เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างพูดไม่ออก “เจ้า เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตตรวจดูกริชที่ไม่มีรอยเลือดเบาๆ กล่าวถามด้วยรอยยิ้มราวกับบุปผาแรกแย้มว่า “คุณชายใหญ่คราวนี้เชื่อหรือยัง ใครจะตายในน้ำมือของใคร วันนี้ยังไม่แน่นอนเลย”
ท่าทีของเฮ่อเหลี่ยนไม่อาจใช้คำว่าดูไม่ได้มาอธิบายได้ สงบจิตสงบใจได้แล้วจึงร้องอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าอย่าหยิ่งผยองเกินไปนัก ถึงเจ้าจะมีความสามารถมากเพียงใด วันนี้ก็หนีไม่พ้น ไม่ได้ชีวิตของเจ้าข้าไม่มีวันรามือเด็ดขาด”
แววตาของเมิ่งเชี่ยนโยวฉายแววเ**้ยมเกรียม ทั่วทั้งตัวราวกับว่าจะกลายเป็นมีดที่คมกริบ มีไอสังหารแผ่ออกมารอบตัว ม้าของเฮ่อเหลี่ยนร้องอย่างตื่นตระหนกจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
เฮ่อเหลี่ยนเกือบจะถูกม้าสะบัดตกลงมา จึงรีบดึงบังเ**ยนไว้ทันที นั่นจึงรักษาสมดุลเอาไว้ได้
เดิมทีชายฉกรรจ์อีกคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าม้าของเฮ่อเหลี่ยนที่หวาดผวาจากกระบวนท่าเพียงท่าเดียวที่ปลิดชีวิตของเพื่อนจนแทบจะทนไม่ไหว ตอนนี้ยังถูกไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของเมิ่งเชี่ยนโยวบีบจนต้องถอยหลังไปอีกก้าว ในใจยิ่งรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง มือที่ถืออาวุธอยู่ก็สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าได้โอกาสเหมาะก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้ชายฉกรรจ์ได้รู้สึกตัว ประกายมันปลาบที่อยู่ในมือก็ทะลุผ่านลำคอของเขาไปแล้ว
ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้ส่งเสียงออกมา ก็ล้มตึงลงไปกับพื้น
เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึงโดยไม่ต้องบอกก็รู้ ร้องเสียงแหลมอย่างลนลานว่า “รีบเข้ามาคุ้มครองข้า!”
ยังพูดไม่จบประโยค เมิ่งเชี่ยนโยวก็เตะดาบใบใหญ่ที่อยู่ในมือของชายฉกรรจ์ที่ล้มลงไปขึ้นมา
ดาบใบใหญ่ลอยละลิ่วพุ่งเข้าไปหาเฮ่อเหลี่ยน
เฮ่อเหลี่ยนร้องขึ้นมาอย่างตกใจ แล้วก็กลิ้งตกลงจากม้า ม้าตกใจร้องฮี๊ลากเสียงยาวขึ้นทีหนึ่ง แล้วก็วิ่งถอยออกไปหลายก้าว จนเฮ่อเหลี่ยนเกือบจะโดนเกือกม้าเตะไปที่ตัว
ยังถือว่าเฮ่อเหลี่ยนความรู้สึกไว กลิ้งออกมาหลายตลบถึงจะหลบจากเกือกม้าได้พ้น แต่ก็ตกใจจนนอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น
อีกหลายคนที่หมายจะเข้ามาคุ้มครองเฮ่อเหลี่ยน พอเห็นฉากนั้นก็ตกใจจนเหงื่อผุดซึมออกมา แล้วก็รีบกระโจนเข้ามาแล้วอุทานว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เฮ่อเหลี่ยนที่นอนราบอยู่กับพื้นใจหายสติยังไม่กลับมา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายครั้ง แล้วจึงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อย่าเพิ่งสนใจข้า รีบส่งหญิงต่ำช้าคนนั้นไปพบท่านยมบาลเร็ว”
ชายฉกรรจ์ต่างก็ขานรับคำสั่ง แล้วก็เดินตรงเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
ตายไปสอง ยังเข้ามาอีกสาม พริบตาเดียวความกดดันของเหวินเปียวและคนอื่นต่างก็บรรเทาลง ไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องจัดการกับคนไม่กี่คนด้วยมือเปล่า
กัวเฟยนั้นไม่เหมือนกัน เขามีหน้าที่ที่ต้องดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้เห็นชายฉกรรจ์สามคนกำลังโอบล้อมเข้าไป แต่ตัวเองกลับต่อสู้พัวพันอยู่กับอีกสองคน ไปช่วยไม่ได้จึงรู้สึกกระวนกระวายใจ ใจลอยแค่เพียงเสี้ยววินาที เกือบโดนชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งใช้ดาบใหญ่ฟันเฉียดแขน
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างสงบหนักแน่นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ใช้สมาธิต่อสู้กับพวกเขา รีบสู้รีบจบ พวกเราจะได้รีบออกไปโดยเร็ว”
กัวเฟยจึงดึงสติกลับคืนมาได้ แล้วดึงมีดสั้นประจำขององครักษ์ออกมาต่อกรกับชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างตั้งใจ
ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมีกริชจึงไม่เกรงกลัวทั้งสามคนนั้น ต่อสู้กันไปหลายรอบก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งพลาดท่าถูกกริชเฉือนเนื้อที่แขนไปได้ เนื้อถูกเฉือนออกจนเห็นกระดูกสีขาวโผล่ออกมา
ชายฉกรรจ์ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด กุมแขนแล้วนอนกลิ้งลงไปกับพื้น
ส่วนช่ายร่างกำยำอีกสองนายเหม่อลอยไปเพียงเสี้ยววินาที ก็ถูกนางแทงไปที่จุดตายของแต่ละคน
ชายฉกรรจ์ทั้งสามนอนกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับร่ำไห้ไม่หยุด คนที่อาศัยอยู่รอบๆ ได้ยินแล้วก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา ยิ่งไม่กล้าเปิดประตูออกมามุงดู
เสียงโอดครวญร่ำไห้นี้ก็ทำให้ชายฉกรรจ์คนอื่นละความสนใจหันไปมองเช่นกัน มีดสั้นที่อยู่ในมือของกัวเฟยกระทบแสงเป็นมันแปลบ แล้วชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ต่อสู้อยู่กับเขาก็โดนสังหารไป ชายฉกรรจ์อีกคนก็ถอยหลังไปด้วยความตกตะลึง
ชายฉกรรจ์คนที่เหลือก็ถูกเหวินเปียวและคนอื่นจัดการจนเหลือแค่แรงต่อสู้เท่านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งกริชที่อยู่ในมือเล่น เดินทีละก้าวทีละก้าวไปหาเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังถอยหลังอย่างหวาดผวาไม่หยุดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายใหญ่เฮ่อ ท่านว่าข้าจะเอาชีวิตของท่าน หรือว่าจะไม่เอาชีวิตของท่านดี”
เฮ่อเหลี่ยนถอยหลังอย่างหวาดกลัว แล้วกล่าวราวกับมีผู้สนับสนุนว่า “เจ้ากล้าหรือ ข้าเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรข้า ฮ่องเต้จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิดนัก เพื่อลดความวุ่นวายข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้าแล้ว เหลือไว้ให้เจ้าแค่แขนข้างหนึ่งกับขาอีกข้างหนึ่งดีหรือไม่”
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ร้องตะโกนขึ้นอย่างสุดชีวิตว่า “ช่วยข้าด้วย!”
ชายฉกรรจ์ที่เหลือต่างก็ติดพันอยู่กับเหวินเปียวและคนอื่น จะแยกร่างออกไปช่วยเขาได้อย่างไร
เฮ่อเหลี่ยนหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาถอยหลังไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวยกกริชขึ้นมาหมายจะลงมือ ทว่าได้ยินเสียงเกือกม้าดังเข้ามาก่อน ต่อมาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งที่ดูจะมีอำนาจดังขึ้นมาว่า “ผู้ใดกันที่ตีกันกลางถนนในตอนกลางวันแสกๆ”
เสียงมาถึงคนก็มาถึงเช่นกัน ด้านหลังยังมีทหารที่แต่งกายอย่างครบถ้วนบริบูรณ์มาอีกหนึ่งกอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกริชลงไป
คนที่เหลือต่างก็หยุดการต่อสู้เช่นกัน
พอเห็นคนที่อยู่บนหลังม้า เฮ่อเหลี่ยนก็แสดงท่าทางราวกับว่าเห็นเทวดามาโปรด ทั้งกลิ้งทั้งคลานจนมาถึงข้างหน้าม้า ร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นว่า “ผู้บัญชาการโต้วช่วยข้าด้วย”
ผู้บัญชาการโต้วเห็นคนที่อยู่ใต้ม้ามีเศษดินเต็มตัวไปหมด รู้สึกเวทนาไม่น้อย น้ำเสียงก็ฟังดูคุ้นเคย พอพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ต้องตกใจ จากนั้นก็รีบกระโดดลงมาจากม้าแล้วลนลานถามขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ ทำไมท่านมีสภาพเช่นนี้ได้”
เฮ่อเหลี่ยนไม่มีเวลามาสนใจสภาพของตัวเองแล้ว มือข้างหนึ่งกำชายเสื้อของผู้บัญชาการโต้วไว้ แล้วกล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ผู้บัญชาการโต้ว ท่านต้องช่วยข้านะ มีคนจะฆ่าข้า”
ผู้บัญชาการโต้วได้ยินดังนั้นก็กวดตามองไปรอบๆ เห็นบนพื้นมีศพคนตายอยู่หลายศพ ยังมีชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แล้วก็ขมวดคิ้ว ในแววตาเกิดความรู้สึกประหลาดใจ จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน กล้าทำร้ายคนที่กลางถนนเลยหรือ ไม่เห็นข้ากองกำลังปัญจทิศรักษานครอยู่ในสายตาเลยหรือ”
กัวเฟยเคยอยู่ในกองกำลังทหารของเมืองหลวง เคยได้ยินว่าเขาเป็นคนของกองกำลังปัญจทิศรักษานคร ในใจก็ลอบร้องขึ้นอย่างขมขื่น รู้แล้วว่าวันนี้ต้องวุ่นวายอีกเป็นแน่ จึงยกสองมือขึ้นคำนับพร้อมกับกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พวกข้าต่างก็มาทำการค้าขาย แล้วผ่านมาทางนี้ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดถึงถูกคนเหล่านี้ตามฆ่าได้ ถูกสถานการณ์บังคับจึงต้องสู้กลับขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนที่สติยังไม่กลับคืนมาดี ก็ฝืนลุกขึ้นจากพื้น หายใจหอบสักพักแล้วกล่าวว่า “ผู้บัญชาการโต้ว พวกเขากำลังพูดปด พวกเขาไม่สนใจคำสั่งห้ามของราชสำนัก ลอบเข้าไปในจวนที่ถูกอายัดไว้ เผอิญข้าเห็นเข้าพอดี จึงคิดจะจับพวกเขาไปส่งที่คุกหลวง แต่พวกเขากลับขัดขืน สังหารคนของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเย็นชา กล่าวถากถางว่า “คุณชายใหญ่ช่างน่าเกรงขามจริงๆ ออกจากบ้านก็ต้องพาคนที่ถืออาวุธครบมือออกมาด้วย ไม่ทราบว่านี่ผิดกฎหมายของเมืองหลวงหรือไม่เจ้าคะ”
—————————-
* หุบเขาห้านิ้ว(五指山)หุบเขาที่กักขังซุนหงอคงไว้ห้าร้อยปีเพื่อรอพระถังซัมจั๋งมาปลดปล่อย เปรียบเปรยว่าถูกกักขังจนขยับไม่ได้