ตอนที่ 532 จูบแรก / ตอนที่ 533 ขจัดพิษ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 532 จูบแรก 

 

 

สวี่อี้ได้ยินคำพูดเซียงฉือแล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า 

 

 

“พระองค์ทรงดีงาม ข้าชอบพระองค์แต่พระองค์ไม่ชอบข้า พระองค์ทรงละอายพระทัย เหมือนกับเจ้านั่นแหละ คนที่มีความสุขคือข้า ที่สามารถมองเห็นความสุขของคนที่ตนเองชื่นชอบ” 

 

 

เซียงฉือแนบหน้ากับแผ่นหลังสวี่อี้ สวี่อี้พูดจบน้ำตาก็หลั่ง บางทีที่สวี่อี้พูดนั้นอาจจะใช่ 

 

 

เซียงฉือบอกตนเองเช่นนั้น 

 

 

สวี่อี้ลุกขึ้นมองไปยังฟ้าสลัวมัวเบื้องนอกแล้วพูดว่า 

 

 

“ข้าควรกลับแล้ว ยามฟ้าสางในตำหนักเจิ้งหยางคงจะยุ่งมาก ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วข้าก็อยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้น จะได้เปลี่ยนสภาพจิตใจให้ดีสักหน่อย” 

 

 

“เซียงฉือ กำไลข้อมือวงหนึ่งไม่ควรผูกมัดจิตใจเจ้าไว้ การได้อยู่ข้างกายคนที่ตนเองชอบต่างหาก จึงจะเป็นความสุขนะ” 

 

 

สวี่อี้ลุกขึ้นจากไป เซียงฉือนอนไม่หลับอีก นางได้ยินเสียงดังขึ้นที่ตำหนักฉินเจิ้ง ด้วยความร้อนรนจึงวิ่งเท้าเปล่าออกไป 

 

 

พอผลักประตูตำหนักเข้าไปก็เห็นหรงจิงปัดแท่นฝนหมึกลงพื้น พู่กันรายงานกระจายเต็มพื้น 

 

 

เซียงฉือยืนอยู่กลางตำหนักฉินเจิ้ง นางสวมชุดนอนขาวนวล ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาเบิกโพลงมองดูสีหน้าโกรธขึ้งของหรงจิง 

 

 

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” 

 

 

คำคำนี้ทำให้เซียงฉือคิดอยากปล่อยโฮร้องไห้ออกมา นางหันกลับไปปาดน้ำตา แล้วเดินเข้าไปข้างกายหรงจิง ตั้งใจจะเก็บรายงานพวกนั้นขึ้น กับจัดการแท่นหมึกกระดาษพู่กันให้เรียบร้อย 

 

 

แต่ว่านางไม่มีโอกาสเช่นนั้น 

 

 

หรงจิงกอดนางไว้ มือทั้งคู่ออกแรงอุ้มเซียงฉือนั่งลงบนตัก จ้องมองตานาง มือคู่นั้นค่อยๆ เคลื่อนขึ้นด้านบนประคองศีรษะนางไว้ มองริมฝีปากอิ่มของนางแล้วประทับจูบลงไป 

 

 

รุนแรงจนเซียงฉือรู้สึกเจ็บน้ำตาไหล แต่นางไม่ได้ต่อต้าน นางถูกหรงจิงจูบยาวนานไม่ยอมปล่อย 

 

 

หรงจิงกอดนาง  ฝ่ามือคลึงอยู่กับแผ่นหลังนางหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะเคล้นคลึงนางให้จมเข้าสู่ร่างตน 

 

 

สมองเซียงฉือว่างเปล่า นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงเดินผ่านฉากกันลม เหตุใดจึงไปยืนอยู่เบื้องหน้าหรงจิง ทำไมกำไลหยกขาวจึงได้หล่นลงพื้นแตกเป็นสองเสี่ยง นางไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน 

 

 

นางเพียงแต่ถูกหรงจิงจูบ ริมฝีปากและฟันถูกเขาแย้มออก มือเขาประคองศีรษะนางไว้ จูบดื่มด่ำจนเซียงฉือแทบจะตายเพราะหายใจไม่ออก หรงจิงจึงยอมปล่อยนาง 

 

 

เซียงฉือไม่รู้ตัวว่ามือจับคอเสื้อหรงจิงอยู่ ผิวขาวผ่องบริเวณหน้าอกเผยออกเป็นแผ่นกว้าง เซียงฉือมองเห็นแล้วเบนสายตาออก หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง 

 

 

หรงจิงกอดนางไว้ด้วยท่าทางสบายยิ่งขึ้น กอดนางนั่งแนบอก เมื่อเห็นเท้างามเปล่าเปลือยที่โผล่ออกมาทำให้ปวดใจขึ้นมา 

 

 

เขาหยิบพรมข้างตัวขึ้นมาห่อหุ้มร่างเซียงฉืออย่างแน่นหนา 

 

 

“เด็กโง่ ทำไมวิ่งเท้าเปล่าออกมาเช่นนี้ ทำให้ข้าปวดใจรู้ไหม” 

 

 

เซียงฉือมองดูเขาไม่ขัดขืน มองแล้วค่อยๆ อิงศีรษะเข้ากับแผ่นอกเขา เสียงเบามาก 

 

 

“เพราะหม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงปกป้องหม่อมฉันเพคะ” 

 

 

ใจของหรงจิงถูกคำพูดนี้ทำให้อุ่นซ่านขึ้นมา เขาเป็นผู้ชายที่เปี่ยมล้นไปด้วยความปรารถนาอยากปกป้อง ส่วนเซียงฉือก็เป็นหญิงสาวที่ขาดความรู้สึกปลอดภัย นางชอบที่จะอยู่ข้างกายหรงจิง อิงแอบอยู่กับต้นไม้ใหญ่ จึงจะให้ความรู้สึกสบายใจ 

 

 

หรงจิงกอดนาง มองดูใบหน้าเล็กๆ แดงเรื่อนั้น แล้วประทับจูบลงไปอีกครั้ง 

 

 

เซียงฉือไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร จึงหลับตาและไม่ต่อต้านอีก 

 

 

ซูกงกงได้ยินเสียงก็เข้ามาจากข้างนอก แต่ว่าเขาเคลื่อนไหวช้า จึงเห็นหรงจิงกอดเซียงฉือไว้ในอ้อมอก จูบนางแบบกึ่งบังคับเข้าพอดี 

 

 

เขาจึงหลบออกไปแล้วไล่พวกขันทีที่จะมาคอยดูออกไปจนหมด แล้วยิ้มด้วยความสมใจ 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือ เห็นท่าใกล้จะมีซูเฟยอีกคนในเร็ววันนี้แล้ว 

 

 

ตอนนั้นซูเฟยมาถึงตำหนักเจิ้งหยางเพียงไม่กี่วันก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นฉังไจ้ จากนั้นเป็นที่โปรดปรานเรื่อยมาจนเลื่อนขึ้นเป็นกุ้ยเหริน หลังจากตั้งครรภ์ก็ได้รับอวยยศเป็นผิน ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อให้ประสูติกาลองค์หญิงแล้ว หรงจิงก็แต่งตั้งให้นางเป็นซูเฟย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 533 ขจัดพิษ 

 

 

ได้เวลาแล้ว แต่หรงจิงยังคงคลอเคลียกับเซียงฉืออยู่ ซูกงกงเห็นว่าไม่อาจเสียเวลาประชุมขุนนางเช้าได้ จึงยืดคอตรงเตรียมจะเคาะประตู 

 

 

เซียงฉือออกมาจากข้างในพอดี พูดขึ้นด้วยท่าทีเขินอาย 

 

 

“ฝ่าบาททรงตื่นบรรทมแล้ว กงกงเข้าไปรับใช้เถอะ” 

 

 

พูดจบ เซียงฉือก็กลับห้องของตนเองโดยยังคลุมผ้าคลุมของหรงจิงอยู่ 

 

 

ก่อนที่หรงจิงจะเข้าประชุมเช้า เขาได้สั่งซูกงกงให้หาคนมาเปลี่ยนเตียงนอนของเซียงฉือให้เป็นเตียงหยกขาวอุ่นที่สั่งทำจากหูโจวเตียงนี้ 

 

 

เซียงฉือขวยเขินหน้าแดงเรื่อ แต่ถูกซู่เวิ่นปลุกให้ตื่นขึ้นมาพลัน 

 

 

“เมื่อคืนนอนหลับดีไหม สวี่อี้บอกว่านางมานอนเป็นเพื่อนเจ้าคืนหนึ่ง สีหน้าแดงฝาดแบบนี้ เห็นท่าสวี่อี้คงจะเป็นเพื่อนได้ดีทีเดียว” 

 

 

เสียงของซู่เวิ่นมีพลังมาก เซียงฉือหันกายกลับมาก็ชนเข้ากับหน้าของซู่เวิ่นที่ยื่นเข้ามาพอดี นางมองเซียงฉืออย่างพิจารณาแล้วพูดว่า 

 

 

“ข้าดูเจ้าแล้ว เหมือนจะมีปัญหานะ” 

 

 

เซียงฉือผลักนางแล้วก็ไม่ไปสนใจนางอีก ซู่เวิ่นจึงพูดว่า 

 

 

“ดื่มยาก่อนเถอะ เมื่อคืนข้าคุมการเคี่ยวด้วยตัวเองทั้งคืนเพื่อเจ้า น้ำสามชามต้มให้เหลือครึ่งชาม มาดื่มเถอะ” 

 

 

เซียงฉือดื่มรวดเดียวจนหมดอย่างเชื่อฟัง รสชาติของยานี้กับที่ซู่เวิ่นยกมาในช่วงก่อน มีรสชาติดียิ่ง 

 

 

ถึงจะขมอยู่บ้างแต่ก็ไม่เปรี้ยวฝาด 

 

 

เซียงฉือดื่มลงไปหมดแล้ว ซู่เวิ่นก็พูดต่อว่า 

 

 

“เสร็จแล้วก็ไปห้องสุขารอการขับถ่ายเสีย ข้าจะไปกินข้าวเช้าก่อน เจ้าขับถ่ายเสร็จก็อาบน้ำเสียเลย แล้วข้าจะมาฝังเข็มขับพิษให้” 

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วหน้าแดงซ่าน 

 

 

“พวกเราล้วนเป็นผู้หญิงนะ ซู่เวิ่นเจ้าทำไมถึงพูดตรงนักล่ะ” 

 

 

เซียงฉือค้อนให้ซู่เวิ่นแล้วเข้าห้องสุขาไป ส่วนซู่เวิ่นยังคงจัดการงานอยู่ในห้องนั้น 

 

 

พวกนางกำนัลกับขันทีช่วยกันยกเตียงหยกอุ่นเข้ามาในห้องเซียงฉือตามคำสั่งของฮ่องเต้ ซู่เวิ่นเฝ้าดูหลังจากนั้นจึงนำพวกเบาะนิ่มๆ ออก ปูเพียงฟูกลงไปชั้นหนึ่ง ความอุ่นที่สัมผัสถูกมือกำลังดี เสร็จแล้วนางจึงไปเริ่มทำความสะอาดเข็มทอง 

 

 

เซียงฉือนั่งรออยู่ในห้องสุขาเป็นนานกระทั่งแข้งขาอ่อนปวกเปียกตอนที่ออกมา หงซีกูกูพานางกำนัลคนหนึ่งมาชำระล้างร่างกายให้นาง เสร็จแล้วประคองนางกลับหนิงอวี้เก๋อ 

 

 

เซียงฉือนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงหยกอุ่น จึงค่อยรู้สึกเหมือนตนเองฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้ว 

 

 

ซู่เวิ่นฝังเข็มให้นางสิบกว่าเข็ม เซียงฉือรู้สึกราวร่างถูกทุบด้วยค้อนยักษ์ เจ็บปวดแสนสาหัส 

 

 

ซู่เวิ่นนั่งจุดเตาเพื่อจะต้มโจ๊กยาให้เซียงฉืออยู่ที่ด้านข้างอย่างสบายใจ จากนั้นลุกขึ้นไปนำกระบอกไม้ไผ่ที่จัดทำไว้แล้วจุ่มลงไปในน้ำยา รอจนครบสิบห้านาทีจึงรีบเปลี่ยนเข็มเงินอีกแถวหนึ่ง 

 

 

เซียงฉือเพียงรู้สึกว่าเหตุใดตนจึงต้องมารับกรรมเช่นนี้ เกิดความเจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ 

 

 

นางเห็นซู่เวิ่นกำลังกินแอปเปิ้ลอยู่ด้านข้างก็นึกสงสารตัวเอง 

 

 

“ซู่เวิ่น ข้าก็จะกินผิงกั่วด้วย” 

 

 

ซู่เวิ่นเงยหน้ามองเซียงฉืออย่างจริงจังแล้วพูดว่า 

 

 

“หนึ่งเดือนนี้เจ้าจะกินอะไรที่นอกเหนือจากของที่ข้าจัดให้ไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าจะดื่มได้แต่ยา กินแต่โจ๊กยา จะให้มีสิ่งอื่นปนเข้าไปไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” 

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วก็ค้อนขวับ ไม่เหลือสิ่งใดน่าอภิรมย์อีกแล้วในชีวิตนี้ 

 

 

“ตัวมีบุญวาสนาอยู่แท้ๆ อย่าทำเป็นไม่รู้ค่า ข้ายังจะต้องทูลฝ่าบาทอีกว่า เซียงฉือห้ามมีความรักระหว่างหญิงชายเด็ดขาดในช่วงนี้ จะให้จิตใจเปลี่ยนแปลงขึ้นลงรุนแรงไม่ได้ แบบนั้นจะไม่เป็นผลดีกับการรักษา” 

 

 

เซียงฉือฟังคำพูดยั่วเย้าของซู่เวิ่นออก จึงหันหน้ากลับไปสีหน้าแดงซ่าน ไม่คิดจะมองซู่เวิ่นอีก 

 

 

ซู่เวิ่นต้มโจ๊กยาอย่างสงบ ร่างกายเซียงฉือยังมีพิษหลงเหลืออยู่บางส่วน นางได้ปรึกษากับหมอหลวงทั้งสามมาทั้งคืนจึงได้ตกลงที่จะใช้ยาขนานนี้อย่างละเอียดรอบคอบที่สุด ถึงแม้จะยืดเยื้อเวลาที่สุด แต่ประสิทธิภาพก็ดีที่สุดเช่นกัน 

 

 

ซู่เวิ่นจุดควันหอม เซียงฉือสูดดมเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า 

 

 

“แล้วนี่อะไรอีกล่ะ กลิ่นออกจะประหลาด”