ตอนที่ 695 มุ่งร้าย

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 695 มุ่งร้าย

ตอนนี้ภายในจวนอ๋องมู่หวนคืนสู่ความสงบอีกครั้ง อันหลังเกอ มู่จวินฮานและบุตรทั้งสามคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ทว่าภายในวังหลวงหาได้สงบสุขไม่

เพราะสำหรับฮ่องเต้แล้วการที่มู่จวินฮานส่งมู่เหล่าหวางเฟยกลับมาอยู่ในวังเช่นนี้ทำให้พระองค์คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายมิถูก

ส่วนจ้าวหลานหยู่แม้สูญเสียความโปรดปรานไปตั้งแต่แกล้งตายครานั้น ทว่าอย่างไรก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง

“ทูลฟู่หวง ลูกคิดว่าอ๋องมู่ต้องการท้าทายอำนาจของพระองค์ เขาแสดงให้เห็นว่าต่อไปเราจะไม่สามารถข่มขู่เขาได้อีกพ่ะย่ะค่ะ ! ” คำพูดของจ้าวหลานหยู่ทำให้ฮ่องเต้อดคิดเช่นนั้นมิได้

“แล้วเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร ? ” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางจ้าวหลานหยู่อย่างรอคอยคำตอบ

“ลูกคิดว่าควรหาคนถ่วงดุลอำนาจของจวนอ๋องมู่ จวนอ๋องอี้ จวนโหวรวมทั้งจวนอ๋องลู่ เช่นนี้จะได้มิดูเป็นการพุ่งเป้าไปที่จวนอ๋องมู่อย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

คำกล่าวของจ้าวหลานหยู่มีเหตุผล ฮ่องเต้ประสงค์จะควบคุมพวกนั้นมาตั้งนานแล้ว

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าให้ผู้ใดไปจัดการจักเหมาะสมที่สุด?” ฮ่องเต้หรี่ดวงเนตรลง

“ลูกคิดว่าหากเป็นเชื้อพระวงศ์ออกหน้าจะเหมาะที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวเสร็จจ้าวหลานหยู่ก็เงยหน้าขึ้น “ลูกจำได้ว่าในวังหลังมีกงจู่น้อยนามว่าอวีหลัน มิสู้ให้นางไปอยู่ข้างกายอ๋องมู่…”

กงจู่น้อยที่จ้าวหลานหยู่กล่าวถึงเป็นกงจู่ที่กำเนิดจากนางกำนัล ดังนั้นจึงมีฐานะต่ำต้อยและทุกวันนี้ไม่มีแม้แต่ที่ให้ยืนเสียด้วยซ้ำ

สตรีเช่นนี้หากมีโอกาสได้ออกหน้าออกตาจักต้องทำอย่างเต็มความสามารถแน่นอน

“อืม…” ฮ่องเต้ทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

จ้าวหลานหยู่รู้ว่าฮ่องเต้เข้าพระทัยความหมายในสิ่งที่ตนกล่าวและรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ตนจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง !

หลังจากนิ่งเฉยมานานกว่าสองปี ในที่สุดก็มีโอกาสเข้ามา !

มู่จวินฮานเอ๋ย เจ้าเผยจุดอ่อนออกมาเสียเองแล้วจักมาโทษข้ามิได้ !

“เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน พรุ่งนี้ตอนประชุมราชสำนักข้าจักแต่งตั้งให้เจ้ามีอำนาจจัดการ ครั้งนี้อย่าทำให้พ่อผิดหวังอีก ! ” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่จ้าวหลานหยู่และมอบหมายให้เป็นคนจัดการ

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฟู่หวง ! ”

จ้าวหลานหยู่ตื่นเต้นจนออกนอกหน้า หากเป็นเช่นนี้ตนก็จะสามารถบีบมู่จวินฮานได้แล้ว เฮอะ ถึงเวลานั้น…

จ้าวหลานหยู่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังหลังเพื่อไปหาอวีหลันกงจู่ผู้นั้น

ทางด้านอวีหลันได้อาศัยอยู่ที่ตำหนักโกโรโกโสคล้ายตำหนักเย็น ด้านข้างมีกองฟืนที่ผ่าแล้วกองอยู่และถัดกันนั้นก็มีตะกร้าซักผ้าใบหนึ่งวางอยู่ด้วย

“เจ้าคืออวีหลันใช่หรือไม่ ? ” จ้าวหลานหยู่ที่มาถึงก็เอ่ยถามและอดมิได้ที่จะแสดงท่าทีรังเกียจออกมา หมู่เฟยของเขาแม้ตอนนี้มิได้มีตำแหน่งอันใดในวังหลังแต่อย่างน้อยก็มิได้อาศัยอยู่ในตำหนักเช่นนี้

ดังนั้นจ้าวหลานหยู่ที่แทบมิเคยเห็นตำหนักสภาพซอมซ่อจึงมิอยากเข้าไปใกล้เท่าไรนัก

“ถวายพระพรองค์ชายเจ็ดเพคะ” ตอนนี้จ้าวหลานหยู่ไร้ซึ่งตำแหน่งใดจึงมีเพียงฐานะตามสายโลหิตที่ยังเหลืออยู่

แต่เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึงเขาก็จะกลายเป็นผู้ตรวจการจวนอ๋องทั้งสี่ เวลานั้นตำแหน่งของเขาก็จะสูงกว่าจวนอ๋องทั้งปวง !

“อืม” จ้าวหลานหยู่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็ประเมินนางอย่างละเอียด อวีหลันผู้นี้ถือว่ามิเลวแต่น่าเสียดายที่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อจึงทำให้สภาพดูแย่ยิ่งกว่านางกำนัลเสียอีก

“ลุกขึ้นได้” จ้าวหลานหยู่กล่าวพร้อมประเมินนางอยู่ในใจ

อวีหลันยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง นางเป็นกงจู่ที่มิคู่ควรแม้แต่จะได้ใช้สกุลของราชวงศ์เสียด้วยซ้ำแล้วจะกล้าสบตากับจ้าวหลานหยู่ได้เยี่ยงไร

“ตามข้ามา” จ้าวหลานหยู่กล่าวจบก็เดินออกไปทันที ไม่แม้แต่จะหันมามองว่าอวีหลันที่อยู่ด้านหลังจะตามมาหรือไม่

อวีหลันมิรู้ว่าเขาต้องการให้ไปที่ใดจึงรีบเดินตามทันที จนกระทั่งมาถึงด้านหน้าตำหนักของหลี่กุ้ยเฟย นางจึงได้ชะงักฝีเท้า

“เหตุใดหรือ ? ” จ้าวหลานหยู่เอ่ยถามพร้อมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย

“นี่มิใช่สถานที่ซึ่งอวีหลันจักเข้าไปได้เพคะ”

เด็กคนนี้รู้กฎระเบียบเป็นอย่างดี ถือว่ามิเลวเลย

“ไปเถิด ข้าให้เจ้าเข้าไปก็ต้องเข้าไป!”

จ้าวหลานหยู่ตัดสินใจส่งอวีหลันให้หลี่กุ้ยเฟยสั่งสอนเพื่อจะได้ส่งไปอยู่ในจวนอ๋องมู่ได้อย่างสบายใจ

“ถวายพระพรหลี่กุ้ยเฟยเพคะ” อย่างไรอวีหลันก็เกิดในวังหลัง แม้มารดาจะสิ้นไปนานแล้วก็ยังรู้มารยาทเป็นอย่างดี

“ลูกแม่ นี่คือ…” ตอนนี้นิสัยของหลี่กุ้ยเฟยค่อนข้างสงบนิ่ง ดังนั้นจึงมิรู้ว่าเจ้าหลานหยู่จะทำสิ่งใดกันแน่

“รบกวนหมู่เฟยช่วยอบรมเรื่องมารยาทให้นางด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรนางก็เป็นทายาทของฟู่หวงคนหนึ่ง”

เมื่อได้ยินคำว่า ฟู่หวง ดวงตาของหลี่กุ้ยเฟยก็เปล่งประกายขึ้นมา ตอนนี้นางมิเป็นที่โปรดปรานอีกแล้ว แต่ภายในใจของนางก็ยังรักฮ่องเต้อยู่จึงย่อมปรารถนาให้หทัยของฮ่องเต้มีนางอยู่บ้าง ดังนั้นการได้ทำอันใดเพื่อฮ่องเต้จึงยินดียิ่งนัก

“อืม แม่เข้าใจแล้ว”

จากนั้นหลี่กุ้ยเฟยก็หันไปมองอวีหลัน “เจ้าชื่ออวีหลันใช่หรือไม่ ? ”

เพราะในวังหลังมีกงจู่น้อยมิกี่พระองค์ หลี่กุ้ยเฟยจึงจำได้ว่ามีคนหนึ่งชื่ออวีหลัน

“ทูลหลี่กุ้ยเฟย หม่อมฉันชื่ออวีหลันเพคะ” อวีหลันทูลตอบ หลี่กุ้ยเฟยจึงพยักหน้า

“ต่อไปก็ให้เจ้ามาติดตามข้าแล้วกัน”

“เพคะ”

จากนั้นอวีหลันก็หันไปมองจ้าวหลานหยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขามิกล่าวอันใดจึงรู้สึกกลัวน้อยลง

มิว่าอย่างไรการที่พวกเขายอมให้นางออกจากตำหนักโกโรโกโสนั้นก็แสดงให้เห็นว่านางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

“เจ้าออกไปกับข้าสักประเดี๋ยว” จ้าวหลานหยู่มองอวีหลัน ก่อนจะกวักมือเรียก

“เพคะ” อวีหลันตอบรับแล้วเดินตามเขาออกไป

ส่วนหลี่กุ้ยเฟยก็มิได้ถามว่าเรื่องอันใด เพราะตอนนี้นางหมดใจกับเรื่องทางโลกแล้ว สิ่งเดียวที่นางปรารถนาก็คือทำเช่นไรจะได้ความรักจากฮ่องเต้อีกครา

“มิว่าเช่นไรข้าก็ถือเป็นพี่ของเจ้า ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าหวงซงแล้วกัน”

“เพคะ หวงซง” อวีหลันรู้สึกแปลกใจอย่างมาก

“ตอนนี้ฟู่หวงจะให้เจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องมู่ เจ้ามีอันใดคัดค้านหรือไม่ ? ” จ้าวหลานหยู่เอ่ยถามเพื่อลองหยั่งเชิงเพราะเขาต้องการคนที่เต็มใจทำเรื่องนี้จริงๆ

“อ๋องมู่หรือเพคะ ? ” อวีหลันตกตะลึงเล็กน้อย ภายในวังหลวงมีหลายข่าวที่เกี่ยวกับอ๋องมู่ผู้นี้และได้ยินว่าอ๋องมู่เป็นบุรุษหล่อเหลา เฉลียวฉลาด ทว่ามีข้อเสียก็คือเขาโปรดปรานเพียงพระชายาเอกผู้เดียวเท่านั้น

“ได้ยินว่าอ๋องมู่โปรดปรานเพียงพระชายาเอกผู้เดียวเพคะ” อวีหลันก้มหน้าลง นางมีคุณสมบัติอันใดไปเทียบกับอันหลิงเกอกันเล่า

“ใช่ ข้าก็มิได้คิดว่าเจ้าจะได้รับความโปรดปราน”

“เพคะ ? ” อวีหลันมิเข้าใจ แต่จากการที่นางอยู่ในวังหลังแห่งนี้มาหลายปีก็พอจะเห็นความแค้นที่จ้าวหลานหยู่มีต่อมู่จวินฮานได้

“ฟู่หวงแค่ประสงค์ให้มีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เท่านั้น”

อวีหลันจึงเข้าใจได้ทันที

“อวีหลันจะทำอย่างเต็มที่เพคะ ! ” อวีหลันกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้น ตอนนั้นเองที่จ้าวหลานหยู่เพิ่งสังเกตว่าใบหน้าของสตรีคนนี้แฝงไว้ด้วยความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวมิน้อย

“ดี เรื่องอื่นข้าจัดการเอง เจ้าอยู่ที่นี่กับหลี่กุ้ยเฟยอย่างสบายใจเถิด”

“เพคะ หวงซง”

หลังจ้าวหลานหยู่จากไป มินานเวลาก็ได้ล่วงเลยจนถึงเช้าวันต่อมาที่พวกเขาต้องเข้าประชุมกันแล้ว

มู่จวินฮานรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป ขุนนางหลายคนที่รู้ข่าวก่อนแล้วก็คอยมองมาที่มู่จวินฮานตลอด

“วันนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งที่จะประกาศ”

มู่จวินฮานใจเต้นแรงขึ้นมา ความจริงเขารู้ดีว่าการที่ส่งหมู่เฟยกลับวังเช่นนี้จักทำฮ่องเต้ทรงระแวงเป็นแน่

“ข้าเตรียมจัดตั้งสำนักตรวจการเพื่อตรวจการจวนอ๋องทั้งสี่ มิทราบว่าอ๋องมู่มีความเห็นอื่นหรือไม่ ? ”

ฮ่องเต้ตั้งพระทัยโยนคำถามนี้ให้เขา นัยหนึ่งก็เพื่อให้เขาเป็นตัวอย่างแต่อีกนัยหนึ่งหากเขาปฏิเสธก็เกรงว่าคนแรกที่จะถูกประหารก็คงเป็นเขาเอง

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีความเห็นอื่นพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานจึงทำได้เพียงก้มหน้าลง

“แล้วท่านอ๋องน้อยลู่คิดเช่นไร ? ”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมก็ไม่มีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”