แสงอรุณค่อยๆ สาดส่อง แต่ไม่มีลมพัด ยอดอ่อนข้าวฟ่างที่เพิ่งสูงเลยหัวเข่าจึงไม่ขยับ
เซวียเหอคลายมือขวาออก แขนข้างที่ขาด ไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว เขาค่อยๆ เก็บกระบี่เจ็ดเล่มขึ้นจากพื้นดิน แล้วเสียบเข้าฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง กระบวนการทั้งหมดทำให้เห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าอันซีดขาวของเขาเป็นระยะ เห็นชัดว่าการเคลื่อนไหวง่ายๆ สำหรับเขาในตอนนี้ ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ซูหลีกับเฉินฉางเซิงขี่กวางพื้นเมืองจากไปแล้ว แต่เขายังไม่ไปไหน กลับนั่งลงเนื่องจากอาการบาดเจ็บ พลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ
หลังผ่านงานชุมนุมไม้เลื้อยและการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงก็มีชื่อเสียงขจรกระจายขยายออกจากเมืองจิงตูไปไกล จดหมายที่ท่านพี่เซวียสิ่งชวนเขียนให้เขาก็เคยพูดถึงเด็กหนุ่มคนนี้เป็นพิเศษ ทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มเป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นตัวแทนของนิกายหลวงกับเชื้อพระวงศ์ในการเจรจากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าได้ ซึ่งเด็กหนุ่มควรฝึกตนอยู่ในสวนโจวจึงจะถูก เหตุใดจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเทียนเหลียงพร้อมซูหลีได้เล่า?
แน่นอนว่า ที่เขายังไม่รีบจากไปในตอนนี้ สาเหตุสำคัญมิใช่เพราะกำลังคิดใคร่ครวญ แต่กำลังรอให้นักฆ่าซึ่งซ่อนตัวอยู่ในทุ่งรกร้างสีเขียวปรากฏตัว เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร แม้เขาจะรู้เบาะแสซูหลีมาจากฝ่ายตรงข้ามแต่เขาก็รู้แค่ว่า นักฆ่าผู้นี้ยังไม่จากไปไหน ตนเองจึงยังคงความเสี่ยงอยู่…ก่อนจากไป ซูหลีบอกกับเฉินฉางเซิงว่า นักฆ่าผู้นี้อาจฉวยโอกาสฆ่าเซวียเหอที่กำลังบาดเจ็บสาหัส แล้วป้ายความผิดให้เฉินฉางเซิง…เซวียเหอเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
ทันใด ทุ่งร้างที่เงียบสงัดพลันเกิดลมพัดอย่างไม่มีสาเหตุ ลำต้นข้าวฟ่างสีเขียวค่อยๆ ลู่ไปตามลม ก่อนปรากฏเงาร่างคล้ายหินก้อนหนึ่ง
ในสถานการณ์คับขัน เงาร่างสายนั้นหายไปอีกครั้ง น่าจะกำลังขยับใกล้เข้ามา
เซวียเหอยื่นมือขวาไปด้านหลัง จับด้ามกระบี่
ในฐานะขุนพลเทพแห่งต้าโจว แม้ไม่เหลือแรงสู้ก็ต้องรบจนตัวตาย ถ้าสวรรค์ลิขิตให้ต้องตายในเงื้อมมือภูตผี มิสู้ตายใต้คมดาบตน
สายลมยังคงพัดมาเบาๆ นักฆ่ายังไม่ปรากฏตัวแต่อย่างใด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด แสงแดดร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ซึ่งเสียโลหิตมากอย่างเซวียเหอกำลังจะยืนหยัดไม่ไหว ก็พบว่านักฆ่าผู้นั้นจากไปเสียแล้ว
เหตุใดนักฆ่าถึงจากไป? เซวียเหอไม่เข้าใจ จึงใช้ดาบยันตัวให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นค่อยเห็นพื้นดินที่อยู่ไม่ไกล มีคนใช้ปลายกระบี่เขียนตัวอักษรไว้อย่างชัดเจนแถวหนึ่ง
นักฆ่าผู้นั้นน่าจะเห็นตัวอักษรเหล่านี้ จึงตัดสินใจไม่ลงมือในที่สุด
‘หลิวชิง โจวทงต้องรู้แน่ว่าเจ้าทำอะไรไว้’
เซวียเหอหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าที่แท้นักฆ่าผู้นี้ก็คือหลิวชิงในตำนาน ยิ่งคิดไม่ถึงว่า ก่อนจากไป ซูหลีกับเฉินฉางเซิงจะเขียนข้อความนี้ไว้
และข้อความนี้เองที่ปกป้องชีวิตเขา
……
……
ห่างจากตอนเหนือของเมืองเทียนเหลียงราวห้าร้อยลี้ ข้างทะเลสาบแห่งหนึ่ง กวางพื้นเมืองสองตัวกำลังก้มหน้าดื่มน้ำ หลังจากเฉินฉางเซิงอาบน้ำที่เย็นเล็กน้อยในทะเลสาบ ล้างขนกวางตามคำแนะนำของซูหลีเสร็จสรรพ ขณะจะกัดกินผักผลไม้ป่า ก็หันมองซูหลีที่กำลังเอนกายพักผ่อนริมทะเลสาบ จึงถามอย่างประหลาดใจ “หลิวชิงเป็นใครหรือขอรับ?”
เฉินฉางเซิงเป็นผู้ใช้กระบี่สั้นเขียนตัวอักษรนอกทุ่งข้าวฟ่างตามคำบอกของซูหลี โดยไม่รู้ว่าข้อความนั้นหมายถึงอะไร
ซูหลีเอ่ยตอบ “ก็คือคนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าต้นฮว่า และในทุ่งข้าวฟ่าง คนที่ไม่กล้าเผยโฉมหน้ามาโดยตลอด”
เฉินฉางเซิงตกใจเล็กน้อย “นักฆ่าคนนั้น ร้ายกาจมากหรือ?”
ซูหลีพูดจาสบายๆ “พวกผู้เฒ่าในหอความลับสวรรค์เวลาไม่มีอะไรทำ ก็จะทำการจัดอันดับนักฆ่าในต้าลู่ ซึ่งหลิวชิงอยู่อันดับสาม”
“นักฆ่าอันดับสาม…”
พอเฉินฉางเซิงคิดว่า ถูกนักฆ่าที่น่ากลัวเช่นนี้สะกดรอยตลอดทาง ก็รู้สึกว่าลมที่พัดมาจากทะเลสาบเย็นขึ้นมาทันที จึงหันมองรอบด้านตามสัญชาตญาณ
เพียงแต่…นักฆ่าอันดับสามที่น่ากลัว เหตุใดชื่อแซ่จึงดูธรรมดาๆ เช่นนี้ เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ซูหลีลืมตา แล้วว่า “ยิ่งเข้าใกล้คำว่านักฆ่ามืออาชีพมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำตัวธรรมดามากขึ้นเท่านั้น ขนาดนักฆ่าฝีมือเยี่ยมที่รั้งอันดับหนึ่งมาโดยตลอดแม้แต่ชื่อก็ยังไม่มี”
เฉินฉางเซิงฟังแล้วก็รู้สึกแปลกๆ นักฆ่าอันดับหนึ่งผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ ถึงกับทำให้ซูหลีชื่นชมในฝีมือได้เช่นนี้? ต้องรู้ว่าแม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับใต้เท้าสังฆราช ซูหลีก็ยังไม่ค่อยให้ความเคารพขณะพูดถึง เขาไม่เข้าใจ แต่กลับถามอีกเรื่อง “ข้อความที่ท่านให้ข้าเขียนทิ้งไว้หมายความว่าอะไรหรือ?”
“เซวียเหอเป็นน้องชายเซวียสิ่งชวน และเซสียสิ่งชวนเป็นสหายเพียงคนเดียวของโจวทง ถ้าโจวทงรู้ว่าหลิวชิงฆ่าเซวียเหอ หลิวชิงย่อมตกที่นั่งลำบากอย่างน่าเวทนา”
“หลิวชิงก็กลัวใต้เท้าโจวทงหรือ?”
“ผู้ที่ยิ่งมองไม่เห็นแสงสว่าง ยิ่งกลัวโจวทง”
“รวมถึงนักฆ่าอันดับหนึ่งฝีมือเยี่ยมผู้นั้นด้วยหรือ?”
“อันนี้ย่อมเป็นข้อยกเว้น”
“แต่ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเคยพูดว่า ถ้าเขาฆ่าเซวียเหอแล้วก็สามารถป้ายสีว่าข้าเป็นคนทำได้ เมื่อเป็นนักฆ่าอันดับสาม ย่อมมีวิธีดำเนินการให้ปราศจากข้อสงสัยใดๆ”
“แต่ข้ารู้นี่ว่าเขาคือหลิวชิง และถ้าข้ายังอยู่ โจวทงก็ต้องรู้”
“ใต้เท้าโจวทงจะเชื่อคำพูดท่านหรือ?”
“ไม่จำเป็นต้องเชื่อ ขอแค่โจวทงสงสัยว่าเป็นฝีมือหลิวชิงก็เพียงพอแล้ว”
“แต่…ไม่มีหลักฐาน”
“เวลาโจวทงทำการใดๆ ต้องมีหลักฐานด้วยหรือ?”
พอเฉินฉางเซิงนึกถึงคำร่ำลือที่น่ากลัวต่างๆ นานาของใต้เท้าโจวทง ก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้จริง
คนในจิงตูพูดกันว่า ชื่อของโจวทงสามารถหยุดเสียงร้องกลางดึกของเด็กทารกได้ ตอนนี้ดูไปแล้ว ยังทำให้นักฆ่าอันดับสามเกรงกลัวอีก
เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดนักฆ่าคนนั้นต้องฆ่าเซวียเหอด้วย”
ซูหลีเลิกคิ้ว มองเขาพลางว่า “ข้าสิยิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่าเซวียเหอ”
“ขุนพลเทพเซวียเหอมาฆ่าผู้อาวุโสนี่ มิได้มาฆ่าข้า เช่นที่ผู้อาวุโสเคยพูดเอาไว้ หลังจากที่รู้ว่าข้าเป็นใคร เห็นชัดว่าเขาก็ไม่ปล่อยรังสีฆ่าฟันใส่ข้าอีก ดังนั้นเขาก็ไม่มีทางคิดฆ่าผู้อาวุโสแล้ว และทำไมข้าต้องฆ่าเขาด้วย? ผู้อาวุโส…เหมือนท่านลืมไปว่า ถ้าพูดถึงกองทัพ ขุนพลเทพเซวียเหออย่างไรก็น่าจะสนิทสนมกับข้ามากกว่าท่าน”
เฉินฉางเซิงพูดต่อ “ในทางกลับกัน ถ้าท่านอยากให้ข้าฆ่าเซวียเหอจริง ไหนเลยก่อนไปยังให้ข้าทิ้งข้อความไว้อีก?”
“เมื่อเจ้าไม่ยอมฆ่าคน ก็แน่นอนว่าต้องให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ น้ำใจที่มากพอ ย่อมไม่ทำให้เสียเปรียบ”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ควรพูดอย่างไรต่อ จึงเปลี่ยนเรื่อง “ไม่รู้ว่านักฆ่าผู้นั้นจะลงมืออีกเมื่อไหร่”
เขามองทะเลสาบยามพลบค่ำอย่างวิตกกังวล แม้ชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานเหนือกว่าโจวทงก็จริง แต่ตอนนี้ซูหลีไม่มีพลังคุกคามเช่นนั้นแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่เขาใช้ร่มกระดาษทองกั้นดาบของเซวียเหอให้เฉินฉางเซิงเมื่อเช้า
“เมื่อนักฆ่าคิดทำภารกิจให้ลุล่วง ย่อมต้องรอบคอบอย่างยิ่ง”
ซูหลีมองดูทะเลสาบยามพลบค่ำพลางว่า “ถ้ายังไม่แน่ใจว่าข้าบาดเจ็บสาหัส และพลังของเจ้ามีจำกัด เขาย่อมไม่ปรากฏตัวออกมา ยิ่งไม่มีทางลงมือ จึงได้แต่ทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วรอต่อไปเรื่อยๆ”