ตอนที่ 694 หลอกนาง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 694 หลอกนาง

“ในเมื่อกู่เหนียงไม่มีอันใดก็เชิญกลับไปเถิด หากยังอยู่ที่นี่กับข้าจะถูกนินทาเอาได้” คำพูดที่ห่างเหินของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอตกตะลึงไปพักใหญ่ นางเพิ่งตื่นขึ้นมาได้มินาน ยังไม่ได้จัดการความคิดให้เรียบร้อยยามนี้จึงทำได้เพียงถอยออกไป

เมื่ออันหลิงเกอออกมาจากห้องหนังสือก็เห็นปี้จูและชิงเฟิงกำลังรออยู่ก่อนแล้ว แววตาของอันหลิงเกอเรียบนิ่งและจมอยู่กับความคิด มู่จวินฮานมิอยากให้นางเข้าไปหาอีกแล้วหรือ ?

อันหลิงเกอหารู้ไม่ว่าหลังจากที่นางออกไปแล้ว ใบหน้าของมู่จวินฮานก็มีรอยยิ้มเอ็นดูปรากฏขึ้น

“เรียนท่านอ๋อง พระชายาออกไปข้างนอกแล้วขอรับ”

“อืม ข้ารู้แล้ว”

ที่เมื่อครู่เขาแกล้งนางเช่นนี้ก็เพราะอยากจัดการเรื่องหนึ่งให้เสร็จเสียก่อน

“จงส่งมู่เหล่าหวางเฟยกลับวังหลวง ! ” มู่จวินฮานออกคำสั่ง

เขาหวังว่าต่อไปอันหลิงเกอจะอยู่ในจวนอ๋องมู่อย่างสงบสุข ที่นี่จะไร้คนที่ทำให้นางต้องเจ็บปวดอีก…

ส่วนอันหลิงเกอเมื่อออกจากห้องหนังสือของมู่จวินฮานก็ได้ออกจากจวนแล้วมุ่งหน้าไปหอพิษกู่เพื่อเยี่ยมฟางหลิงซู่ เมื่อมาถึงประตูบานใหญ่ของหอพิษกู่แล้ว อันหลิงเกอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน

องครักษ์ของหอพิษกู่เมื่อเห็นอันหลิงเกอต่างก็ทราบถึงมิตรภาพระหว่างฟางหลิงซู่และนางดีจึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง อันหลิงเกอสามารถเดินไปทางห้องหนังสือของฟางหลิงซู่ได้ทันที

เป็นไปตามคาด ตอนนี้ฟางหลิงซู่กำลังนั่งใจลอยอยู่ในห้องหนังสือ อันหลิงเกอเคาะประตูอยู่หลายครั้งเขาก็ยังมิรู้ตัว นางจึงก้าวเข้าไปในห้องเสียเองจนนั่งลงตรงหน้าแล้ว เขาจึงได้สติ

“อันหลิงเกอ” ฟางหลิงซู่มองหน้านางด้วยแววตาที่แฝงความหมายบางอย่างซึ่งอันหลิงเกอก็อ่านมิออก แต่นางก็มิได้เก็บมาใส่ใจและคิดว่าจิตใจของฟางหลิงซู่ในยามนี้คงกำลังสับสนมิน้อย

“ฟางหลิงซู่ เรื่องก่อนหน้านี้…” อันหลิงเกออยากขอโทษ แม้นางมิได้เป็นคนทำแต่ก็เป็นเพราะนางทำให้เขาเกือบตาย แต่ฟางหลิงซู่ห้ามนางไว้เสียก่อน

“เรื่องนี้ข้ามิโทษเจ้าหรอก” ฟางหลิงซู่กล่าวออกมาและท่าทางที่แสดงออกมาดูห่างเหินต่ออันหลิงเกอจนนางรับรู้ได้ ทว่าตอนนี้นางมิสามารถกล่าวอันใดได้เพราะการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว

“ฟางหลิงซู่คือมู่จวินฮานมิได้ตั้งใจ เจ้าก็รู้ว่า…” อันหลิงเกอรีบอธิบายกับฟางหลิงซู่เพราะมิอยากให้เขาโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของมู่จวินฮาน

ทว่าสายตาที่ฟางหลิงซู่ส่งกลับมาคล้ายบอกว่าให้นางสบายใจได้ ใช่แล้ว บุรุษเช่นเขาจะแยกแยะถูกผิดมิออกได้อย่างไร

อันหลิงเกอส่ายหน้า คงเป็นนางที่คิดมากไปเอง

เขาเป็นคนอ่อนโยนมาโดยตลอด แม้เรื่องนี้จะทำให้เกือบสูญเสียชีวิต แต่เขาก็ยังเอาใจใส่และหวังดีต่อนางเช่นเดิม

“อันหลิงเกอ เจ้าเชื่อเรื่องของโชคชะตาหรือไม่ ? ” เสียงของฟางหลิงซู่เลื่อนลอยและว่างเปล่าอย่างมาก ถึงขนาดทำให้อันหลิงเกอสงสัยว่าฟังผิดหรือไม่ แต่ขณะที่นางเงยหน้าขึ้นมองฟางหลิงซู่ก็ได้กล่าวต่อ

“ช่วงนี้ข้ามักจะฝันแต่มิสามารถตื่นขึ้นมาได้ ทว่าเมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ตื่นขึ้นมาเช่นนี้”

“ฟางหลิงซู่ เจ้ารู้ว่าข้ากับจวินฮาน…” อันหลิงเกอมิได้เอ่ยต่อ นางรู้ว่าฟางหลิงซู่เข้าใจความหมายที่ตนต้องการจะสื่อดี ภายในใจของนางมีมู่จวินฮานอยู่แล้วจึงมิสามารถเปิดรับบุรุษอื่นได้อีกและไม่มีวาสนาต่อผู้ใดแล้ว

“ข้ารู้ ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง” เสียงของฟางหลิงซู่แฝงไว้ด้วยความจำยอมและขมขื่น ส่วนอันหลิงเกอก็มิรู้ว่าควรตอบเช่นไร ความรู้สึกที่นางมีต่อฟางหลิงซู่เป็นเพียงความรู้สึกผิดและตำหนิตนเองเท่านั้น ทว่ามิสามารถชดเชยให้เขาได้แม้แต่น้อย

สิ่งที่เขาต้องการแม้ว่าอันหลิงเกอจะมีแต่ก็ไม่สามารถให้เขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงแสร้งทำมิรับรู้ความรู้สึกที่เขามีต่อนาง…

หลังจากนั้นมินานอันหลิงเกอก็ขอตัวกลับ ส่วนฟางหลิงซู่ก็ไปจากต้าโจว

หลังจากที่ฟางหลิงซู่ออกไปได้มินาน มู่จวินฮานก็นำทหารมาที่หอพิษกู่ทันที แต่บัดนี้มิได้เหลือร่องรอยของฟางหลิงซู่เลย

“คุณชายออกไปท่องเที่ยวต่างเมืองและคงมิกลับมาเร็ว ๆ นี้ขอรับ” คำบอกเล่าขององครักษ์ที่เฝ้าหอพิษกู่ทำให้มู่จวินฮานถึงขั้นพูดมิออกจึงยอมถอยกลับแต่โดยดี

อันหลิงเกอยังมิรู้ว่าฟางหลิงซู่ไปจากต้าโจวแล้ว หลายวันมานี้นางเองก็มิได้ไปหาเขาอีกเพราะรู้ดีว่าความเหินห่างระหว่างทั้งสองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มิสามารถแก้ไขได้ในวันสองวัน

ตอนที่มู่จวินฮานกลับจวนอีกครั้ง ตลอดสามวันนับจากนั้นเขาและอันหลิงเกอต่างก็มิได้สนทนากันอีก

อันหลิงเกอคิดว่าเขาคงลืมนางไปแล้วจริง ๆ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่มู่จวินฮานกำลังทำอยู่ก็เพื่อต้องการปกป้องนาง

“พระชายาและท่านอ๋องมิคุยกันมาหลายวัน ท่านไม่ร้อนใจบ้างหรือเจ้าคะ ? ” ปี้จูที่นั่งจัดดอกไม้อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม

“ขอเพียงเขาสบายดีก็พอ” ตอนนี้อันหลิงเกอมิขออันใดมากอีก แค่มู่จวินฮานปลอดภัยก็สบายใจแล้ว

“เช่นนั้นหรือ ? ” ตอนนั้นเองเสียงของมู่จวินฮานก็ดังขึ้นที่หน้าประตู “ข้ามิรู้เลยว่าพระชายาจะเป็นคนใจกว้างถึงเพียงนี้”

อันหลิงเกอคิดว่ามู่จวินฮานยังความจำเสื่อมอยู่จึงรีบลุกขึ้นคำนับแต่ถูกเขาดึงเอาไว้

“เกอเอ๋อ เจ้าเกรงใจข้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ? ” เมื่อได้ยินคำพูดของมู่จวินฮานแล้วนางจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขามิได้ลืมนางหรอกหรือ !

“ท่านจำได้แล้วหรือเจ้าคะ ? ” ใบหน้าของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ข้าลืมเจ้าไปตั้งแต่เมื่อไรเล่า ? ” มู่จวินฮานเอ่ยหยอกเย้า

“ท่าน ! ” อันหลิงเกอจึงได้รู้ว่าถูกหลอกเข้าแล้ว ทว่ายังมิทันโกรธก็ถูกมู่จวินฮานกอดเอาไว้เสียก่อน

“มือและแขนของข้ายังเจ็บอยู่ ทางที่ดีเจ้าอย่าเพิ่งขัดขืนเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้นอันหลิงเกอจึงยอมอยู่นิ่งและปล่อยให้เขาอุ้มไปที่เรือนของมู่เหล่าหวางเฟย

อันหลิงเกอเห็นเช่นนั้นก็เริ่มต่อต้านเล็กน้อยแต่เมื่อมาถึงนางก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ

ข้าได้ตกแต่งที่นี่ใหม่ให้เป็นเรือนของบุตรทั้งสามคนของเราและสาวใช้ก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด

“มู่เหล่าหวางเฟยล่ะเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกออดรู้สึกแปลกใจมิได้

“กลับวังหลวงไปแล้ว”

มู่จวินฮานมิได้อธิบายรายละเอียด แต่อันหลิงเกอก็พอเดาออกว่านี่เป็นเรื่องที่เขาทำเพื่อปกป้องนาง

“จวินฮาน…” อันหลิงเกออยากถามว่าเหตุใดเขาถึงมิยอมบอกนางแต่ก็ถามมิออก ในเมื่อมู่จวินฮานทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางยังต้องถามอันใดอีกเล่า ?

“ไปดูลูกกันเถิด” มู่จวินฮานวางนางลงพร้อมส่งสัญญาณให้เข้าไปดู

แต่อันหลิงเกอเพิ่งเดินถึงหน้าประตูก็เห็นลูก ๆ กำลังนั่งเล่นอยู่บนเบาะโดยมีคนที่มู่จวินฮานจัดเอาไว้คอยดูแลอยู่ด้านข้าง

นางยังมิทันเดินเข้าไป ขอบตาก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียแล้ว

“เป็นอันใดไปหรือ ? ”

“ไม่มีอันใด ที่นี่เป็นของลูก แต่ว่าท่านเป็นคนของเรือนฝูหลิง ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะ ? ” เมื่อกล่าวจบอันหลิงเกอก็ยกแขนขึ้นคล้องลำคอของเขาไว้

ที่ผ่านมามีน้อยครั้งนักที่อันหลิงเกอจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน มู่จวินฮานอดรู้สึกแปลกใจมิได้

“เด็กน้อย เจ้ากำลัง…”

“เล่นกับไฟ” อันหลิงเกอพูดต่อประโยคที่ค้างไว้เอง

จากนั้นมู่จวินฮานก็อุ้มนางขึ้นมาอีกและครั้งนี้เขาเดินเร็วกว่าเมื่อครู่มากนัก

ขนาดที่ปี้จูซึ่งยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกเหมือนลมพัดผ่าน ก่อนจะเห็นว่าทั้งสองคนเข้าไปในเรือนและปิดประตูอย่างแน่นหนา

ปี้จูมองอย่างตกตะลึงและขณะที่กำลังจะเดินตามไปนั้นก็ถูกชิงเฟิงขวางไว้เสียก่อน

“ท่านอ๋องและพระชายากำลังทำเรื่องสำคัญ เจ้าจะทำอันใด ? ”

ปี้จูได้ยินก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีแล้วรีบถอยออกไปอย่างรู้งาน