“นายหญิง” พี่หลี่ตะลึงงัน หันไปมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก็พอจะเข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้วก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ นายน้อยแห่งสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนหยวนที่อดีตเคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงแต่เวลานี้กลับต้องมากลายเป็นคนรับใช้ ทว่าพอลองกลับมานึกย้อนดู คนในบ้านสิบกว่าชีวิตสามารถมีชีวิตรอดได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มประจบประแจงว่า “ดีๆๆ พวกเราเพื่อนบ้านเก่าแก่ก็ยังอยู่ครบ ต่อไปถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออย่างใดก็ให้มาบอกได้ พวกเราจะช่วยเจ้าเอง”

 

 

เหวินเปียวรู้สึกอบอุ่นหัวใจ กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณพี่หลี่”

 

 

พี่หลี่โบกมือ จากนั้นมองดูพวกเขาทั้งกลุ่มแล้วก็กลับบ้านของตัวเองไป

 

 

เหวินเป้าที่มีท่าทีตื่นเต้นต้องใช้เวลาสักพักถึงสงบลงได้ ไม่สามารถระงับความคิดในใจได้ หันหน้าไปขอร้องกับเหวินเปียวว่า “พี่ใหญ่ ข้าอยากเข้าไปดูสักหน่อย”

 

 

เหวินหู่กับเหวินจงได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหน้าเขาราวกับว่าจะถามเช่นเดียวกัน

 

 

“เหลวไหล!” เหวินเปียวตำหนิพวกเขา “สำนักคุ้มภัยถูกอายัดไปแล้ว ก่อนจะมีคำสั่งจากราชสำนักว่าให้ถอนอายัดได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามลักลอบเข้าไป เรื่องนี้พวกเจ้าไม่รู้หรือ”

 

 

เหวินหู่กับเหวินจงจากใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังก็มีท่าทีสลดลงอย่างผิดหวัง

 

 

ทว่าเหวินเป้ากลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “พี่ใหญ่ขอรับ พวกเราไม่เข้าทางประตูหน้า พวกเราจะแอบปีนกำแพงเข้าไป” ในขณะที่พูดอยู่ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมา “ดูแวบเดียวเท่านั้น ข้าขอดูแวบเดียวแล้วก็จะรีบออกมา”

 

 

เหวินเปียวหมายจะตำหนิเขาอีก แต่ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวขัดจังหวะ “สำนักคุ้มภัยได้ถูกตรวจสอบและอายัดไว้หลายปี ไม่มีใครสนใจตั้งนานแล้ว พวกเจ้าจะแอบปีนกำแพงเข้าไปก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรอก”

 

 

พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวช่วยพูดให้ตัวเอง เหวินเป้าก็รู้สึกแปลกใจระคนยินดี แล้วก็ขอร้องเสียงดังว่า “พี่ใหญ่!”

 

 

เหวินเปียวมีความต้องการที่จะเข้าไปดูเหนือใคร เพียงแค่ต้องสงบเสงี่ยมไว้ เวลานี้พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเช่นนี้ก็กวาดตามองไปรอบๆ เห็นว่าตอนนี้ผู้คนสัญจรมีไม่มาก ไม่มีใครสนใจจริงๆ แล้วก็กัดฟันตัดสินใจได้ “พวกเราเข้าไปดูสักหน่อย แต่ว่าต้องรีบไปรีบกลับ อย่าให้คนอื่นสงสัยจนทำให้แม่นางต้องเดือดร้อน”

 

 

เหวินเป้า เหวินหู่และเหวินจงต่างก็รับคำเสียงดัง

 

 

เหวินเปียวยื่นบังเ**ยนที่อยู่ในมือให้กัวเฟย แล้วก็เดินไปถึงข้างๆ ประตูใหญ่ กระโดดทีเดียวก็ขึ้นไปบนกำแพง เหวินหู่กับเหวินเป้ารวมถึงเหวินจงต่างก็กระโดดตามเข้าไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ค่อนข้างไกลจากหน้าประตู กระโดดขึ้นไม่กี่ครั้งก็ไต่จากต้นไม้ใหญ่กระโดดขึ้นกำแพงไป สั่งกัวเฟยไว้ว่า “เจ้าดูแลรถม้าให้ดี พวกเราจะรีบออกมา”

 

 

กัวเฟยขานรับ แล้วจับบังเ**ยนแน่น

 

 

เหวินเปียวและคนอื่นๆ ต่างก็มองด้วยความสงสัย เหวินเปียวถามขึ้นว่า “แม่นาง นี่ท่าน…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดเข้าไปในเรือนก่อน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่าในตอนนั้นสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนหยวนมีชื่อเสียงอย่างไรในเมืองหลวงบ้าง เกิดอยากรู้อยากเห็นก็เลยตามพวกเจ้าเข้ามาดู พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า ทุกคนแยกย้ายไปเดินดูรอบๆ เถอะ ข้าเองก็จะเดินดูไปเรื่อยๆ”

 

 

เหวินเปียวและคนอื่นๆ ที่กระโดดข้ามกำแพงเข้ามาแล้ว พอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วเดินมุ่งไปยังกลางเรือนที่ลานฝึกฝนก่อน

 

 

ลานฝึกฝนของสำนักคุ้มภัยใหญ่มาก สามารถจุคนได้ถึงร้อยกว่าคนเลย ในตอนนั้นเหล่าลูกศิษย์ของสำนักคุ้มภัยถูกจับในขณะที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ อาวุธถูกวางทิ้งไว้กระจัดกระจายไปทั่วทั้งลานฝึกฝน อาวุธที่ผ่านสายลมสายฝนกัดกร่อน มีบางด้ามที่เป็นสนิม มีบางด้ามที่ด้ามจับขึ้นราจนผุพังไป เหลือไว้แต่ใบดาบที่นอนอยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

 

มองดูอาวุธเหล่านี้ที่ไม่หลงเหลือความเป็นอาวุธอยู่เลย ในสมองของเหวินเปียวและคนอื่นต่างก็ปรากฏภาพในตอนนั้นที่กำลังฝึกซ้อมกับลูกศิษย์ของสำนักคุ้มภัยอยู่ที่ลานฝึกฝนนี้ด้วยเสียงอันดังเซ็งแซ่ บัดนี้คนเหล่านั้นที่นอกจากตัวเองกับพี่น้องสามคนและคนในบ้าน ส่วนคนอื่นต่างก็ถูกส่งไปได้รับความลำบากตามที่ต่างๆ เป็นหรือตายมิอาจทราบได้

 

 

พอนึกถึงสภาพในตอนนี้ มองดูความพ่ายแพ้ในยามนี้ แต่ละคนต่างก็รู้สึกหน่วงๆ ขึ้นในใจ สีหน้าเงียบขรึมลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นสีหน้าของพวกเขาตรงนั้นก็เม้มปากไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา

 

 

เหวินเปียวเก็บความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ยังมีอะไรที่อยากเห็นอีก เร็วๆ หน่อย อย่าปล่อยให้เสียเวลามากเกินไป”

 

 

เหวินเป้ากับเหวินหู่พยักหน้า แล้วก็เดินไปยังเรือนพักของตัวเอง

 

 

เหวินเปียวกับเหวินจงก็ไปยังเรือนของตัวเอง เหลือเมิ่งเชี่ยนโยวคนเดียวที่เดินเล่นอยู่ในสำนักคุ้มภัยคนเดียว

 

 

สำนักคุ้มภัยมีแต่ความทรุดโทรมในทุกพื้นที่ บนพื้นมีเศษใบไม้ปกคลุมหนาจนเท้าที่ย่ำลงไปจมมิด เดินเหยียบลงไปมีเสียงดังสวบสาบ ประตูและหน้าต่างของแต่ละเรือนต่างก็ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ มองเข้าไปก็เห็นทุกอย่างที่อยู่ข้างในทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองไปรอบหนึ่งแล้วบ่นพึมพำคนเดียวว่า “พอมาดูจากตรงนี้แล้วสิ่งที่ผู้คนกล่าวขานนั้นเป็นจริงอย่างที่กล่าว ในตอนนั้นสำนักคุมภัยเวยหยวนมีกำลังที่แข็งแกร่งจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินเฮ่อเหลี่ยนเจ้าคนบัดซบนั่นได้อย่างไร จนทำให้โดนตรวจสอบและมีโทษถึงขั้นอายัดเช่นนี้”

 

 

ในตอนที่นางกำลังพิจารณาอยู่ ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ แล้วก็นึกถึงที่เมื่อกี้นี้รู้สึกได้ว่ามีคนแอบจ้องมองอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เกิดรู้สึกถึงลางไม่ดี แล้วก็ตะโกนพูดว่า “เหวินเปียว ดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเรารีบออกไปเถอะ!”

 

 

พอทุกคนได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาจากเรือนของตัวเอง

 

 

ไม่รอให้ใครได้ถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้วก็กวาดตามอง แต่กลับเห็นกัวเฟยคนเดียวที่จูงรถม้ายืนอยู่ตรงนั้น ม้าที่พวกเหวินหู่ขี่มาก็ล้อมรถม้าอยู่ใกล้ๆ กัน

 

 

ขมวดคิ้วมุ่น กระโดดขึ้นบนกำแพง กวาดตามองอย่างถี่ถ้วนก็ไม่พบความผิดปกติใด ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งหนักขึ้น แล้วตะโกนบอกกับทุกคนว่า “ออกไป!”

 

 

เหวินเปียวและคนอื่นต่างก็กระโดดขึ้นบนกำแพงแล้วก็กวาดตามองออกไป ก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าสงสัย จึงหันมามองที่เมิ่งเชี่ยนโยวโดยพร้อมเพรียงกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ทุกคนก็กระโดดลงจากกำแพงลงไปพร้อมกัน เดินไปหยุดข้างหน้ากัวเฟย

 

 

กัวเฟยพอเห็นทุกคนออกมาแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นกันจากที่ไกลๆ หากไม่ใช่เพราะว่าจูงม้าอยู่ข้าก็คงจะออกไปดูแล้ว…”

 

 

เขายังพูดไม่ทันขาดคำ พริบตาเดียวชายร่างกายกำยำหลายสิบคนก็ออกมาจากที่เร้นกายอยู่ข้างๆ แต่ละคนต่างก็ถืออาวุธอยู่ในมือ สายตาดุดัน มองดูก็รู้ว่าต้องการมาจับกุมพวกเขา

 

 

เหวินเปียวกับคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจแล้วล้อมรอบให้เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ตรงกลาง ตะโกนถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใคร”

 

 

ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง เฮ่อเหลี่ยนขี่ม้ามาแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา บังคับให้ม้าเดินเข้าไปหาพวกเขา แล้วกล่าวอย่างผู้ที่อยู่สูงกว่าว่า “หญิงต่ำช้า วันนี้ตกอยู่ในกำมือของข้าแล้วใช่ไหม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาถามว่า “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าพวกเราจะมาวันนี้”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนหันหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะอย่างลำพองใจว่า “ข้าไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะมาวันนี้ แต่ข้าสั่งให้คนคอยเฝ้าดูมานานแล้ว ข้าคิดว่าจะมีแค่พวกเขาไม่กี่คนที่มา ข้าจะได้จับพวกมันและฆ่าไปพร้อมกัน แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้สิ่งดีที่คาดไม่ถึง หญิงต่ำช้าอย่างเจ้าก็ตามมาด้วย พอดีเลยข้าจะได้ไม่ต้องคิดหาวิธีกำจัดเจ้าในวันหน้า วันนี้จะส่งพวกเจ้าขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกันเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเย็นชาพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่จำเป็น!”

 

 

รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของเฮ่อเหลี่ยนก็พลันแข็งค้างในทันที กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หญิงต่ำช้า ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วยังกล้าพูดจาอวดดีอีก วันนี้ไม่มีเจ้าเด็กระยำคนนั้นคอยช่วย ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือหุบเขาห้านิ้ว*ของข้าได้หรือไม่”

 

 

“ดูหมิ่นซื่อจื่อ มีโทษเพิ่มขึ้นอีก ข้าว่าคนที่หาเรื่องตายเป็นเจ้าเองกระมัง” เมิ่งเชี่ยนโยวถากถางเสียงเย็น

 

 

“ปากดีนักหรือหญิงต่ำช้า วันนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปพบเขาได้หรือไม่” พูดจบก็หันไปพูดกับกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังสิบกว่าคนนั้นว่า “ลงมือ ฆ่าได้ไม่ต้องยั้งมือ”

 

 

กลุ่มชายร่างใหญ่ขานรับ แล้วชูอาวุธเดินปรี่เข้ามา

 

 

กัวเฟยก็โยนบังเ**ยนที่อยู่ในมือออกไป แล้วเคลื่อนกายขึ้นมาบังเมิ่งเชี่ยนโยวไว้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงกลาง ไม่สนใจการต่อสู้ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเลยแม้แต่น้อย จ้องมองเฮ่อเหลี่ยนอย่างใจเย็น คำนวณดูว่าระยะห่างเท่านี้ตัวเองจะลากเขาลงมาได้หรือไม่

 

 

ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลี่ยนจะรู้ถึงความคิดของนาง เขาบังคับม้าให้ถอยไปหลายก้าว มองดูนางแล้วมุมปากกระตุกยิ้มอย่างเยาะเย้ย

 

 

คนที่อาศัยอยู่รอบๆ พอได้ยินเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นก็รีบวิ่งออกมามุงดู พอเห็นคนหลายคนถืออาวุธเข้าปะทะกันอย่างอลหม่านก็ตกใจจนต้องถอยกลับเรือนของตนไป

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่นั่งอยู่บนม้าตะโกนขู่เสียงดังว่า “หากไม่อยากตายก็รีบกลับห้องตัวเองไปให้ไว”

 

 

ทุกคนยิ่งหวาดกลัว แล้วก็รีบกลับห้องของตัวเอง ปิดประตูหน้าต่างทุกบ้านอย่างดี ด้วยเกรงว่าจะมีอันตรายมาถึงตัวเอง เหลือแต่พี่หลี่ที่ยังแอบยืนอยู่หน้าประตู มองออกมาทางนี้

 

 

คราวนี้คนที่เฮ่อเหลี่ยนนำมาด้วยมีฝีมือไม่ด้อยจริงๆ เหวินเปียวและคนอื่นบุกเข้าไปหลายครั้งก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้

 

 

กัวเฟยรู้สึกกระวนกระวายใจ อีกด้านก็ต่อสู้กับชายฉกรรจ์ อีกด้านก็พูดอย่างร้อนใจว่า “แม่นางขอรับ วันนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเราจะกันเอาไว้ แล้วให้ท่านออกไปก่อน”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังลั่น “คิดจะหนีหรือ ช้าไปแล้ว วันนี้พวกเจ้าต้องทิ้งชีวิตไว้ทุกคน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา กล่าวเยาะเย้ยเหน็บแนมขึ้นว่า “พูดจาโอ้อวดยิ่งนัก ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่เฮ่อไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด”

 

 

มั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของตน เฮ่อเหลี่ยนจึงกล่าวโดยไม่ปิดบังว่า “พวกนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือที่ข้าเลี้ยงดูไว้เอง ในยามปกติไม่ต้องให้ถึงมือพวกเขา หญิงต่ำช้าอย่างเจ้าถือว่าโชคดีที่มีพวกเขาส่งไปยังปรโลก เจ้าก็ไม่เสียเปรียบแล้ว”

 

 

“มันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวมีท่าทางสงบเยือกเย็น ไม่มีท่าทีที่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเม้มปากเล็กน้อย เหมือนยิ้มทว่าไม่ใช่รอยยิ้ม กล่าวถากถางว่า “ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ยังกล้าพูดจาโอหังอีก ดูท่าจะถูกเจ้าเด็กระยำนั่นตามใจจนเคยตัว จนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญคุณชายใหญ่เฮ่อลองดู” พูดจบคนก็กระโดดขึ้น แล้วประกายที่เป็นมันปลาบที่อยู่ในมือก็พุ่งโจมตีไปยังเฮ่อเหลี่ยนที่อยู่บนม้า

 

 

เฮ่อเหลี่ยนคิดไม่ถึงว่านางจะมีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้ เขาตกใจจนเหงื่อเย็นชื้นแล้วร้องเสียงหลงขึ้นว่า “คุ้มครองข้า!”

 

 

ชายฉกรรจ์สองคนถอยออกมาขนาบข้างเฮ่อเหลี่ยน ยกอาวุธที่อยู่ในมือรอรับมือกับเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกตัวกลางอากาศ กริชที่อยู่ในมือก็พุ่งทะลุผ่านลำคอของชายฉกรรจ์คนหนึ่ง

 

 

ชายฉกรรจ์ถืออาวุธค้างยืนแข็งทื่อไม่ไหวติง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ลอยลงพื้นอย่างแผ่วเบา

 

 

ร่างของชายฉกรรจ์ถึงหงายหลังล้มตึงลงบนพื้น เลือดที่ลำคอทะลักออกมาทันที