที่แล้ว ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ ที่นี่อาจจะถูกอสูรโหดเหี้ยมที่แข็งแกร่งอันใดยึดครองก็ไม่แปลก

เขาขบคิดเช่นนั้น แล้วอดที่จะรู้สึกลังเลขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้

เพื่อวัตถุดิบหลอมอาวุธของเผ่าศิลารังไหม จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงอันตรายหรือไม่ ดูเหมือนว่าจะต้องคิดทบทวนอีกครั้ง

ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าเขาจะไม่ได้หนีไป ต้วนเทียนเริ่นก็เคยบอกเอาไว้ว่าจะช่วยเรื่องเขตอาคมส่งตัวขนาดใหญ่

จากตำแหน่งของเขาในเผ่าศิลารังไหม น่าจะไม่มีทางโกหก แต่เขากลัวว่าจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น

และยิ่งไปกว่านั้นเขาใช้เวลานานเพื่อวิ่งมาที่นี่ แล้วจะหันหลังจากไปทันที แน่นอนว่าย่อมไม่ยินยอม

หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ความเร็วเริ่มลดลงเป็นอย่างมากอย่างไม่รู้ตัว

ในยามนั้นเองที่มองเห็นจุดสีดำอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ ยิ่งเข้าไปใกล้เรื่อยๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเกาะกลางทะเลสาบขนาดยักษ์

หานลี่เห็นเช่นนั้น แววตาพลันหรี่ลง หยุดลำแสงหลีกหนีลงเสียเลย แล้วมองออกไปยังจุดที่ไกลออกไป

เกาะนี้ดูเหมือนจะมีความกว้างพันกว่าลี้ และยิ่งไปกว่านั้นด้านบนยังมียอดเขาสูงหนึ่งยอดและเตี้ยหนึ่งยอดเรียงติดกันอยู่

ยอดเขาที่สูงหน่อยมีความสูงประมาณหมื่นจั้ง ผิวเป็นสีเทาขมุกขมัว กว่าครึ่งของยอดเขาไม่มีต้นหญ้าเลยสักนิด ยอดเขาที่เตี้ยน้อยมีความสูงสามถึงสี่พันจั้ง แต่เป็นสีเขียวมรกต มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น

“ดูแล้วคงเป็นที่นั่น!” หานลี่เอ่ยพึมพำ สายตาตกไปที่ยอดเขาสีเทาลูกนั้นอย่างรวดเร็ว จ้องเขม็งไม่ยอมเลื่อนสายตาไปไหน

ภายนอกของเกาะแห่งนี้เหมือนกับในบันทึกบนแผนที่อย่างไรอย่างนั้น วัตถุดิบล้ำค่าที่เผ่าศิลารังไหมเอ่ยถึง ก็คือแร่ศิลาที่มีเฉพาะในยอดเขาสูง

แร่ศิลานี้มีแค่ในแดนกว้างเย็น และยิ่งไปกว่านั้นยังสำคัญต่อเผ่านี้เป็นอย่างมาก

ยามที่หานลี่มองอย่างใจลอยนั้น ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อลงไปด้านล่างทันที

กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นด้านล่างของผิวน้ำที่ดูเงียบสงบราวกับกระจกพลันมีเสียง “ปัง” ดังขึ้น เสาน้ำต้นหนึ่งพ่นออกมา ตรงมาหาหานลี่

ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เสาน้ำถูกกระบี่เล่มเล็กที่กลายเป็นลำแสงกระบี่แบ่งออกเป็นสองส่วน

“แควก” เสียงประหลาดดังขึ้น มัจฉาประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในเสาน้ำ ถูกกระบี่ลำแสงสับออกเป็นสองส่วนเช่นกัน โลหิตสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายไปทั่วผิวน้ำ

หานลี่ก้มหน้าลงมอง แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วมองเห็นร่างของมัจฉาประหลาดอย่างชัดเจน

มัจฉาตัวนี้มีความยาวแค่สองสามฉื่อ แต่ตัวมันเป็นสีเขียวมรกต แผ่นหลังมีปีกงอกออกมา และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะหัวจะดูคล้ายกับอสรพิษ ส่วนท้องดูเหมือนจะมีกรงเล็บบางๆ ที่ไม่อาจมองเห็นได้งอกออกมา

หานลี่หางตากระตุก คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกว่าเหมือนเคยได้ยินชื่อของมัจฉาประหลาดชนิดนี้มาจากที่ไหนมาก่อน ทว่ายามนั้นกลับไม่อาจนึกออก

แต่ครู่ต่อมาฉากที่ทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งโหยงก็ปรากฏขึ้น

เมื่อซากของมัจฉาประหลาดตัวนั้นจมลงสู่ทะเลสาบ ในระยะสองสามลี้ก็มีเสียงหวีดร้องดังขึ้น

เสาน้ำพ่นออกมาจากทะเลสาบพร้อมกันมองปราดเดียวก็หนาแน่นไปหมด ไม่รู้ว่ามีกี่เสากันแน่

หลังจากที่เสาน้ำกระจายตัวออก มัจฉาประหลาดขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และใช้สายตาที่ไร้ความรู้สึกจ้องเขม็งมายังหานลี่

รูปร่างของมัจฉาประหลาดเหล่านี้และมัจฉาประหลาดที่ตายไปเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว แต่ผิวกลับเปล่งแสงห้าสีสัน และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงวิญญาณอันสวยงามที่แผ่ออกมา ก็เผยความลึกลับออกมา

“มัจฉาสายรุ้งเหิน”

หานลี่มองเห็นฉากนี้กลับร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ในที่สุดก็นึกประวัติความเป็นมาของมัจฉาประหลาดเหล่านี้ออก

ตอนนั้นที่เขาอยู่ในเผ่าเทียนเผิง ได้อ่านประวัติของมัจฉาชนิดมาจากในตำราโบราณเล่มหนึ่ง

อย่ามองว่าชื่อของมัจฉาประหลาดชนิดนี้ดูเหมือนน่าฟัง แต่ในอดีตชนเผ่าต่างที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรล้วนเอ่ยชื่อของมัจฉาชนิดนี้ด้วยความรู้สึกทั้งรักและเกลียด

รักก็คือแก่นดวงจิตของอสูรประหลาดชนิดนี้เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงยาโบราณที่หายากอย่าง ‘ยาลูกกลอนเจ็ดสี’

แต่ยาลูกกลอนเจ็ดสีก็ใช้เลี้ยงดูแมลงวิญญาณโบราณโดยเฉพาะ

ว่ากันว่าหากแมลงวิญญาณกินเจ้าสิ่งนี้เข้าไปบ่อยๆ ไม่เพียงจะเพิ่มการเจริญเติบโตได้ แม้ว่าหลังจากที่โตเต็มวัยแล้ว ก็อาจจะบรรลุระดับขั้นได้อีกครั้ง ในอดีตเป็นสิ่งที่หายากเป็นอย่างมาก

สิ่งที่เกลียดก็คืออสูรประหลาดชนิดนี้ตัวมันไม่เพียงจะมีพิษประหลาด พิษที่พ่นออกมาแทบจะไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ขอแค่พบตัวหนึ่ง อย่างน้อยก็น่าจะมีสองสามพันตัว หรือสองสามหมื่นตัว

ผู้ที่อยู่ลำพังหากพบกับฝูงอสูรนี้ นอกจากจะมีอิทธิฤทธิ์วิเศษ แปดเก้าส่วนก็ต้องเพลี่ยงพล้ำไป

ทว่าอสูรประหลาดชนิดนี้หายสาบสูญไปตั้งแต่อดีตแล้ว และอยู่แค่เพียงในบันทึกในตำราของเผ่าต่างๆ

หานลี่คิดไม่ถึงเลยว่า ยามนี้ที่อยู่ในแดนกว้างเย็นจะพบกับมัจฉาประหลาดชนิดนี้

เขาในยามนี้พลันเข้าใจชัดแจ้งขึ้นมา เหตุใดถึงไม่เห็นร่องรอยของอสูรระดับสูงในทะเลสาบ กว่าครึ่งคงถูกพิษของมัจฉาสายรุ้งเหินเหล่านี้กินไปจนหมด แล้วตกใจจนหนีเตลิดไปแล้ว