ตอนที่ 696 ผู้ตรวจการ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 696 ผู้ตรวจการ

จากนั้นลู่จ้านก็มองมู่จวินฮานครู่หนึ่งแต่มิได้กล่าวอันใด

“เช่นนั้นก็ดี” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลออกมา หลังผ่านไปครู่หนึ่งจึงอธิบายถึงเรื่องสำนักตรวจการที่จัดตั้งขึ้น

“โอรสของข้าจ้าวหลานหยู่จักรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการ ส่วนสำนักตรวจการก็ใช้จวนเจียงอ๋องเก่าแล้วกัน จักได้มิต้องใช้เจ้าหน้าที่มากนัก”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฟู่หวง ! ”

จ้าวหลานหยู่ดูร่าเริงมาก ราวกับคางคกขึ้นวอก็มิปาน

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…” ฮ่องเต้ตรัสและมองไปทางมู่จวินฮาน

“ได้ยินว่ามินานมานี้อ๋องมู่เพิ่งสูญเสียอนุภรรยาไป ข้ามีธิดาองค์หนึ่งจะประทานให้เป็นอนุของอ๋องมู่แทนแล้วกัน”

ฮ่องเต้ยอมลดองค์ลงมามอบธิดาให้เป็นอนุภรรยาของมู่จวินฮานเช่นนี้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านี่ต้องเป็นแผนการของฝ่าบาทแน่นอน

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิเต็มใจรับพ่ะย่ะค่ะ” แต่คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานที่มิกล้าปฏิเสธเรื่องใหญ่เมื่อครู่กลับปฏิเสธการสมรสพระราชทานเสียได้

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ” ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก

“ฝ่าบาท” เป็นลู่จ้านที่ก้าวออกมา เขาเองก็มิอยากให้อันหลิงเกอต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสตรีที่ทำให้ต้องปวดหัวในจวนอ๋องมู่เช่นกัน

ลู่จ้านหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยต่อ “ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้กระหม่อมสูญเสียพระชายาเอกไป บัดนี้ยังมิพบคู่ที่เหมาะสม กระหม่อมจึงมีเรื่องอยากทูลขอร้อง มิทราบว่าฝ่าบาทจะประทานกงจู่ให้กระหม่อมแทนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

ทันทีที่ลู่จ้านเอ่ยปาก ทุกคนก็ตกตะลึง

นี่เท่ากับเป็นการบังคับฮ่องเต้ชัด ๆ

ฮ่องเต้เพิ่งตรัสออกมา ลู่จ้านก็ช่วยพูดแทนมู่จวินฮานทันที ดูท่าแล้วการจัดตั้งสำนักตรวจการจวนอ๋องทั้งสี่ก็สมเหตุผลอยู่

“เอาเช่นนี้แล้วกัน อีกมิกี่วันข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นและยังเชิญชาวยุทธที่มีความสามารถมาร่วมงานด้วย ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ของวังหลวงทีเดียว” จากนั้นฮ่องเต้ก็ตรัสต่อ

“ในจำนวนนั้นยังรวมถึงประมุขหอสดับพิรุณ รวมทั้ง…หอพิษกู่อีกด้วย”

หืม ?

เมื่อได้ยินแล้วด้านล่างก็เกิดเสียงดังขึ้นทันที เหล่าขุนนางมิคิดว่าฮ่องเต้จะเชิญบุคคลที่ผู้คนเกรงกลัวทั้งสองนั้นเข้ามาในวัง

“เอาล่ะ เรื่องประทานสมรสวันหลังค่อยพูดกันใหม่ ! ” ตรัสจบแล้วฮ่องเต้ก็สั่งเลิกการประชุมทันที

งานเลี้ยงที่ฮ่องเต้จัดขึ้นมีจ้าวหลานหยู่เป็นผู้เตรียมการและทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ฮ่องเต้คิดเอาไว้เช่นกัน

มิเพียงแต่อวีหลันเพราะยังมีเชื้อพระวงศ์และบุตรีของขุนนางมากมายมาร่วมงานนี้เช่นกัน

ครั้งนี้หากเป็นไปได้ฮ่องเต้ก็ประสงค์ดึงหอสดับพิรุณและหอพิษกู่มาเป็นพวก เช่นนี้ต่อไปอำนาจของราชสำนักก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนมิต้องเกรงกลัวจวนอ๋องเหล่านั้นอีก

จ้าวหลานหยู่จึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่อวีหลันล่วงหน้า แม้ไม่มีโอกาสเข้าใกล้มู่จวินฮานแต่หากเข้าใกล้ผู้อื่นได้ก็ยังดี

และงานเลี้ยงนี้ซื่อจื่อผู้โง่งมแห่งจวนอ๋องอี้ก็พาอันหลิงอีมาด้วย ทั้งสองคนนั่งอยู่ในมุมที่มิโดดเด่น เพราะอันหลิงอีไม่อยากให้เหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่เคยรู้จักมาหัวเราะเยาะตนว่าแต่งกับคนโง่งมเช่นนี้ !

ส่วนอันหลิงเกอและมู่จวินฮานนั่งอยู่ด้านบน ฝั่งตรงข้ามคือไป๋หลี่เฉินและฟางหลิงซู่

การจัดตำแหน่งเช่นนี้มิรู้ว่าฮ่องเต้จงใจหรือไม่

เพราะการจัดตำแหน่งเช่นนี้ทำให้สายตาของบุรุษทั้งสามจับจ้องไปยังอันหลิงเกอจนบรรยากาศน่าอึดอัดใจยิ่ง

ก่อนหน้านี้ไป๋หลี่เฉินได้พบฟางหลิงซู่ก็เพราะอันหลิงเกอ เขาจึงส่งสายตาเชิงคำถามไปให้อันหลิงเกอที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย

ทว่าการสบตาระหว่างทั้งสองแล้วในสายตาของมู่จวินฮานกลายเป็นการเล่นหูเล่นตากัน เขาจึงจับมือของอันหลิงเกอไว้แน่นและใช้สายตาสื่อความหมายให้นาง

“ยามนี้อยู่ในวังหลวง เกอเอ๋อต้องสำรวมหน่อย” มู่จวินฮานแสร้งเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของอันหลิงเกออย่างสนิทสนม ลมหายใจของเขาทำให้นางหลบเลี่ยงโดยมิรู้ตัว ทว่ากลับถูกเขากดไหล่เอาไว้จึงมิสามารถขยับได้

การกระทำของทั้งสองคนในสายตาของผู้อื่นช่างดูเป็นคู่ที่เหมาะสมและรักใคร่กันมาก มีเพียงอันหลิงเกอเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำเสียงเย็นชาและแรงมือที่มากของมู่จวินฮานกำลังเตือนนางว่าเขากำลังหึงหวง

ทำให้สีหน้าของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงโดยมิหันไปมองที่ใดอีก งานเลี้ยงครั้งนี้หาได้จบลงอย่างรวดเร็วไม่เพราะตามที่คาดเอาไว้นี่เป็นงานที่ใช้ในการเลือกคู่เพื่อเชื่อมสัมพันธ์นั่นเอง

อันหลิงเกอได้แต่ยิ้มกับตนเอง ดูท่าแล้วมู่จวินฮานก็เป็นเด็กขี้หวงเช่นกัน

เมื่อเห็นรอยยิ้มของอันหลิงเกอแล้ว ฟางหลิงซู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มิอาจใจแข็งได้

เพราะตอนนี้ใบหน้าของนางดูซีดเซียว ร่างกายก็ดูซูบผอม คงเป็นเพราะร่างกายของนางยังมิหายดี

ฟางหลิงซู่ลอบกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เขาจะต้องบรรลุเป้าหมายให้ได้โดยเร็ว เขาจักมิปล่อยให้นางต้องทนทุกข์นานกว่านี้อีกแล้ว

อันหลิงเกอคล้ายได้ยินเสียงหัวใจของฟางหลิงซู่ก็มิปาน นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางเขา

ก่อนหน้านี้เขาจากไปแล้วมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงได้รับเชิญจากฝ่าบาทอีก ?

ภายในใจของอันหลิงเกอเกิดความสงสัยขึ้นมา นางมีถ้อยคำมากมายที่อยากถามฟางหลิงซู่ แต่เพราะฐานะในตอนนี้จึงมิอาจเอ่ยออกไปได้

แต่ฟางหลิงซู่เหมือนรับรู้ว่านางกำลังคิดเช่นไรจึงยกจอกสุราและเดินมาทางพวกนาง

“โชคดีที่ได้ฝ่าบาทช่วยเหลือ ข้าจึงได้กลับมาต้าโจวอีกครั้ง” คำพูดนี้ฟังคล้ายเป็นการขอบคุณ แต่มิรู้ว่าเหตุใดอันหลิงเกอกลับรู้สึกได้ถึงการตำหนิและความเคียดแค้นในประโยคของฟางหลิงซู่ ดูเหมือนเขายังเข้าใจมู่จวินฮานผิดอยู่ หรือว่าระหว่างพวกเขาสองคนเกิดเรื่องบางอย่างที่นางมิรู้ขึ้น

ใช่แล้ว วันนั้นหลังจากมู่จวินฮานตื่นขึ้นมาก็พาคนไปที่หอพิษกู่ อาจเพราะเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจผิดกันจริง

“วันนั้นเป็นข้าที่เลอะเลือนไปเอง” มู่จวินฮานยกมือขึ้นคำนับเล็กน้อย แม้แสดงออกเช่นนั้น แต่แววตาหาได้ถ่อมตนหรือต้องการขอโทษไม่

“ไม่เป็นไร มนุษย์มิว่าจากไปไหนก็ต้องกลับคืนบ้านอยู่ดี” ระหว่างที่ทั้งสองปะทะคารมกันไปมานั้น อันหลิงเกอก็ยังมิเข้าใจอยู่ดี นางมองทั้งสองคนอย่างสงสัยแต่พวกเขาไม่ได้มีผู้ใดมองมาทางนาง เอาแต่สบตาซึ่งกันและกันพร้อมประกายไฟที่ลุกโชนในแววตา

“บัดนี้ได้กลับมาต้าโจวและหอพิษกู่ถือว่าเป็นสถานที่ของราชสำนัก ข้าจึงสบายดีมาก”

ยามที่ฟางหลิงซู่บอกว่าสบายดีมาก เขาก็ขบกรามแน่นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาโกรธแค้นมู่จวินฮานมากเพียงใด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ในที่สุดอันหลิงเกอก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด คงเป็นเพราะมู่จวินฮานได้ไปตรวจสอบหอพิษกู่ของฟางหลิงซู่จึงทำให้ฟางหลิงซู่มิสามารถไปจากต้าโจวได้

เพราะตอนนี้แววตาของฟางหลิงซู่เต็มไปด้วยความแค้น เขามองมู่จวินฮานเช่นนั้นอยู่นานโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด

“ช่างเถิด ในเมื่อคนของหอพิษกู่ได้กลับมาต้าโจว ต่อไปคงเลี่ยงที่จะพบกันบ่อย ๆ มิได้”

จากนั้นฟางหลิงซู่ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วเพื่อเอ่ยถึงแผนการของตนในภายภาคหน้า ฟังผิวเผินอาจเหมือนคำพูดธรรมดาทั่วไปแต่เหมือนว่าเขาจงใจที่จะสร้างปัญหาให้แก่มู่จวินฮาน ทำให้แววตาของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยโทสะในชั่วพริบตา

“มิเป็นไร หากรบกวนแค่ข้าก็มิเป็นไรหรอก แต่หากรบกวนพระชายา ข้ามิอนุญาตเด็ดขาด ! ” ความหมายของมู่จวินฮานชัดเจนอย่างยิ่งว่ามิต้องการให้ฟางหลิงซู่ไปมาหาสู่กับอันหลิงเกอและมิต้องการให้มาอาศัยการคุยงานกับเขาเพื่อได้พบอันหลิงเกอด้วย

อันหลิงเกอฟังการปะทะคารมของพวกเขาแล้วถึงกับขมวดคิ้วมุ่นโดยมิรู้ตัว

ทว่าในตอนนั้นเองฟางหลิงซู่ก็ยอมเดินกลับไป ส่วนมู่จวินฮานเข้ามาประคองอันหลิงเกอเพื่อนั่งลงอีกครั้ง

แต่ดวงตาของมู่จวินฮานดูอันตรายยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก คล้ายกำลังตักเตือนนางว่าแม้ฟางหลิงซู่จะกลับมาก็มิควรไปพบเขาอีก

อันหลิงเกอรู้ว่ามู่จวินฮานมิได้หึงหวงมากนัก เพราะนางยังสามารถรับรู้ถึงความเศร้าที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาได้