ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 88 การพูดคุยกันของอัจฉริยะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แสงสนธยาที่ขอบฟ้าค่อยๆ จางหาย หมู่เมฆหมอกกลางทะเลสาบยามเย็นก็เช่นเดียวกัน ลมที่พัดมาจากผิวน้ำในทะเลสาบเย็นลงเรื่อยๆ กองไฟข้างทะเลสาบมอดลงแล้ว เหลือเพียงเถ้าถ่าน ทำให้ไม่อุ่นเหมือนเดิม เฉินฉางเซิงกระชับเสื้อผ้าให้แน่นขึ้น ขณะนั่งมองทะเลสาบอยู่นาน นักฆ่าที่ไม่เคยแสดงตัวให้เห็น ไม่รู้ว่าจะปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อไหร่ ที่ไหน?

ซูหลีรู้ถึงความรู้สึกของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ดี จึงว่า “ข้าบอกแล้วว่า เมื่อเขาตัดสินใจรอแล้ว ก็ต้องรอต่อไปเรื่อยๆ รอแบบคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รอจนกว่าจะนำพาตนเองเข้าสู่ความตาย”

คำพูดนี้แฝงการสั่งสอนอย่างเห็นได้ชัด

แต่เฉินฉางเซิงกลับคิดว่า ถ้านักฆ่าผู้นี้รอไม่ได้อีกต่อไป จะทำอย่างไรดี? เขาไม่คิดว่าตนเองจะมีโอกาสทำการใดๆ ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเช่นนี้

“ผู้อาวุโส…ยังเหลือแรงพอสู้อีกสักตั้งไหม?”

จากที่ราบหิมะลงใต้มา ซูหลีกระทั่งเดินยังทำไม่ได้ แต่พอเช้าวันนี้ ในสถานการณ์คับขัน เขากลับใช้ร่มกระดาษทองยันดาบสุดท้ายของเซวียเหอไว้ ทำให้เฉินฉางเซิงอดไม่ได้ที่จะมีความหวัง

ซูหลีจึงอบรมต่อ “พลังเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าสู้อุตส่าห์เก็บสะสมมาหลายวัน เมื่อเช้าดันใช้ปกป้องชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไปแล้ว ตอนนี้ยังจะเหลือแรงอะไรอีก เจ้านึกว่าข้าเป็นกวางพื้นเมืองสองตัวที่ไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อยหรือไร?”

กวางพื้นเมืองสองตัวนั่งงอขาหน้าพักผ่อนอยู่ข้างทะเลสาบห่างออกไปไม่ไกล ท่าทางนอบน้อมอย่างยิ่ง

“จะว่าไป กระบี่สุดท้ายที่เจ้าทำให้เซวียเหอบาดเจ็บนั่น…ไม่เลวจริงๆ สำแดงพลังกระบี่เมื่อถึงคราวจวนตัว ด้วยการตวัดกระบี่อย่างฉับพลัน พลิกสถานการณ์คืนกลับ ช่างน่าทึ่งเสียนี่กระไร ว่าแต่ชื่อเพลงกระบี่อะไรนะ?”

พอเฉินฉางเซิงได้ยินคำถามของซูหลี ก็พูดไม่ออก ในใจคิด หรือท่านดูไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นเพลงกระบี่อะไร? แต่ก็เป็นดังเช่นยามที่เขาเคยคุยกับซูหลีตามปกติ อย่างไรตนเองก็ต้องตอบ

“เป็น…เพลงกระบี่เผานภา”

หลังพูดชื่อเพลงกระบี่ เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงแสดงสีหน้าอมทุกข์ออกมา

แต่ซูหลีดูหน้าหนากว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด ทำปากยื่นแล้วเยินยอตาม “ผู้ที่คิดค้นเพลงกระบี่เช่นนี้ขึ้นมาได้ ต้องเก่งกาจมากจริงๆ”

คราวนี้เฉินฉางเซิงพูดไม่ออกแล้วจริงๆ เขาก้มหน้า กอดเข่าทั้งสองข้างไว้ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

เพลงกระบี่เผานภาเป็นเพลงกระบี่ลึกลับของพรรคกระบี่หลีซาน เช่นเดียวกับเพลงกระบี่วิหคทอง… ซึ่งเดิมทีซูหลีเป็นผู้คิดค้นขึ้น

เมื่อเฉินฉางเซิงไม่ยอมพูด ซูหลีก็ไม่สามารถคุยโม้ต่อ หลังเงียบกันไปพักหนึ่ง บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียด ซูหลีมองเขาพลางถามหน้าตาเฉย “เหตุใดเจ้าจึงเป็นเพลงกระบี่เผานภาของข้า”

นี่ เป็นคำถามหนึ่งอย่างแน่นอน

พรรคที่สอนการบำเพ็ญเพียร ให้ความสำคัญกับวิชาในพรรคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถ่ายทอดให้กับคนนอก ผู้ที่กล้าลักขโมยต้องถูกไล่ล่าจนถึงแก่ชีวิต นับประสาอะไรกับเพลงกระบี่เผานภาที่ไม่ใช่เพลงกระบี่ทั่วไปของพรรค แต่เป็นเพลงกระบี่ลึกลับที่ซูหลีคิดค้นขึ้นเพียงลำพัง

“เพลงกระบี่เผานภา…ถูกบันทึกไว้ในตำรารวมเคล็ดวิชาเพลงกระบี่หลีซาน”

เฉินฉางเซิงชี้แจงอย่างตื่นเต้น พลางมองสีหน้าซูหลี

ซูหลีกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ตอนสงครามยังไม่ยุติ และตนยังไม่ได้เป็นอาจารย์ เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนหนึ่งในพรรคกระบี่หลีซาน แต่กลับคิดค้นเพลงกระบี่ที่รุนแรงและเด็ดขาดเช่นนี้ได้ ซึ่งที่สุดแล้วก็ปฏิเสธคำขอของเหล่าศิษย์พี่ไม่ลง บันทึกลงไปในตำรา… เขามองดูเฉินฉางเซิงอย่างเย็นชาพลางว่า “ที่แท้ตำรารวมเคล็ดวิชาเพลงกระบี่หลีซานก็อยู่ในมือเจ้านี่เอง”

ศิษย์พรรคกระบี่หลีซานที่ผ่านงานชุมนุมไม้เลื้อยและการสอบใหญ่ อย่างโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ และอีกหลายคน ต่างรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ซูหลีที่ออกท่องโลกกว้าง กลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่เขารู้เรื่อง ในตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านั้น เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยดวงตาจิกกัดทั้งยังค่อนข้างเคร่งขรึม

เมื่อครั้นเฉินฉางเซิงยังเป็นเด็ก ตอนอยู่วัดเก่าในเมืองซีหนิงก็เริ่มอ่านหนังสือแล้ว พอเข้ามาเรียนในสำนักฝึกหลวงก็มาตัวคนเดียว ไม่มีสหายหรืออาจารย์ที่รู้จัก จึงไม่มีแนวคิดโน้มเอียงไปทางพรรคหรือสำนักใดๆ ย่อมไม่รู้ว่าตำรารวมเคล็ดวิชาเพลงกระบี่หลีซานมีความหมายต่อเขาหลีซานยิ่ง เขาจึงพยักหน้าแล้วว่า “เพลงกระบี่เผานภาของผู้อาวุโส ข้าฝึกจากในตำรา”

ซูหลีเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนถาม “ตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่บันทึกไว้เพียงคร่าวๆ มีแต่เส้นทางเพลงกระบี่ แต่ไม่มีวิธีโคจรพลังใช้กระบี่ ผู้อ่านจึงรู้เพียงรูปแบบ แต่ไม่รู้วิธีการใช้ แล้วเจ้าฝึกมันได้อย่างไร?”

เฉินฉางเซิงตอบจากใจ “ข้าออกแบบการโคจรพลังปราณแท้ของตัวเองไว้สองทาง โดยผ่านการคิดคำนวณและการสันนิษฐาน รวมทั้งทดลองใช้สองครั้ง พลังกระบี่ย่อมไม่แข็งแกร่งเท่าเพลงกระบี่เผานภาของแท้ของผู้อาวุโส แต่ก็นับว่าใช้การได้”

พอได้ยินคำพูดนี้ ซูหลีก็นิ่งเงียบอยู่นาน

เฉินฉางเซิงจึงถามขึ้น “ผู้อาวุโส?”

ซูหลีมองเขาพลางว่า “มิน่าเล่าตอนเห็นเจ้าใช้กระบี่ ข้าถึงได้รู้สึกแปลกๆ…ออกแบบเอง…เจ้าเห็นการออกแบบเส้นทางกระบี่กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ไปตั้งแต่เมื่อใด? หรือเจ้าคือผู้มีอัจฉริยภาพด้านเส้นทางกระบี่ผู้หนึ่งจริงๆ?”

เฉินฉางเซิงไม่กล้ารับ “นั่นล้วนเป็นความรอบรู้ของผู้อาวุโส ข้าเพียงปรับเปลี่ยนเล็กน้อย”

“บางครั้งการปรับเปลี่ยนก็ยากกว่าการคิดค้น ข้าคิดค้นเพลงกระบี่เผานภาตอนอายุสิบสี่ เจ้าอายุสิบห้าก็แก้มันได้แล้ว เมื่อข้าคืออัจฉริยะไร้เทียมทาน หรือเจ้าคือผู้โง่งม? เมื่อสามารถเปิดทางโคจรพลังปราณด้วยตนเอง เจ้าย่อมเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง กระทั่งเป็นผู้วิเศษที่ยากพานพบในรอบพันปี เพียงแต่บรรดาคนโง่งมอย่างแท้จริงในจิงตู ไม่เคยค้นพบเรื่องที่ควรค่าแก่การให้ความสำคัญเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าแม้แต่โก่วหานสือก็ยังมองข้ามเรื่องนี้”

ซูหลีจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชม

“มีเพียงผู้ที่มีชีพจรต่างจากมนุษย์อย่างพวกเผ่าปีศาจ และมีใจอยากบำเพ็ญเพียรแบบมนุษย์เท่านั้น จึงจะเข้าใจในเรื่องที่เจ้าทำลงไปว่าสำคัญเพียงใด…มิน่าล่ะจักรพรรดิขาวกับจักรพรรดินีถึงยินยอมให้บุตรสาวกราบเจ้าเป็นอาจารย์ กระทั่งมอบตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานให้เจ้า”

เฉินฉางเซิงไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเก่งกาจอะไร นอกจากเรื่องอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

นั่นเป็นเพราะผู้คนต่างพูดว่าโก่วหานสือเก่งกาจมากที่อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเขาและศิษย์พี่อวี๋เหรินก็เป็นคนที่เก่งกาจมากเช่นกัน วันนี้กลับมีคนมาบอกว่าการบำเพ็ญเพียรและเส้นทางกระบี่ของเขาเองก็เก่งกาจมาก กระทั่งเป็นผู้วิเศษที่หาตัวจับยาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่พูดประโยคนั้นยังเป็นผู้วิเศษที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างมาก่อน นี่ทำให้เขารู้สึกตกใจมาก ดีใจมาก และงุนงงเล็กน้อยในเวลาเดียวกัน

จากนั้นเขาก็ได้ยินซูหลีเอ่ยถึงตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานอีกครั้ง จึงได้สติ ก่อนว่า “ผู้อาวุโส ลั่วลั่วเป็นผู้ให้ตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานกับข้า แต่ไม่ใช่ของของข้า ดังนั้นข้าไม่สามารถให้ท่านได้”

ตอนซูหลีเห็นว่าในที่สุดเฉินฉางเซิงก็เข้าใจความหมายของตน จึงเตรียมแย้มยิ้ม แล้วยื่นมือออกรับตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานที่เฉินฉางเซิงส่งคืนให้ด้วยความเคารพ ท่านอาจารย์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์จะได้เบาใจลง โดยไม่คาดคิดว่ากลับไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น…เขาโมโหมาก คิดในใจว่า คำพูดเมื่อครู่ที่ข้าชมเชยเจ้า หรือเข้าหูสุกรไปแล้วเสียนี่?

เมื่อเห็นสีหน้าซูหลีไม่สู้จะดี เฉินฉางเซิงก็คิดทำให้บรรยากาศดีขึ้น ด้วยการยิ้มพลางว่า “ผู้อาวุโสไม่อาจแย่งชิงของของคนรุ่นหลัง”

เขาพูดไม่เก่งจริงๆ มุกตลกนี้จึงตลกไม่ออก

ถ้าตอนนี้ซูหลีลงมือได้ ย่อมต้องแย่งตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานที่อยู่ในอกเสื้อเฉินฉางเซิงคืนกลับ ดังนั้นบรรยากาศไม่เพียงไม่เปลี่ยน แต่กลับกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิม

“ตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานข้า คนของจักรพรรดิขาวเป็นผู้แย่งชิงไป ข้าก็ทำได้เพียงต้องแย่งชิงกลับจากมือของพวกเขาให้ได้”

ซูหลีมองเฉินฉางเซิงพลางพูดอย่างห้าวหาญและเด็ดขาด แต่ในใจก็รู้ดีว่านี่คือข้ออ้าง หรือก็คือเป็นบันไดลงจากเวที เขาในตอนนี้ แม้แต่เฉินฉางเซิงก็ยังสู้ไม่ไหว จึงไม่มีทางแย่งตำราคืน เช่นนั้นก็ไม่แย่งดีกว่า ไว้ค่อยว่ากันภายหลัง

ปัญหาคือเฉินฉางเซิงไม่รู้เรื่อง เขาคิดว่าซูหลีคิดอย่างที่พูดจริง จึงถามอย่างประหลาดใจ “แล้วเหตุใดหลายปีมานี้ ผู้อาวุโสจึงไม่ไปเอาตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานคืนจากจักรพรรดิขาวเล่า?”

เขาคิดว่า ลำพังการบำเพ็ญเพียรตามเส้นทางกระบี่และนิสัยของซูหลี เมื่อรู้ว่าตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานอยู่ในเมืองไป๋ตี้ ก็ควรบุกเข้าไปสืบหาเบาะแสแต่แรก ดังนั้นจึงถามขึ้น ซึ่งก็คือการดึงบันไดลงออกจากเวทีที่ซูหลียืนอยู่นั่นเอง

สีหน้าซูหลีจึงย่ำแย่หนักกว่าเดิม ในใจคิด เมื่อครู่ที่ตนชมหมอนี่ไป ไม่สู้พูดให้สุกรฟังจริงๆ