เงียบสงัดทั่วทั้งผืน
แขนซ้ายของเซวียเหอขาดสะบั้น จากไหล่จนถึงหน้าอกชุ่มไปด้วยโลหิตสดๆ
สีหน้าเขาซีดขาว มือขวาจับดาบ พาดอยู่บนไหล่ของเฉินฉางเซิง
ศีรษะของเฉินฉางเซิงยังไม่ถูกตัดทิ้ง
พลังดาบของเซวียเหอหมดแล้ว จึงไม่สามารถขยับดาบต่อ
ระหว่างคมดาบกับลำคอเฉินฉางเซิง มีร่มคันหนึ่งมาคั่นกลางตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
พร้อมกับเสียงพูดอันอิดโรย “เจ้าแพ้แล้ว”
ซูหลีถือร่มเก่าๆ คันนั้นไว้ในมือ คำพูดนี้จึงออกจากปากเขา
เซวียเหอเก็บดาบในมือลง ค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างหนักหน่วงไปสองก้าว แล้วจึงหันมามองซูหลีด้วยสีหน้าซีดขาว พลางถามขึ้นอย่างงุนงง “นี่…ก็คือร่มกระดาษทองคันนั้น?”
จากนั้นเขาก็หันมองเฉินฉางเซิงที่อยู่หน้ารถ มองดูร่างที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเด็กหนุ่ม เมื่อแน่ใจว่าศีรษะของเด็กหนุ่มยังอยู่บนบ่า ความงุนงงบนใบหน้าก็เด่นชัดขึ้น ก่อนพึมพำ “ทำไมถึงเข้มแข็งขนาดนี้?”
เมื่อครู่เขาพยายามฟันดาบนี้ให้ได้ แม้อาณาเขตดาบอาจถูกทำลายก็ตาม เขาตั้งใจรวบรวมพลังจากการบำเพ็ญเพียรทั้งชีวิต และกำลังทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว แล้วค่อยจู่โจมทีเดียว ต่อให้ซูหลีที่มักทำอะไรเหนือคาดหมายยังมีแรงสู้ต่ออีกยก ต่อให้ร่มกระดาษทองคันนั้นสามารถต้านทานอาวุธแหลมคมทุกชนิด แต่เขากลับไม่สามารถหยุดยั้งการไหลออกของพลังปราณ ซึ่งถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว ศีรษะของเฉินฉางเซิงอย่างไรก็ต้องถูกตัดทิ้ง แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ยังไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
เซวียเหอไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าร่างกายของเด็กหนุ่มทำด้วยอะไร ต้องมากกว่าการชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์แบบหลายเท่า
ทันใด ตัวรถก็พังทลายลง กลายเป็นเศษไม้กองหนึ่ง พื้นดินใต้ท้องรถยุบตามลงไปครึ่งฉื่อ
ซูหลีล้มลงกับพื้น ก่อนสำลักละอองฝุ่นจนไอติดต่อกัน พลางโบกไม้โบกมือปัดฝุ่นไม่หยุด
เฉินฉางเซิงพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล กระบี่ขวางทางอยู่ตรงหน้าเขา คล้ายเตรียมพร้อมรับมือไม้ต่อไปของเซวียเหอเต็มที่ ทว่าเขาในตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดมาก ห้วงแห่งจิตสั่นสะท้านจนคล้ายแยกออกจากกันได้ทุกขณะ โลกที่อยู่ตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด ชนิดพร้อมที่จะสลบลงได้ทุกเมื่อ
เมื่อครู่ดีที่ซูหลีสายตาดี อ่านเพลงดาบของเซวียเหอขาด สามารถชี้ให้เฉินฉางเซิงทำลายจุดอ่อนในอาณาเขตดาบได้ก่อน
ซูหลีว่าเซวียเหอแพ้แล้ว เช่นนั้นเซวียเหอก็แพ้แล้วจริงๆ
กระบี่สั้นของเฉินฉางเซิง กรีดลึกทะลุเกราะ ทำให้เซวียเหอได้รับบาดเจ็บ แม้ไม่สามารถกรีดถึงหัวใจที่เซวียเหอใช้พลังปราณป้องกันไว้ แต่พลังของเพลงกระบี่เผานภาก็ทำให้ชีพจรครึ่งซีกซ้ายของเขาฉีกขาดหมด ในระยะเวลาอันสั้น เซวียเหอจึงไม่มีแรงต่อสู้อีก ถ้าเขาสามารถมีชีวิตรอดกลับไป ก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะฟื้นฟูให้กลับไปเหมือนเดิม
เซวียเหอกุมแขนข้างที่ขาดซึ่งโลหิตยังคงไหลไม่หยุด เขามองดูเฉินฉางเซิงด้วยอารมณ์หลากหลาย อย่างไรเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า ตนได้ปราชัยใต้คมกระบี่ของเด็กหนุ่ม
ทันใด เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ความรู้สึกจึงเปลี่ยนขณะเอ่ยถาม “เจ้าคือ…เฉินฉางเซิงหรือ?”
เฉินฉางเซิงเพิ่งวิ่งเข้าความเป็นความตายมาหนึ่งรอบ จึงรู้สึกมึนงงอยู่ อีกทั้งพลังดาบของเซวียเหอยังคงล่องลอยอยู่ในความคิด ทำให้ไม่ได้ยินว่าเซวียเหอพูดว่าอะไร
เซวียเหอเห็นเขาเงียบก็นึกว่าเขายอมรับ จึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน คิดพูดอะไรต่อ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูด พลันหันมองซูหลี “คิดไม่ถึงว่าที่แท้ท่านซูยังสามารถใช้กระบี่ได้ การกระทำของข้าในครั้งนี้จึงถือเป็นการรนหาความอัปยศใส่ตัวจริงๆ”
ซูหลีค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น มีความไม่พอใจขณะตอบ “นี่คือร่มคันหนึ่ง ไม่ใช่กระบี่ ถ้าข้าใช้กระบี่ แล้วเจ้ายังสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ นั่นก็ควรเป็นข้าที่รู้สึกอับอายแล้ว”
เซวียเหอนิ่งไปสักพัก ก่อนพบว่าคำพูดนี้ไม่ผิดจริงๆ จึงเงียบไปอีกสักพัก แล้วค่อยขอคำชี้แนะจากใจจริง “ท่านซู หรือดาบของข้าเทียบหวังผ้อไม่ได้จริงๆ?”
ขุนพลเทพแห่งต้าลู่สามสิบแปดคน มีผู้ที่ใช้ดาบอยู่ไม่กี่คน จึงไม่มีใครใช้ดาบได้ดีไปกว่าเซวียเหอ แต่ในดินแดนอันกว้างใหญ่อย่างต้าลู่ ยังมีผู้แข็งแกร่งอีกคนที่ใช้ดาบ และหลังจากยุคของโจวตู๋ฟู คนผู้นี้ก็ถูกยกให้เป็นนักดาบที่แข็งแกร่งสุด ซึ่งก็คือเทียนเหลียงหวังผ้อ ตอนที่ทุกคนพูดถึงเซวียเหอ ล้วนต้องยกย่องเพลงดาบประดุจทวยเทพของเขา แต่ก็มักบวกเข้าไปอีกคำหนึ่ง เพียงแต่เทียบกับหวังผ้อไม่ได้
วันนี้เซวียเหอมาฆ่าซูหลีก็จริง แต่ก่อนที่ชีวิตจะดับลง เรื่องที่เขาปล่อยวางไม่ลง มิใช่ความเป็นตายของซูหลี และมิใช่ชีวิตของตน แต่เป็นเรื่องนี้
เขาอยากฟังว่าซูหลีจะพูดอย่างไร เช่นนี้จึงจะทำให้เขาจากไปอย่างสงบ
“เจ้าเทียบหวังผ้อไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าดาบหรือนิสัย” ซูหลีพูดออกมาตามตรงโดยมิได้พูดจาปลอบโยนหรือพูดจาละมุนละไมใดๆ กับขุนพลเทพที่กำลังจะม้วยมรณาท่านนี้
เซวียเหอไม่โกรธ ตั้งใจขอคำชี้แนะต่อ “เพราะอะไรหรือท่าน?”
ซูหลีว่า “หวังผ้อใช้ดาบเล่มเดียว แต่เจ้าใช้ดาบเจ็ดเล่ม ดังนั้นเจ้าจึงเทียบเขาไม่ได้”
เซวียเหอคล้ายเข้าใจ แต่ก็รู้ว่าถ้าตนเข้าใจคำนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วล่ะก็ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อวิถีดาบของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงรู้สึกดีใจ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า ตนกำลังจะตายในไม่ช้า ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง
ส่วนเฉินฉางเซิงที่ถูกดาบจ่อคอหอยจนสติหลุดลอย ที่สุดแล้วก็ค่อยๆ เรียกสติกลับคืนมา
ซูหลีไม่พูดไม่จา เซวียเหอก็ไม่พูดไม่จา บรรยากาศจึงเงียบงัน
เฉินฉางเซิงหันมองเซวียเหอ แล้วหันมองซูหลี งงงวยเล็กน้อย ก่อนว่า “เราควร…ทำอย่างไรต่อ?”
ซูหลีมองเขาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนก็มิปาน พลางว่า “ทำอย่างไรต่อ? ก็ต้องรีบฆ่าเขาให้ตายสิ แล้วค่อยเร่งเดินทางต่อ”
เซวียเหอมองเฉินฉางเซิงอย่างประหลาดใจเช่นกัน ในใจคิด เจ้าหนุ่มนี่ยังรออะไรอีก?
“เอ๋? ผู้อาวุโสต้องการให้ข้าฆ่าเขาหรือ?” เฉินฉางเซิงเพิ่งรู้ว่าตนคือตัวประหลาด
ซูหลีถลึงตามองเขาพลางว่า “หรือเจ้ายังจะเตรียมให้ข้าลงมือ?”
เซวียเหอไม่พอใจอยู่บ้าง “หรือเจ้าต้องการให้ข้าลงมือเอง?”
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน “ทุกคนล้วนไม่ลงมือไม่ได้หรือ? จำเป็นต้องฆ่าหรือ?”
สถานการณ์กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ทุ่งรกร้างสีเขียวพัดเอาลมเย็นๆ มา
หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ ซูหลีก็คร่ำครวญขึ้น “ข้ายิ่งมาก็ยิ่งไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวสมัยนี้จริงๆ”
เซวียเหอพยักหน้าเห็นด้วย
เฉินฉางเซิงมองเซวียเหอพลางว่า “ใต้เท้าขุนพลเทพ ทำเป็นว่าวันนี้มิได้เกิดเรื่องใดๆ ขึ้นได้หรือไม่…อืม ความหมายของข้าคือ ไม่คิดแค้นเคืองกันได้หรือไม่?”
เซวียเหอพลันรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มิน่าเล่า ท่านพี่จึงเขียนมาในจดหมายว่า เด็กหนุ่มผู้นี้คุ้นตายิ่ง ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้น จึงว่า “เจ้าไว้ชีวิตข้า ข้าย่อมต้องจดจำบุญคุณ”
เฉินฉางเซิงหันมองซูหลี พลางใช้สายตาถาม
ซูหลีรู้สึกหงุดหงิดใจ “เมื่อไม่ลงมือ ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? ไปได้แล้ว”
เฉินฉางเซิงเก็บกระบี่หกเล่มที่หล่นกระจายบนพื้นเข้าฝัก จากนั้นก็สอดนิ้วเข้าไปในปาก เป่าปากเรียกกวางพื้นเมืองสองตัว
แต่วิธีการไม่ถูกต้อง เสียงที่เป่าออกมาจึงเบาโหวง ไม่เพียงไม่น่าฟัง ยังแทบไม่ได้ยินอีก ดีที่กวางพื้นเมืองสองตัวไม่ได้วิ่งไปไกล พอได้ยินเสียงก็รีบวิ่งมา
เฉินฉางเซิงประคองซูหลีให้ขึ้นนั่งบนหลังของกวางตัวหนึ่ง ส่วนตนก็ขึ้นนั่งบนหลังของกวางอีกตัวหนึ่ง หลังผูกเชือกสองเส้นเข้าด้วยกันเสร็จสรรพ ก็ขี่กวางออกจากทุ่งข้าวฟ่างไป
เซวียเหอมองดูกวางสองตัวกับคนสองคนค่อยๆ หายไปในทุ่งรกร้างสีเขียวอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ซูหลีนั่งอยู่บนหลังกวางพื้นเมือง มองเฉินฉางเซิงแล้วว่า “ข้าล่ะยอมใจเจ้าจริงๆ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกประหม่าจึงแย้มยิ้มแล้วว่า “ผู้อาวุโส ท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
ซูหลีข่มกลั้นความโกรธ “เกรงใจบรรพชนเจ้าสิบแปดชั่วโคตรสิไม่ว่า ข้าพูดถึงเรื่องนี้หรือ?”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ “เช่นนั้นท่านยอมใจอะไรข้า?”
“คนหนุ่มสาวสมัยนี้ล้วนโง่งมเหมือนเจ้าหรือเปล่า?”
“ท่านว่า…ที่ข้ามิได้ฆ่าเขารึ? ข้าคิดว่า หากเป็นโก่วหานสือ เมื่อครู่ก็ไม่ลงมือเช่นกัน”
ซูหลียิ้มเย็นชา “มัวแต่มีเมตตา ยากทำการใหญ่! หากมนุษย์ในภายภาคหน้าเป็นเหมือนเจ้ากันทุกคน ยังจะมีอนาคตอะไรอีก ไม่ช้าไม่นานต้องถูกพวกมารทำลายจนสิ้นซากแน่”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู จึงว่า “เพราะข้าเป็นคนอย่างนี้มิใช่หรือ ผู้อาวุโสถึงยอมสอนข้า คิดให้ข้าเป็นสังฆราชรุ่นต่อไปมิใช่หรือ?”
ซูหลีเงียบไปสักพัก ค่อยว่า “เหมือนจะ…มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า เซวียเหออาจเปิดเผยเบาะแสของเรา แล้วต่อไปก็จะมาทำการแก้แค้นเจ้า”
เฉินฉางเซิงว่า “ไม่ได้คิดอะไรมาก…ถ้าผู้อาวุโสสามารถรอดชีวิตกลับเขาหลีซานได้ ใครยังจะกล้ามาแก้แค้นข้าอีก?”
“นักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งข้าวฟ่าง อาจฆ่าเซวียเหอตาย แล้วบอกว่าเจ้าเป็นคนฆ่า อันนี้เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า?”
เฉินฉางเซิงหันมามองเขา แล้วพูดอย่างตกใจ “นี่…ไม่เคยคิดจริงๆ”
ซูหลีจ้องมองดวงตาใสกระจ่างของเขา พลันรู้สึกไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงได้แต่คร่ำครวญ “ทำไมข้าถึงหวังให้คนอย่างเจ้าได้เป็นสังฆราชกันหนอ?”
ไม่รู้ทำไม เฉินฉางเซิงเกิดรู้สึกผิด จึงพูดปลอบใจซูหลี “สายตาของผู้อาวุโสไม่น่าจะผิดพลาดหรอกขอรับ”