ตอนที่ 45-2 กับดัก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“เจ้าเป็นคนทำมิใช่หรือ” เงาดำนั้นโน้มน้าวนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

 

“สารภาพเสีย”

 

 

“แต่ แต่ว่า…”

 

 

“คิดถึงครอบครัวของเจ้าเสียบ้าง”

 

 

“พวกท่านจะเลี้ยงดูครอบครัวของเจ้าเป็นอย่างดีแน่ แน่นอนว่าเจ้าต้องสารภาพตามที่พวกเขาต้องการเท่านั้น”

 

 

“ไม่เช่นนั้นแล้ว…?”

 

 

“หากเจ้าไม่ทำตาม ครอบครัวของเจ้าจะตามเจ้าไปในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก”

 

 

เงาดำนั้นหายไปทันทีโดยที่ไม่รอให้โฮซานาได้คิดทบทวนมากนัก

 

 

***

 

 

การไต่สวนคดีต้องเปิดการสอบสวนใหม่อย่างกะทันหัน เหตุเพราะโฮซานาที่ถึงแม้จะโดนทรมานอย่างโหดร้ายเพียงใดก็ไม่ยอมเปิดปากพูด อยู่ๆ ก็แจ้งว่าตนจะให้การสารภาพ ที่กลางลานกว้างมีเก้าอี้ตัวใหญ่และแข็งกระด้างสำหรับการสอบสวนวางอยู่สองตัว ตัวหนึ่งนั้นสะอาดสะอ้าน ทว่าอีกตัวหนึ่งนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด สภาพดูไม่ได้ เนื่องจากผ่านการรับมือกับอุปกรณ์ทรมานมากมาย แน่นอนว่าตัวแรกนั้นคือเก้าอี้ที่รูแฮถูกมัดอยู่ ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นคือเก้าอี้ของโฮซานาที่ถูกมัดไว้เช่นเดียวกัน

 

 

“นางกำนัล โฮซานา” บีพาอันเอ่ยเรียกโฮซานาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ดวงตาดำสนิทของนางมองขึ้นไปด้านบนช้าๆ “เหตุใดอยู่ๆ เจ้าถึงได้บอกว่าจะรับสารภาพ”

 

 

“หม่อมฉันต้องการพบเขาเพคะ”

 

 

“พบผู้ใดหรือ”

 

 

โฮซานาเอียงหน้าไปด้านข้าง “…ฝ่าบาทเพคะ”

 

 

และด้านที่นางเอียงหน้าไปหานั้นมีรูแฮนั่งอยู่ เสนาบดีทั้งหลายต่างมองไปทีรูแฮด้วยความตกใจ รูแฮเองก็ตกใจจนแทบปลดเชือกที่มัดตนไว้แล้วลุกยืนขึ้น

 

 

“หม่อมฉันคิดถึง…ฝ่าบาทเซจา บินซองเพคะ” ทว่าชื่อที่นางเอ่ยนั้นกลับเป็นคนอื่น นางไม่ได้เอ่ยชื่อรูแฮแต่เป็นบินซอง คิ้วข้างหนึ่งของบีพาอันกระดกขึ้น เขาถามย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร

 

 

“เจ้าคิดถึงองค์เซจา บินซองจึงตัดสินใจจะสารภาพอย่างนั้นหรือ”

 

 

โฮซานาพยักหน้าแทนคำตอบ บังอาจพยักหน้าตอบคำถามของฮวางแทจาเช่นนั้นหรือ ช่างเป็นการเสียมารยาทนัก ทว่าบีพาอันก็ไม่ได้มีท่าทีอันใด ยังคงเอ่ยถามต่อไป

 

 

“เช่นนั้นเงื่อนไขของการสารภาพคือการเรียกองค์เซจามาใช่หรือไม่”

 

 

ครั้งนี้โฮซานาส่ายหน้าปฏิเสธ

 

 

“หม่อมฉันไม่อยากถูกพระองค์ท่านเกลียดเพคะ”

 

 

โฮซานาคือคนที่มุ่งร้ายต่อฮเยจินและลูกของนางที่ซึ่งเป็นคนที่บินซองรักใคร่ยิ่งกว่าสิ่งใด ในระหว่างการไต่สวนคดีบีพาอันเองก็ได้แอบกันไม่ให้บินซองได้พบกับโฮซานาด้วย เหตุเพราะหากให้ชายเลือดร้อนเช่นบินซองได้พบนางแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้เลยว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

 

“เจ้ามิได้ตั้งใจจะสารภาพเพื่อต้องการพบกับเซจาอย่างนั้นหรือ”

 

 

“หม่อมฉันคิดถึงเขาเพคะ”

 

 

สถานการณ์ดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นนัก โฮซานาที่บอกว่าจะสารภาพในตอนนี้กลับเอาแต่พูดจาวกไปวนมา ดังนั้นบีพาอันจึงถามออกไปตรงๆ อีกครั้ง

 

 

“จงบอกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฮวางเซจามาเสีย”

 

 

“ฝ่าบาทฮวางเซจานั้น…”

 

 

เห็นทีว่าที่นางบอกว่าจะสารภาพนั้นจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทันทีที่ได้ฟังคำถามนางจึงตอบกลับไปทันที ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างจ้องมองไปที่โฮซานา เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยนามของฮวางเซจาออกมาจากปากด้วยตนเอง หลังจากนั้นนางก็เอ่ยประโยคถัดไปด้วยริมฝีปากที่บวมแตก

 

 

“ไม่ได้ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องใดเพคะ”

 

 

บรรยากาศเคร่งเครียดที่แผ่กระจายไปทั่วศาลหลวงพลันหายไปในทันที

 

 

“ข้าน้อยทำเองเพียงคนเดียวเพคะ”

 

 

“ข้ารับใช้ต่ำต้อยเช่นเจ้าจะสามารถทำเรื่องที่เหิมเกริม ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนั้นเพียงคนเดียวได้อย่างไร ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด”

 

 

สายตาเหม่อลอยของโฮซานาผลุบลงมองพื้น หลังจากนั้นนางก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง  “เป็นเพราะหม่อมฉันมีใจปรารถนาต่อฝ่าบาทเซจา หม่อมฉันจึงอยากเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรของพระองค์ท่านเพคะ”

 

 

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละพยางค์นั้นชัดเจนและเรียบนิ่ง ราวกับว่านางกำลังบอกเล่าสภาพอากาศของเมื่อวาน และเอ่ยถึงสิ่งที่ตนต้องทำในวันนี้ ทว่ามันส่งผลกระทบมากนัก เหล่าเสนาบดีเริ่มกระซิบกระซาบกันด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเอนเอียง บ้างก็เดาะลิ้นมองไปที่โฮซานาด้วยสายตาเหยียดหยาม คำสารภาพจากปากย่อมแม่นยำกว่าหลักฐานจากสถานการณ์ เพราะคำสารภาพอย่างกะทันหันนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้การไต่สวนคดีจบลงโดยง่าย

 

 

ทว่าบีพาอันหาได้เชื่อคำสารภาพที่เป็นหลักฐานเดียวโดยง่าย เขาใช้คำสารภาพนั้นเป็นหลักฐานหลัก และดำเนินการสืบสวนต่อเพื่อแก้ไขข้อสงสัยให้สมบูรณ์ปราศจากมลทิน เหล่าทหารองครักษ์เข้าตรวจค้นทั้งที่เรือนของโฮซานา ตำหนักบุกบี และวังเหนืออย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ในตอนที่เข้าตรวจค้นตำหนักนัมชอนนั้น ขันที จางที่ซื่อสัตย์ต่อรูแฮยิ่งกว่าผู้ใดร้องไห้คร่ำครวญเดินตามหลังเหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังทำการตรวจค้น

 

 

“พบถุงเครื่องหอมที่เรือนของโฮซานาพ่ะย่ะค่ะ” ทหารองครักษ์น้อมตัวลงพร้อมกับยื่นถุงเครื่องหอมให้แก่บีพาอัน เป็นถุงเครื่องหอมที่รูแฮบอกว่าตนเป็นคนเก็บให้นาง ทว่ากลับไม่พบหลักฐานวัตถุชิ้นใดที่จะสามารถเชื่อมโยงกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นจากตำหนักนัมชอนเลย

 

 

“หม่อมฉัน…คิดถึงเขาเพคะ”

 

 

หลังจากที่โฮซานารับสารภาพนางก็เอาแต่พึมพำคำนี้ สายตาของนางเหม่อมองออกไปที่ท้องฟ้า ราวกับว่านางกำลังคิดถึงที่ใดที่หนึ่งที่ไกลออกไปจากพระราชวังที่เข้มงวดแห่งนี้

 

 

“ปล่อยตัว…ฮวางเซจา” บีพาอันใช้เวลาไม่นานในการออกคำสั่งให้ปล่อยตัวรูแฮ ช่วงเวลาตั้งแต่ที่รูแฮถูกมัด ถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด ไปจนถึงตอนที่เขาถูกปล่อยตัว นับเป็นช่วงเวลาที่อึกอัดจนแทบหายใจไม่ออก

 

 

“กระหม่อมบอกไว้ว่าอย่างไรขอรับ ในครั้งนี้เองกระหม่อมก็ทำได้อีกแล้ว”

 

 

ถึงแม้ว่ารูแฮจะไม่ได้เป็นคนพิสูจน์มันด้วยตนเอง ทว่าเขาไม่ได้เร่งรีบหรือวู่วามแต่อย่างใด เพียงยอมรับการสอบสวนแต่โดยดี ไม่มีการปฏิเสธต่อสิ่งใด เขาเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น

 

 

เขาเชื่อในอานุภาพของความจริง

 

 

รูแฮที่เชื่อว่าตนถูกปล่อยตัวออกมาอย่างสง่าผ่าเผยและเป็นธรรมยิ้มกว้าง ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดาย รูแฮผู้ใส่ซื่อจนเกือบโง่เขลาไม่อาจรับรู้ได้ว่ากำลังมีเงาหนึ่งที่หัวเราะเย้ยหยันตนอยู่

 

 

ถึงแม้ว่ารูแฮจะไม่ได้ถูกทรมาน ทว่าสภาพของเขาตลอดเวลาที่ถูกคุมขังอยู่นั้นไม่ดีนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ตรงไปที่วังตะวันตกเพื่อรักษาตัวแต่อย่างใด ทันทีที่รูแฮเดินออกมาจากกรมราชองครักษ์ เขารีบเร่งมุ่งหน้าไปอีกเส้นทางหนึ่ง

 

 

ในตอนนี้ข้าต้องการพบเจ้า

 

 

เขาต้องการเจอกโยซึลมากกว่าผู้ใด ภาพรูแฮที่กำลังมุ่งหน้าไปหาคนรักของตนด้วยใจโลดแล่นนั้นมีดวงตาเปล่งประกายคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่อย่างลับๆ