ตอนที่ 46-2 ชุดอภิเษก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

หากลูบไปตามทางยาวของรอยปักก็จะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล ทว่าหากลูบย้อนขึ้นก็สัมผัสได้ถึงความหยาบกระด้างไม่ราบเรียบ 

 

 

“แม่นม” 

 

 

“เพคะ พระชายา” แม่นมที่ยืนอยู่ข้าผนังห้องตอบรับคำเอ่ยเรียกแผ่วเบาของกโยซึล กโยซึลยังคงยืนลูบชุดนั้นโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองแม่นม  

 

 

“เรา…ไปหาฝ่าพระบาทฮวางแทจาได้หรือไม่ เรามีสิ่งที่ต้องถวายแก่พระองค์ แต่พระองค์คงจะไม่เสด็จมาที่นี่เป็นแน่ เพราะเขาเป็นคนบอกไว้ว่าอย่างนั้น” 

 

 

“พระชายาทรงเป็นพระชายาเอกของฝ่าพระบาทฮวางแทจามิใช่หรือเพคะ” 

 

 

ไปได้ใช่หรือไม่ สามารถไปหาเขาได้ใช่หรือไม่ ตนที่มีใจไม่รักดีเช่นนี้สามารถไปหาเขาได้ใช่หรือไม่ 

 

 

กโยซึลยื่นมือออกไปลูบที่ปกเสื้อไล้ลงมายังชายเสื้ออย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ชุดนี้เป็นสิ่งที่ตนเคยเอาไว้เป็นตัวแทนของเขาในวันที่ตนรู้สึกหนาวเหน็บ ถึงแม้มันจะไม่ได้สำคัญสำหรับเขา ทว่าสำหรับกโยซึลที่ต้องข้ามผ่านคืนที่หนาวเหน็บเพียงผู้เดียวนั้น มันสำคัญเป็นยิ่งนัก ทว่าในตอนนี้กโยซึลเองก็ไม่ต้องการมันอีกแล้วเช่นกัน เพราะนางได้เจอกับผู้ที่จะสามารถทำให้นางอบอุ่นได้แล้ว  

 

 

กโยซึลที่ยืนลูบชุดนั้นอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ นางค่อยๆ หยิบชุดนั้นลงมาอย่างระมัดระวัง ผนังที่ถูกแสงแดดสาดส่องมาตลอดในตอนนี้มีร่องรอยของชุดที่เคยแขวนอยู่ ต่อจากนี้ไปมันจะได้รับแสงแดดโดยที่ไม่มีชุดนี้อีกต่อไปแล้ว และร่องรอยนี้ก็จะค่อยๆ หายไปเช่นเดียวกัน 

 

 

“เราต้องนำของที่ฝ่าพระบาททิ้งเอาไว้ไปคืนพระองค์” 

 

 

ไม่แน่ว่าชุดที่เขาทิ้งเอาไว้อาจจะเป็นความกรุณาเสี้ยวหนึ่งที่เขามีให้ต่อภรรยาที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็เป็นได้ เป็นคำขอโทษต่อภรรยาที่เขาจะไม่มาหานางอีก เพราะฉะนั้นจึงให้นำชุดนี้เป็นตัวแทนของเขา ให้ใช้โอบกอดยามค่ำคืน ทว่าในตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ทั้งความกรุณาที่ไร้ความใส่ใจ ทั้งคำขอโทษ สำหรับกโยซึลแล้วมันเป็นเพียงความตื้นเขินที่นางไม่ต้องการ เพราะนางไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์ต่อหัวใจที่ตื้นเขินนั้นอีกต่อไป 

 

 

*** 

 

 

กโยซึลมุ่งหน้าไปที่ตำหนักดงชอนกับแม่นมเพียงสองคน นางนึกถึงบีพาอันใน ‘คืนนั้น’ ขึ้นมาแวบหนึ่ง ความหวาดกลัว ความหวาดกลัวที่กโยซึลเพิ่งจะเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาผู้นั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนน่ากลัว  

 

 

คนน่าสงสาร  

 

 

คนโดดเดี่ยวที่ตนทำได้เพียงมอบความรู้สึกเล็กๆ นี้ให้เท่านั้น ความรู้สึกหวาดกลัวที่กโยซึลมีต่อบีพาอันจางหายไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้กโยซึลรู้สึกว่าตำหนักดงชอนกว้างขวางกว่าทุกวัน ถึงแม้ว่าตนจะเดินผ่านประตูตำหนักมาสักพักแล้ว ทว่าก็ยังเดินไปไม่ถึงห้องบรรทมเสียที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนนั้นเดินช้าไป หรือเป็นเพราะหัวใจที่หนักอึ้งกันแน่ หลังจากที่กโยซึลมาถึงตำหนักดงชอน กโยซันพลันรู้สึกประหม่าและก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างยากลำบาก  

 

 

ชุดผ้าแพรนั้นหนักเท่ากับความนุ่มของมัน ดังนั้นกโยซึลจึงเดินถือชุดตัวใหญ่นี้มาอย่างยากลำบาก หลังเสียงเปิดปิดประตูตำหนัก เหล่าขันทีที่ยืนประจำอยู่ก็โค้งตัวคำนับ หากเป็นตำหนักของเหล่าชายาจะมีซังกุงยืนประจำอยู่ที่ประตูหน้าและประตูบานสุดท้าย และระหว่างนั้นจะมีนางกำนัลยืนประจำอยู่ ทว่าตำหนักประจำสี่ทิศหรือตำหนักของฮวางแทจา แทจา ฮวางเซจา และเซจานั้นที่ประตูหน้าและประตูบานสุดท้ายจะมีขันทียืนประจำอยู่ และระหว่างนั้นจะมีเหล่าซังกุงยืนประจำ 

 

 

มีขันทียืนประจำอยู่เช่นนี้เห็นทีว่าด้านหลังประตูบานนี้จะเป็นห้องบรรทมแล้ว ทว่าขันทีกลับไม่เปิดประตูให้ เมื่อเห็นกโยซึลยืนมองอยู่ด้วยความสงสัย ขันทีก็ยิ่งก้มตัวลง 

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงมิได้ประทับอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ทรงประทับอยู่ที่ห้องหนังสือ กระหม่อมจะนำทางให้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ขันทีทั้งสองพูดต่อกันแล้วเดินนำไปตามทางเดินทอดยาวด้านข้าง กโยซึลที่เดินตามหลังไปก้าวเข้าไปในประตูบานที่สามที่ขันทีเปิดให้  

 

 

มันเป็นห้องที่กว้างขวางเท่ากับห้องนอนของกโยซึล ภายในห้องมีชั้นวางหนังสือเรียงรายอยู่ราวกับว่าห้องนี้คือหอสมุด และบีพาอันกำลังยินพิงโต๊ะเขียนหนังสือที่มองเห็นได้จากช่องว่างระหว่างชั้นวางหนังสือเหล่านี้ บีพาอันที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือและกำลังเลื่อนเปิดตู้หนังสือเหลือบสายตามองขึ้นทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองหนังสือที่ถืออยู่ในมือ บีพาอันเหลือบตามองกโยซึลผ่านขนตาเรียวยาวของตน แววตาของเขาดุคม แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่กโยซึลก็รู้สึกราวกับว่าตนได้ทำสิ่งใดผิดไป กโยซึลถอนลมหายใจที่ติดขัดออกมาอย่างยากลำบาก  

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ” 

 

 

กโยซึลย่อเข่าลงเล็กน้อยแล้วกล่าวทำความเคารพบีพาอัน บีพาอันค่อยๆ ปิดหนังสือแล้ววางมันลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ เขากอดอกแล้วเงยหน้าขึ้นและยังคงยืนพิงโต๊ะเขียนหนังสืออยู่ 

 

 

“ไม่คิดเลยว่าชายาจะมาหาเรา” 

 

 

บีพาอันยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่สิ หากลองมองไปที่ดวงตาสีครามนั้นอย่างละเอียดจะสามารถอ่านความรู้สึกของเขาได้อยู่เล็กน้อย มันเป็นที่เดียวที่บีพาอันแสดงความรู้สึกของตนออกมา และเป็นที่ที่กโยซึลไม่กล้าจดจ้องเช่นเดียวกัน บีพาอันที่จ้องมองกโยซึลอยู่ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เลื่อนไปมองที่ชุดสีแดงที่นางถืออยู่ 

 

 

“สิ่งนั้นคืออันใดกัน” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินคำถาม กโยซึลจึงนึกขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเขานางมักจะหลงลืมสิ่งที่ตนตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก กโยซึลห่อไหล่ลงอีกทั้งด้วยสีหน้าอกสั่นขวัญหาย  

 

 

ต้องบอกเขา ต้องบอกเขาไป จะผลัดอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่สามารถถอยกลับไปได้แล้ว 

 

 

กโยซึลย้ำอยู่ในใจอยู่หลายครั้งจนในที่สุดนางก็ก้าวเข้าไปหาบีพาอันอย่างระมัดระวัง ทันทีที่ไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา นางก็ยื่นชุดสีแดงที่ตนถือไว้ให้เขาทันที บีพาอันกวาดตามองสำรวจไปที่ชุดที่กโยซึลยื่นมาให้ตรงหน้าอย่างเร็วๆ พร้อมกับยังคงกอดอกอยู่ ผ้าแพรสีแดงผืนหนาดูมีราคาที่ปักลายดอกไม้และผีเสื้อหลากสีอย่างบรรจงเป็นชุดที่ตนคุ้นเคย เขาจำวันที่ตนสวมชุดนี้ได้อย่างแม่นยำ  

 

 

ชุดอภิเษกสมรส 

 

 

“ชุดที่ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงลืมไว้ที่ห้องหม่อมฉันในคืนวันส่งตัวเพคะ” 

 

 

“เหตุใดจึงนำมาคืนเราในตอนนี้” 

 

 

“…” คำถามที่กโยซึลไม่ต้องการได้ยินมากที่สุดถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก