ตอนที่ 46-1 ชุดอภิเษก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

หลังจากที่กโยซึลได้ฟังข่าวจากศาลหลวง นางก็รีบตรงไปยังวังฝ่ายนอกทันที นางรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องรักษาท่าทีของการเป็นพระชายาฮวางแทจาไว้ ทำให้นางไม่สามารถวิ่งอย่างที่ใจหวังได้ กโยซึลตั้งใจที่จะพยายามรักษาในสิ่งที่ตนสามารถทำได้ 

 

 

‘อย่าขวางทางเรา’ 

 

 

และอาจเป็นเพราะน้ำเสียงนั้นที่ตราตรึงดั่งมนตราด้วยเช่นกัน ในเมื่อตนไม่อาจรักเขาได้ จึงตั้งใจจะทำตามคำขอเพียงหนึ่งเดียวของเขา เพราะในตอนนี้ตนกำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างร้ายแรง  

 

 

“กโยซึล!”  

 

 

ทันทีที่กโยซึลได้ยินเสียงที่ตนรอคอย ความคิดที่แสนหนักอึ้งก็พลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

“รูแฮ” 

 

 

กโยซึลที่เดินวนไปวนมาอยู่ที่เนินกลางสวนหลังวังฝ่ายนอกอย่างกระวนกระวายใจ หันไปตามเสียงเรียกนั้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง คนผู้นั้นที่ตนคะนึงหากำลังเดินเข้ามาใกล้จากด้านล่าง นางรีบเร่งตรงเข้าไปหาเขาผู้นั้นทันที ลมเย็นปะทะรอบใบหู ชายกระโปรงพัวพันอยู่ระหว่างช่วงขาที่ก้าวยาว รู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่านทำให้สดชื่นยิ่งนัก และแล้วทั้งกโยซึลและรูแฮก็ได้เผชิญหน้ากัน ในตอนนี้ระหว่างทั้งคู่ไม่มีกรงขังไม้ หรือหัวโขนจอมปลอมอย่างตำแหน่งพระชายาฮวางแทจาและฮวางเซจาขวางกั้นอีกต่อไป 

 

 

“ข้าคิดถึงท่าน” 

 

 

“เราเองก็เหมือนกัน” 

 

 

“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าในครั้งนี้เองข้าก็จะพิสูจน์ให้ได้เห็น แล้วในท้ายที่สุดข้าก็ได้มายืนอยู่หน้าท่านอีกครั้ง” 

 

 

“ท่านช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก” 

 

 

รูแฮกระชับอ้อมแขนที่กอดรอบเอวของกโยซึลให้แน่นขึ้น กโยซึลเองก็กระชับอ้อมแขนที่โอบรอบคอของรูแฮอยู่ให้แน่นขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งคู่รู้สึกมีความสุขที่ได้พบกันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับซึ่งกันและกัน ราวกับว่าพวกเขาเป็นคู่รักที่รักกันมาเป็นสิบๆ ปี ราวกับว่าพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้งในรอบหลายสิบปี ที่ที่เดียวที่สามารถทำให้กโยซึลลืมหน้าที่อันโหดร้ายอย่างการเป็นพระชายาฮวางแทจาได้มีเพียงสวนหลังวังฝ่ายนอกเท่านั้น ที่ที่เงียบสงบไร้คนคอยเรียกหา ไร้ผู้คนคอยจับตามอง ที่แห่งนี้เป็นที่เดียวที่ตนสามารถพบกับคนรักอย่างลับๆ ได้อย่างอิสระ ลืมทั้งกฎระเบียบ ลืมทั้งวินัย เพียงทำตามที่หัวใจเรียกร้องเพียงเท่านั้น 

 

 

*** 

 

 

ช่วงนี้กโยซึลออกไปนอกตำหนักอยู่บ่อยครั้ง วันทั้งวันส่วนใหญ่นางมักจะใช้เวลาอยู่ที่สวนหลังวังฝ่ายนอก เมื่อใดที่นางไปที่สวนหลังวังฝ่ายนอก นางมักจะไม่ให้ผู้ใดตามไปด้วยแม้กระทั้งแม่นม แม่นมนั้นถึงแม้จะรู้เหตุผลว่าเหตุใดกโยซึลถึงไปที่สวนหลังวังฝ่ายนอกแต่นางก็ไม่เคยเอ่ยปากออกมา ทว่านางก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความกังวลที่ก่อเกิดอยู่ในจิตใจได้ 

 

 

สีหน้าของกโยซึลที่กลับมาจากสวนหลังวังฝ่ายนอกแจ่มใสมาก นางไม่หลบซ่อนความยินดีเลยสักนิด เมื่อเข้ามาในห้องบรรทมแล้ว นางยังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย  

 

 

“พระชายาเพคะ” 

 

 

“หืม?” 

 

 

“ทรงไม่เขียนจดหมายถึงฝ่าพระบาทแล้วหรือเพคะ” 

 

 

กโยซึลที่เอ่ยตอบรับแม่นมในขณะที่กำลังฮัมเพลงอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำถามก็หยุดการเคลื่อนไหวที่พริ้วไหวไปตามสายลมลง 

 

 

“นั่นสินะ” กโยซึลนั่งลงบนเบาะรองนั่งด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใบหน้าของนางแจ่มใส สีหน้ายังตงโอนโยน ทว่าไร้ซึ่งความยินดีที่ปรากฏอยู่ก่อนหน้า ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะมีความเศร้าใจแฝงอยู่ 

 

 

“เราไม่ได้เขียนจดหมายมาหลายวันแล้วสินะ” 

 

 

ลืมไปเสียสนิทเลย ตั้งแต่วันที่ตนไปหารูแฮที่คุกขุมขัง ตั้งแต่วันที่ตนและรูแฮต่างแสดงความโศกเศร้าเสียใจด้วยที่คิดถึงซึ่งกันและกันอยู่ระหว่างกรงขังไม้จนถึงรุ่งสาง กโยซึลก็ไม่ได้เขียนจดหมายที่ตนเคยเขียนถึงบีพาอันทุกวันอีกเลย ที่จริงนางไม่ได้คิดถึงมันเสียด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่คิดถึงรูแฮ นางจึงหลงลืมแม้แต่มารยาทที่ควรจะปฏิบัติต่อบีพาอัน 

 

 

มารยาท 

 

 

จดหมายนั้นหาใช่จดหมายรักแต่อย่างใด เพียงทำเป็นมารยาทเท่านั้น เป็นมารยาทที่ปฏิบัติต่อ 

 

 

ฮวางแทจาในฐานะที่ตนเป็นชายา และยังเป็นหน้าที่ที่ย้ำเตือนถึงสถานะของตนอีกด้วย  

 

 

“เพราะในตอนนี้…เราไม่จำเป็นต้องทำมันอีกแล้ว” 

 

 

เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอีกต่อไปตั้งแต่ที่กโยซึลยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อรูแฮ กโยซึลลุกจากเบาะรองนั่ง นางเดินผ่านแม่นมไปอย่างเงียบๆ แม่นมมองตามนางไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล  

 

 

“พระชายา…” 

 

 

“แม่นมรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“…” แม่นมไม่ได้ตอบออกไป นางไม่อยากเข้าใจคำถามของกโยซึลเลยสักนิด ที่พระราชวังที่เข้มงวดแห่งนี้นั้น… 

 

 

“ว่าเราไม่ได้รักฝ่า…” 

 

 

“พระชายา!” แม่นมทรุดตัวลงพร้อมก้มหัว ไหล่ผอมบางของหญิงวัยชราสั่นสะท้านอย่างน่าเวทนา “ได้โปรดเพคะ พระชายา บ่าวกลัวเหลือเกินเพคะ พระชายา พระชายาของหม่อมฉัน” 

 

 

“คุณแม่” มือเล็กของกโยซึลแตะไปที่ไหล่ของแม่นม นางสัมผัสได้ถึงความสั่นสะท้านจากแม่นมและรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวนั้น ทว่ากโยซึลหาได้หยุดอยู่แค่นั้นไม่ “ตอนนี้เรามีความสุขมาก” 

 

 

“พระชายา…” 

 

 

“คุณแม่บอกอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่าอยากให้เรามีความสุข เป็นคุณแม่เองไม่ใช่หรือที่คอยพร่ำบอกเราว่าขอเพียงแค่คุณหนูตัวน้อยมีความสุข คุณแม่ก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว” กโยซึลจับไหล่ทั้งสองข้างของแม่นม 

 

 

“ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการห้ำหั่นกันภายในพระราชวังแห่งนี้ ในที่สุดเราก็มีความสุขแล้ว เราคิดว่าเราสามารถมีความสุขได้แล้ว” 

 

 

“บ่าว…” ริมฝีปากที่มีรอยเ**่ยวย่นสั่นระริก แต่ไม่ใช่แค่เพราะว่านางหาคำพูดไม่เจอ 

 

 

“มันจะต้องไม่เป็นอะไร หัวใจของเรา…บอกว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว” 

 

 

“หม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะมีความสุขเพคะ” 

 

 

กโยซึลกอดแม่นมแน่น จากที่แม่นมคอยโอบกอดนางมาตลอด ในตอนนี้นางเป็นผู้ที่ให้อ้อมกอดนั้นแก่แม่นมเอง  

 

 

ไม่เป็นไร มันจะต้องไม่เป็นอะไร หากมีเขาอยู่ กโยซึลก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใด 

 

 

กโยซึลก้าวเข้าไปยังด้านในของห้องบรรทม ที่ผนังมีชุดสีแดงตัวหนึ่งแขวนอยู่ เป็นชุดที่นางไม่ได้ให้ความสนใจมาสักพักหนึ่งแล้ว ทันทีที่เห็นชุดนั้น ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความกล้าหาญของกโยซึลพลันจางหายไปเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง กโยซึลเดินเข้าไปใกล้มัน 

 

 

ชุดผ้าแพรสีแดง 

 

 

ที่ชายเสื้อปักลายดอกไม้ห้าสีและผีเสื้อหลากสี หนึ่งในนั้นเป็นผีเสื้อสีครามที่ดึงดูดสายตากโยซึลไว้ ปลายนิ้วที่ลูบชายผ้าแพรผืนนุ่มอยู่เลื่อนไปลูบคลำที่ปีกของผีเสื้อ