สี่ปีก่อนตอนที่เหวินเปียวนำจดหมายมาส่งให้แม่ทัพฉู่ เขาเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้ดีว่ายิ่งไปดูใจก็ยิ่งเจ็บปวด จึงได้ห้ามปรามพวกเขาไปว่า “นี่มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่แน่ว่าสำนักคุ้มภัยอาจถูกขายทิ้งไปแล้วก็เป็นได้ ดีไม่ดีอาจเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีก แบบนี้ไม่สู้ไม่ต้องไปดู จะได้ไม่ต้องปวดใจ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านทั้งหมดล้วนยกให้เหวินเปียวเป็นผู้ตัดสิน ขอเพียงแค่เขาตัดสินใจแล้ว เหวินหู่กับเหวินเป้าล้วนไม่กล้าคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนไม่ได้มีความรู้สึกคิดถึงเหวินเป้าจึงยังไม่ได้รู้สึกอะไร อย่างไรก็ตามตลอดหลายวันมานี้เขาคิดถึงที่นั่นมากเหลือเกิน ยิ่งตอนนี้จุดที่เขายืนอยู่ก็ห่างจากที่นั่นไม่ไกลมาก ความปรารถนาที่อยากจะกลับไปดูสักครั้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาขอร้องออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “พี่ใหญ่ นั่นคือบ้านของพวกเรานะ เป็นบ้านที่พวกเราเคยอาศัยอยู่มาหลายปี หากข้าไม่กลับไปดูเลย ให้ข้ากลับบ้านไปทั้งเช่นนี้แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไร ท่านให้พวกข้ากลับไปดูเถอะนะ ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนพวกเราขอเพียงได้ดูสักครั้ง ดูเสร็จก็จะรีบกลับทันที”
เหวินหู่พยักหน้าเห็นด้วย
เหวินจงเองก็มองพวกเขาไปอย่างกดดัน
เหวินเปียวเหลือบมองไปทางคนทั้งสามก่อนจะพยักหน้าให้ในที่สุด “ก็ได้ พวกเราไปบอกให้แม่นางทราบสักคำก่อน อย่างไรก็ตามข้าขอเตือนพวกเจ้า ดูเสร็จให้รีบกลับทันที อย่าได้สร้างปัญหาใดๆ เป็นอันขาด”
หลายคนตอบรับอย่างมีความสุข พยักหน้าขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลายคนมาที่เรือนพักของเมิ่งเชี่ยนโยว ทันทีที่เห็นกัวเฟยยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เหวินเปียวก็ถามออกไปด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเรามีธุระอยากจะคุยกับแม่นางสักหน่อย ไม่ทราบว่าสะดวกให้เข้าไปหรือไม่”
หูของคนฝึกวรยุทธ์แต่ไหนแต่ไรมาก็เฉียบคมมากเป็นพิเศษ ตอนที่หลายคนเดินเข้ามาในเรือน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาแล้ว ดังนั้นคำพูดของเหวินเปียวนางจึงได้ยินมันอย่างชัดเจน ตะโกนออกไปว่า “มีอะไรก็เข้ามาพูดคุยกันข้างในเถิด”
เหวินเปียวรับคำ จากนั้นหลายคนก็ทยอยเดินเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วถามไปว่า “มีอะไรเหรอ”
เหวินเปียวตอบกลับว่า “พวกเราอยากกลับไปดูที่สำนักคุ้มภัยสักหน่อยขอรับ ไม่ทราบว่าแม่นางจะอนุญาตหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มแล้วตอบพวกเขาไป “ข้าคิดว่าเจ้ากับเหวินหู่ขอเรื่องนี้กับข้าตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเสียอีก คิดไม่ถึงว่าป่านนี้แล้วถึงเพิ่งมาขอ”
เหวินเปียวตอบนางไปด้วยความเคารพ “เดิมทีตัวข้าก็ไม่คิดจะกลับไปแล้วขอรับ กลับไปมีแต่จะสร้างปัญหาให้ปวดหัว เพียงแต่น้องสามคิดถึงที่นั่นมากจริงๆ อย่างไรก็อยากกลับไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง พวกเราจึงได้มาขออนุญาตแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นแล้วพูดออกไปว่า “ไปเถอะ ข้าก็จะตามไปดูกับพวกเจ้าด้วย”
“นี่…” เหวินเปียวลังเล “แม่นาง ตอนนั้นสำนักคุ้มภัยเกิดเรื่อง พวกเราก็ถูกทางการตัดสินให้กลายเป็นทาส สำนักคุ้มภัยถูกยึดไปนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าจะถูกขายทิ้งเปลี่ยนมือไปแล้วหรือเปล่า แม่นางไปกับพวกเราด้วยเกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า”
“ไม่เป็นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขณะเดินออกไปข้างนอก “นั่งอยู่เฉยๆ ในบ้านข้าก็ไม่มีอะไรทำ ตามพวกเจ้าออกไปดูสักหน่อย ถือเสียว่าเป็นการเยี่ยมชมเมืองหลวงก็แล้วกัน”
หลายคนไร้คำพูด ได้แต่เดินตามหลังนางออกจากห้องไป
กัวเฟยได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งหมด ไม่ต้องรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมีคำสั่งลงมา เขาก็จูงรถม้ามาจอดเตรียมรอไว้แล้ว
ยังคงเป็นเหวินเปียวที่ทำหน้าที่เป็นสารถีบังคับรถ กัวเฟยนั่งลงอีกด้าน ส่วนพวกเหวินหู่ก็ขี่ม้าตามหลังรถม้าไป
เหวินเป้าดูจะอาการหนักกว่าเหวินเปียวและเหวินหู่นิดหน่อย ตั้งแต่เขาถูกบังคับให้ออกจากเมืองหลวงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กลับมา ขณะนั่งอยู่บนม้าสายตาจึงกวาดมองทิวทัศน์ที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยโดยรอบไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กระวนกระวายจนกรอบตาขึ้นสีแดงก่ำ เหวินหู่อาการดีกว่าเขาหน่อย แต่พอรถม้ายิ่งขยับเข้าใกล้สำนักคุ้มภัย ความกดดันภายในใจก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรง
รถม้าเลี้ยวเข้าโค้ง ภาพของสำนักคุ้มภัยที่อยู่ห่างออกไปก็ปรากฏสู่สายตา เหวินเป้าอดไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด เขาเร่งม้าให้วิ่งนำรถม้าขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสำนักคุ้มภัย
เหวินเปียวขมวดคิ้วให้กับการกระทำที่ไร้กฎเกณฑ์ของเขา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยดุออกไปเช่นกัน
จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าสำนักคุ้มภัย เหวินเป้าไม่ได้กระโดดลงจากหลังม้าทันที ยังคงนั่งควบอยู่บนหลังม้ามองประตูสำนักคุ้มภัยด้วยดวงตาที่เปียกชื้น ความรู้สึกนับพันนับหมื่นพุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ
รถม้ามาจอดอยู่ตรงหน้าประตูของสำนักคุ้มภัย เหวินเปียวบังคับให้ม้าหยุดเดิน เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้าม่านขึ้นก่อนจะเดินลงมาจากรถม้า
เหวินเป้าได้สติกลับมาโดยพลัน พลิกตัวลงมาจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว
เหวินหู่กับเหวินจงเองก็กระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกัน หลายคนยืนอยู่หน้าประตู ออกมามองมันอย่างนั้นเงียบๆ
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครเข้ามาดูแล ดังนั้นประตูของสำนักคุ้มภัยเวลานี้จึงได้จึงได้มีแต่รอยลอกเต็มไปหมด กระดาษของทางการที่แปะไว้ว่าถูกยึดโดนลมกับฝนซัดสาดจนมองแทบไม่เห็นตัวอักษร เหลือไว้เพียงกระดาษขาวสองแผ่นที่ติดซ้อนกันเป็นรูปกากบาทใหญ่ ให้คนที่เดินผ่านมาผ่านไปได้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ถูกยึดแล้วโดยทางการ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
เหวินเป้าข่มความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในอก เดินขึ้นไปตบวงแหวนที่คล้องติดอยู่บนบานประตูสองสามครั้ง เสียงกระทบกันของทองแดงกับแผ่นไม้ดังส่งมาให้ได้ยิน ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ภาพเก่าๆ ก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะถูกยึดไปหวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
เหวินเปียวไม่ขยับเขยื้อนเลย เหวินหู่กลับเดินไปรอบๆ ประตูเล็กทางด้านข้างทั้งสองบานอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กที่กำลังจะกลับถึงบ้านพุ่งทะยานเข้าเต็มออก แต่แล้วแววตาก็ฉายความผิดหวังขึ้นมาเพราะไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว
เหวินจงยืนอยู่ที่เดิม ปาดน้ำตาทิ้งไปอย่างเงียบๆ
กัวเฟยเคยได้ยินเกี่ยวกับอดีตของพวกเขามาก่อน พอได้เห็นสภาพของหลายคนในตอนนี้ ในใจก็อดไม่ได้รู้สึกเปรี้ยวปร่าขึ้นมา
ขณะที่หลายคนกำลังหวนรำลึกภาพเก่าๆ จมอยู่กับความยินดีและความตื่นเต้น ไม่มีใครสังเกตเลยว่าห่างออกไปไม่ไกลนักเงาร่างสองเงากำลังมองมาทางนี้อย่างมีลับลมคมใน หนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “สมกับที่เป็นคุณชายใหญ่ คาดเดาไว้ไม่ผิดเลย นังเด็กสมควรตายนั่นพาเจ้าพวกขยะนั้นมาที่นี่จริงๆ ด้วย”
อีกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วสำทับลงไปว่า “คุณชายใหญ่ช่างคาดเดาได้แม่นยำดุจเทพพยากรณ์ คำนวณได้ว่าพวกมันจะมาที่นี่จึงได้ให้พวกเรามาเฝ้าอยู่ตรงนี้ล่วงหน้า ความพยายามของพวกเราไม่สูญเปล่าแล้ว”
คนก่อนหน้านี้ที่เปิดปากพูดออกมาเป็นคนแรก ทางหนึ่งก็กำลังจับตาดูสถานการณ์ของฝั่งตรงข้าม อีกทางก็สั่งเขาลงไปว่า “ข้าจะรออยู่ที่นี่ เจ้ารีบไปรายงานคุณชายใหญ่บอกให้เขารีบส่งคนมาที่นี่โดยไว”
อีกคนพยักหน้ารับคำ จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวคล้ายกับจะรู้สึกตัวขึ้นมา ตวัดสายตามองมาทางนี้รอบหนึ่ง
ปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวดุจสายฟ้าของหญิงสาวทำเอาคนที่ซ่อนตัวอยู่ใจเต้นระทึก รีบหลบไปหลังที่ซ่อน ก่อนจะแอบร้องขึ้นในใจว่า “อันตราย มิน่าล่ะคุณชายใหญ่ถึงได้บอกว่านังเด็กนี่จัดการยาก ที่แท้อีกฝ่ายก็มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ”
เมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวแม้จะเกิดความสงสัยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก ส่วนพวกเหวินเปียวตอนนี้กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ของตนเอง ตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ จึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงสถานการณ์นี้เลย
เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวด้านนอกจึงเปิดประตูออกมาดูด้วยความฉงนใจ ทันทีที่เขาเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสำนักคุ้มภัยจึงถามออกไปว่า “ทุกท่าน ไม่ทราบว่ามาหา…” แต่คำพูดของเขาก็หยุดลงเพียงเท่านี้เมื่อสายตาหันไปเห็นเหวินเปียว เสียงกรีดร้องของเขาก็ดังขึ้น “นายน้อย!”
เหวินเปียวพยักหน้าให้ “พี่หลี่ ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเลย”
พี่หลี่ที่ว่าริมฝีปากสั่นระริกไปด้วยความตื่นเต้น นานมากทีเดียวกว่าจะเปิดปากพูดออกไปว่า “นายน้อย เห็นพวกท่านมีชีวิตอยู่เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ข้าคิดว่า คิดไปว่า…”
“พวกเราโชคดีได้ผู้สูงศักดิ์ช่วยเหลือจึงได้อยู่อย่างปลอดภัยสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่บ้านเองก็สุขสบายมากเช่นกัน ลำบากให้พี่หลี่ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว” เหวินเปียวกล่าว
พี่หลี่ผู้นั้นโบกมือให้ “ปีนั้นพวกเจ้าถูกทางการตัดสินให้กลายเป็นทาส เพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกนี้ทั้งหมดล้วนคิดไปว่าพวกเจ้าจะประสบพบเจอกับเคราะห์กรรมไปแล้ว ในใจหรือก็ให้เป็นกังวลแทนนัก วันนี้พอได้เห็นกับตาว่าพวกเจ้าสุขสบายดี ทุกคนคงได้โล่งใจเสียที” จากนั้นเขาก็ถามต่อว่า “แล้วที่พวกเจ้ามาในวันนี้…”
เหวินเปียวตอบกลับไป “พวกเราติดตามนายหญิงเข้าเมืองหลวง ในใจคิดถึงบ้านมากเหลือเกินจึงได้มาดู อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”
—————————-