ตอนที่ 458 โดนตีแล้ว / ตอนที่ 459 สะกดรอยตามคุณชายเจียง

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 458 โดนตีแล้ว 

 

 

           “นายอย่าหาเรื่องสิ นี่อยู่บ้านนายนะ ถ้ามีคนมาได้ยินจะทำยังไง” 

 

 

           “ระบบกันเสียงของบ้านผมดีเป็นพิเศษ” 

 

 

           “นายรู้ได้ยังไง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “เพราะว่าผมไม่เคยได้ยินเสียงเวลาพ่อแม่ผมทำกันเลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” 

 

 

           ‘ถ้าพ่อแม่ซือเหยี่ยนมาได้ยินประโยคนี้เข้า จะคว้าตะบองมาไล่ซือเหยี่ยนออกไปได้หรือเปล่า’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนจะโดนไล่ออกไปได้หรือเปล่า เจียงมู่เฉินไม่รู้ 

 

 

           เขารู้แค่เพียงตัวเองโดนซือเหยี่ยนจับกดจนเอวจะหักแล้ว 

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับเหมือนไปฉีดเลือดไก่[1]มาไม่มีผิด ท่าทางป่าเถื่อน ราวกับอยากจะหักเขาออกเป็นสองท่อน 

 

 

           เจียงมู่เฉินไร้หนทางให้หลบหนี จำใจต้องปล่อยให้ซือเหยี่ยนวาดลวดลายตามอำเภอใจ 

 

 

           …… 

 

 

           เช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินพยุงเอวนอนอยู่บนเตียง รอซือเหยี่ยนอย่างโกรธเคือง  

 

 

           แต่คนคนนั้นกลับหน้าชื่นตาบาน 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา ก็ยื่นมือไปตบก้นของเจียงมู่เฉินเบาๆ “ลุกได้แล้ว พวกเราต้องกลับกันแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาตบตรงนั้น ความตะลึงงันประกายวาบในแววตา 

 

 

           ‘เมื่อวานจูบดวงตาเขาก็ช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะยังตบ…ตบเขา…’ 

 

 

           เขาโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยโดนใครตีอย่างนี้มาก่อน 

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะเขินอายเกินไปหรือเพราะอะไร ดวงตาดอกท้อคู่นั้นของเจียงมู่เฉินแดงไปหมดแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นอาการ แล้วก็รีบช้อนร่างอุ้มเขาขึ้นมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ต่อไปถ้านายกล้าตีฉันแบบนี้อีก ฉัน… 

 

 

           …ฉันก็จะ…ฉันก็จะหนีออกจากบ้าน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน เขาก็แค่เอามือตบไปอย่างนั้นเฉยๆ มีหรือจะรู้ว่าเจียงมู่เฉินจะรับไม่ได้อย่างนี้ 

 

 

           “ได้ ต่อไปไม่ตีแล้ว” 

 

 

           เบ้าตาเจียงมู่เฉินยังคงแดงอยู่ ดูแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน 

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขาอย่างอ่อนโยน “รีบลุกเถอะ” 

 

 

           …… 

 

 

           หลังจากตื่นนอนมา กินอาหารเช้าด้วยกัน ซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินก็เดินทางออกจากบ้านตระกูลซือไป 

 

 

           เขาส่งเจียงมู่เฉินไปยังเจียงเฉินกรุ๊ป หลังจากนั้นตัวเองถึงได้ไปที่บริษัท 

 

 

           เจียงมู่เฉินถึงเจียงเฉินกรุ๊ปแล้ว เขายังไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน แต่ไปยังร้านกาแฟใต้ตึกแทน 

 

 

           เขากับจี้ฉิงแล้วว่าจะเจอกันที่นี่ 

 

 

           ถึงอย่างไรเรื่องวันนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสะสางกับจี้ฉิงให้ชัดเจน เพราะเรื่องของพ่อแม่ทั้งสองตระกูล หลายวันมานี้จึงยังหาเวลาปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย 

 

 

           วันนี้ได้จังหวะเวลาว่างกันพอดี จึงนัดออกมาพูดคุยกันให้ชัดเจน 

 

 

           เพียงไม่นานจี้ฉิงก็เดินเข้ามา เธอใส่หน้ากากปิดปากและแว่นตา คนทั้งคนแต่งตัวมิดชิด 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ว่าเธอไม่อยากถูกจับได้ ดังนั้นจึงหามุมที่หลบซ่อนได้ 

 

 

           จี้ฉิงนั่งลงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจียงมู่เฉิน บนโต๊ะมีกาแฟที่สั่งไว้วางอยู่เรียบร้อย 

 

 

           เธอยกมือขึ้นถอดแว่นตาและหน้ากากปิดปากออก เผยให้เห็นใบหน้าของตัวเอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางระมัดระวังอยู่ได้ทั้งวันของเธอ ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความติดตลก “ออกมาข้างนอกทีเหมือนโจรไม่มีผิด” 

 

 

           จี้ฉิงถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “คุณคิดว่าฉันไม่อยากออกมาข้างนอกอย่างเปิดเผยเหรอ ที่สำคัญคือถ้าถูกคนจับตามองแล้ว ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าข่าวฉาวอะไรก็คงจะออกมาแล้ว”  

 

 

           “พ่อแม่เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” 

 

 

           เอ่ยถึงเรื่องนี้ จี้ฉิงก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ยังพอโอเคมั้ง โกรธจนออกไปตั้งแต่วันนั้นเลย” 

 

 

           เดิมทีมาหารือเรื่องแต่งงานด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผลสุดท้ายมาพบว่าเป็นเรื่องโกหก ความดันโลหิตก็ขึ้นสูงกันในพริบตา 

 

 

           บวกกับคุณแม่เจียงที่เป็นลมไปตรงนั้นอีก 

 

 

           สถานการณ์วุ่นวายจนเธอเองก็เอาไม่อยู่ หลังจากรอส่งตัวคุณแม่เจียงถึงโรงพยาบาลเสร็จ พ่อแม่เธอก็ซื้อตั๋วเครื่องบินหายตัวไปแล้ว 

 

 

           ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอวันนั้นวันที่เธอมีเวลา แล้วค่อยไปยอมรับผิดขอรับโทษต่อหน้าพ่อแม่เธอ 

 

 

           “ขอโทษด้วย เพราะฉันเป็นต้นเหตุ” 

 

 

           จี้ฉิงส่ายหัว “ฉันก็เป็นต้นเหตุเหมือนกัน ถ้าฉันไม่ยื่นเสนอให้คุณ คุณก็ไม่ต้องยอมตกลงรับปากฉัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดลงสักพัก “ฉันกับซือเหยี่ยนได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลแล้ว ดังนั้นฉันจึงอยากจะหารือกับเธอ ประกาศกับสาธารณะเรื่องที่พวกเราเลิกกัน” 

 

 

 

 

 

[1] ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy) 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 459 สะกดรอยตามคุณชายเจียง 

 

 

           จี้ฉิงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะจัดการเรื่องพ่อแม่ทั้งสองตระกูลได้เร็วขนาดนี้ ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ในที 

 

 

           “จริงเหรอ พวกคุณทำยังไงกันถึงได้รับความเห็นชอบ ก่อนหน้านี้คุณน้าค้านหัวชนฝาเลยไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ เอ่ยแค่เพียงว่า “พ่อแม่ซือเหยี่ยนกับพ่อแม่ฉันเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกท่านก็แค่พบปะพูดคุยกัน” 

 

 

           จี้ฉิงมองเขาด้วยสีหน้าอิจฉา “ไม่นึกเลย แต่ก็ยังต้องยินดีกับคุณด้วยนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเบาๆ หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเธอไม่อยากทำงานเบื้องหน้าวงการบันเทิงอีก ลองมาร่วมงานกันกับฉันดูก็ได้นะ” 

 

 

           จี้ฉิงตะลึงตาค้าง “ร่วมงานอะไรเหรอ” 

 

 

           “ฉันวางแพลนจะเปิดบริษัทผลิตสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉันเอง” 

 

 

           “เจียงเฉินกรุ๊ปเป็นของพ่อฉัน ไม่เกี่ยวกับฉัน” 

 

 

           ในเมื่อตัดสินใจจะคบกับซือเหยี่ยนแล้ว เขาจะมามัวขี้เกียจเล่นไปวันๆ แบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป 

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรอย่างน้อยที่สุดเวลาที่ครอบครัวเขาพูดคุยถึงเขาขึ้นมา คนที่เอ่ยออกมาจากปากก็คือเจียงมู่เฉิน ไม่ใช่คุณชายน้อยตระกูลเจียง 

 

 

           “คุณให้ฉันคิดทบทวนดูก่อนนะ” เจียงมู่เฉินพูดถึงเรื่องนี้ ที่จริงน่าดึงดูดใจทีเดียว อีกอย่างเธอกับเจียงมู่เฉินก็รู้จักกันมานานพอสมควร เขาคนนี้ยังถือว่าน่าเชื่อถือได้มากอยู่ 

 

 

           อีกอย่างเธออยู่วงการบันเทิงมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ถ้าถอยมาเป็นเบื้องหลัง ก็ไม่เลวเหมือนกัน 

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่รีบร้อน พยักหน้ารับ “เธอคิดทบทวนดีแล้วมาก็บอกฉัน” 

 

 

           ทั้งสองคนคุยต่อกันอีกสักพัก จี้ฉิงต้องรีบไปถ่ายโฆษณา ดื่มกาแฟเสร็จก็รีบออกจากที่นี่ทันที 

 

 

           ขณะที่เดินออกมาจากร้านกาแฟ จี้ฉิงรู้สึกว่ารอบข้างมีคนแอบถ่ายเธออยู่ตลอดเวลา 

 

 

           เธอมองไปยังด้านข้างด้วยความหวาดระแวง กลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง 

 

 

           จี้ฉิงส่ายหัวไปมา รู้สึกว่าตัวเองอาจจะทำสายงานนี้นานเกินไป จึงค่อนข้างจะมีปฏิกิริยาไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัว 

 

 

           เธอจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แล้วขับรถออกจากเจียงเฉินกรุ๊ปไป 

 

 

           จี้ฉิงเดินออกไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินก็เดินจากด้านในออกมา 

 

 

           ที่มุมด้านข้าง มีคนถ่ายรูปด้านหลังของเจียงมู่เฉินขณะที่เดินออกไป เธอมองดูกล้องถ่ายรูปในมือแล้วอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ 

 

 

           ‘ถ้าพี่ซือเหยี่ยนรู้ว่าเจียงมู่เฉินแอบมากุ๊กกิ๊กกับจี้ฉิงลับหลังเขา จะเป็นยังไงนะ’ 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยก็ตามหลังออกไปเช่นกัน 

 

 

           …… 

 

 

           ตอนบ่ายในวันเดียวกัน ซือเหยี่ยนก็ได้รับพัสดุชิ้นหนึ่งมา 

 

 

           ผู้ช่วยเห็นว่าเป็นของซือเหยี่ยน จึงรับมาแล้วส่งขึ้นไปให้ ซือเหยี่ยนแกะออกดูทันที เมื่อเห็นรูปถ่ายที่อยู่ข้างใน กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

           คนที่อยู่ข้างในภาพคือเจียงมู่เฉิน อีกคนก็คือจี้ฉิงคนที่เคยพบหน้ากันโดยบังเอิญ 

 

 

           ‘ใครจะส่งรูปถ่ายแบบนี้มาให้เขาได้’ 

 

 

           หลังจากหลินเหวินฮุ่ยล้างรูปออกมาส่งให้ซือเหยี่ยนแล้ว ก็ไปบริษัทของซือเหยี่ยนทันที 

 

 

           เธอร้อนใจอยากจะไปดูให้เห็นกับตา ยามที่ซือเหยี่ยนเห็นรูปถ่ายของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงจะแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมาได้ 

 

 

           เธอเดินทางไปยังบริษัทของซือเหยี่ยน จนตอนนี้มายืนเคาะประตูอยู่ที่หน้าประตูแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังดูรูปถ่ายนั้นอยู่ ได้ยินเสียงเคาะประตู ก็วางรูปถ่ายลงข้างตัว เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เข้ามา” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยผลักเปิดประตูเข้ามา ก็เห็นซือเหยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน 

 

 

           เธอดีใจรีบเดินเข้าไปหา “พี่ซือเหยี่ยน พี่กลับมาแล้วทำไมไม่บอกฉันสักคำคะ ฉันคิดว่าพี่อยู่ที่อเมริกาตลอดเลย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นหลินเหวินฮุ่ยก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ อีกนิดเขาเกือบจะลืมหลินเหวินฮุ่ยไปแล้ว 

 

 

           “ฉันเองก็เพิ่งจะกลับมาได้ไม่กี่วัน งานที่บริษัทแย่งมาก” 

 

 

           แน่นอนว่าหลินเหวินฮุ่ยไม่ได้จะมาตำหนิอะไรซือเหยี่ยนจริงๆ เธอทำเป็นมองโต๊ะของซือเหยี่ยนผ่านๆ ก็เห็นกล่องใส่ที่ตัวเองส่งรูปถ่ายมาพอดี 

 

 

           เธอดีใจในบัดดล ดูท่าว่าซือเหยี่ยนได้เห็นรูปถ่ายนั้นแล้ว 

 

 

           “ไม่เป็นไรค่ะ คราวก่อนพ่อฉันยังบอกว่ารอพี่กลับมา แล้วให้พี่ไปกินข้าวกันสักมื้อที่บ้านด้วย” 

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “มีเวลาเดี๋ยวจะแวะไปเยี่ยม” 

 

 

           เขาพูดจาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หลินเหวินฮุ่ยฟังอารมณ์ของเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาจะดีใจหรือว่าทุกข์ใจ 

 

 

           เธอครุ่นคิดแล้วตัดสินใจจะสุมไฟให้ซือเหยี่ยนอีกสักหน่อย