ตอนที่ 534 คดีวางยาพิษไม่คืบหน้า / ตอนที่ 535 ฉลาดและใจกว้าง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 534 คดีวางยาพิษไม่คืบหน้า 

 

 

ซู่เวิ่นมองเซียงฉือแล้วพูดว่า 

 

 

“ข้าเตือนเจ้า อย่ารู้เสียเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะรับไม่ได้” 

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วเกิดหวาดหวั่นอย่างยิ่ง หากซู่เวิ่นบอกออกมาเลยยังจะดีเสียกว่าการพูดยั่วให้อยากรู้เช่นนี้ เพราะยิ่งทำให้นางสงสัยมากขึ้น 

 

 

“ซู่เวิ่นเจ้าพูดออกมาเลยดีกว่า ให้ข้าคิดเองแล้วขนลุกซู่” 

 

 

ซู่เวิ่นจึงนำตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ออกมาจากข้างในให้เซียงฉือดู 

 

 

“เป็นกลิ่นที่มาจากหนอนที่เจ้าขับถ่ายออกมาเอาไปเผาไฟ มันจะทำให้พวกที่ยังอยู่ในท้องเจ้าคึกคักน้อยลง ซึ่งจะช่วยให้เจ้าไม่ต้องหลับยากอีก” 

 

 

เซียงฉือพยักหน้า แต่แล้วจู่ๆ เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ 

 

 

จึงถามว่า 

 

 

“ซู่เวิ่น เจ้าหนอนนี่เจ้าไปหามาจากที่ไหน หนอนในตัวข้าขับออกมาหมดแล้วหรือยัง” 

 

 

ซู่เวิ่นตอบอย่างสงบอย่างยิ่ง 

 

 

“ก็พวกที่เจ้าเพิ่งขับถ่ายออกมาเมื่อครู่นั่นแหละ มันยังมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ในตัวเจ้า ค่อยๆ ขับถ่ายออกมาก็แล้วกัน มีข้าอยู่รับประกันได้เลยว่าจะไม่ให้เหลือสักตัว” 

 

 

เซียงฉือหันหน้ากลับไปส่งเสียงอาเจียนโอ้กอ้าก ซู่เวิ่นยังอุตส่าห์นำหนอนประหลาดพวกนี้มาไว้ที่ข้างตัวเซียงฉืออีก 

 

 

นางอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทรมานแบบนั้นอยู่ครึ่งวัน ช่วงที่มีความสุขที่สุดคือการได้อาบน้ำแร่อุ่นในตอนเย็นซึ่งซู่เวิ่นใส่ตัวยาลงไปในน้ำอาบมากมาย ช่วยเร่งขับพิษในร่างให้ระเหยออกมาได้เร็วขึ้น 

 

 

เช่นนี้จะสามารถช่วยเพิ่มพลังการขับหนอนออกมาได้มากขึ้นในวันรุ่งขึ้น ค่อยๆ ทำไปตามลำดับ อีกไม่กี่วันก็จะหาย 

 

 

แต่ทุกวันเซียงฉือจะได้รับเพียงข้าวต้มครึ่งชาม นอกนั้นคือการดื่มยาไม่หยุดหย่อน 

 

 

ทรมานเช่นนี้อยู่ห้าวัน ในที่สุดซู่เวิ่นก็ได้บอกนางว่าไม่เป็นไรแล้ว 

 

 

แต่หรงจิงให้ความสำคัญกับเรื่องที่เซียงฉือถูกพิษมาก สวี่อี้หลบๆ ซ่อนๆ ทว่าไม่อาจปิดบังต่อไปได้ ถึงที่สุดแล้วใบหน้าเล็กๆ ของเซียงฉือซูบตอบเสียจนหรงจิงเห็นแล้วปวดใจสุดประมาณ 

 

 

สวี่อี้กับซู่เวิ่นถูกหรงจิงกักอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง หรงจิงนั่งอยู่เบื้องบนอ่านรายงานเล่มแล้วเล่มเล่า ส่วนสวี่อี้กับซู่เวิ่นคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง เซียงฉือยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก นางคิดจะพูดขอความกรุณาให้ แต่พอเห็นสายตาหรงจิงแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยปาก 

 

 

รออยู่นานมากหรงจิงจึงได้พูดขึ้น 

 

 

“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าผู้บงการเบื้องหลังจะเป็นใคร จะปล่อยให้ลอยนวลไม่ได้ทั้งนั้น” 

 

 

“สวี่อี้” 

 

 

หรงจิงเรียกชื่อสวี่อี้ นางจึงน้อมรับคำ 

 

 

“เพคะ” 

 

 

หรงจิงอ่านรายงานจบฉบับหนึ่งแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“เดิมข้าคิดจะเลื่อนขั้นให้เจ้าในสิ้นปีนี้ แต่ดูตอนนี้แล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เจ้ายังไม่ใส่ใจไปจัดการเลย” 

 

 

เซียงฉือฟังด้วยความร้อนรนใจที่ด้านข้าง สวี่อี้ชั่งใจอยู่นานจึงได้พูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาท แม้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันถึงจินกุ้ยเฟย ก็จะปฏิบัติอย่างเสมอภาคเช่นกันหรือเพคะ” 

 

 

สวี่อี้ย้อนกลับ หรงจิงสีหน้าไม่ดี เขาปิดรายงานดังปัง มองสวี่อี้แล้วพูดว่า 

 

 

“คำพูดข้า หรือว่าเจ้าฟังไม่เข้าใจ” 

 

 

เสียงหรงจิงพิฆาตหนาวสะท้าน เขาไม่ชอบให้ใครเคลือบแคลงสงสัยในอำนาจของตน สายตาที่มองดูสวี่อี้จึงยิ่งไม่เป็นมิตร เซียงฉือไม่กล้าดูต่อไปจึงเดินเข้าไปคุกเข่าเบื้องหน้าหรงจิงพูดขึ้นว่า 

 

 

“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ เรื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะหม่อมฉัน ฝ่าบาททรงห่วงใยหม่อมฉันซึ่งหม่อมฉันรู้ดี แต่ตอนนี้หม่อมฉันหายแล้ว เรื่องนี้ก็อย่าได้ทรงตรวจสอบอีกเลยเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการให้ฝ่าบาทเพื่อหม่อมฉันแล้ว ทำให้ฝ่ายในเกิดปั่นป่วนขึ้นมาเพคะ” 

 

 

พอเซียงฉือออกมาพูดขอ สีหน้าหรงจิงจึงดีขึ้นบ้าง เขามองดูเซียงฉืออย่างอ่อนใจ 

 

 

“เจ้าลุกขึ้นก่อน เพิ่งจะหายป่วยอย่าให้ต้องลมหนาวเข้าอีก คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่เจ็บหรือไง” 

 

 

เซียงฉือฟังหรงจิงพูดแล้วก็มองดูซู่เวิ่นกับสวี่อี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ มาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว บังเกิดความอบอุ่นใจ หรงจิงมักเป็นเช่นนี้ เขามักจะปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากคนอื่น 

 

 

ในใจหรงจิงเห็นเซียงฉือมีสุขภาพอ่อนแอ แตกต่างจากข้าราชสำนักสตรีแข็งแกร่งพวกนี้ ทั้งเซียงฉือยังเป็นคนของเขาอีกด้วย 

 

 

เซียงฉือถึงจะยังคุกเข่าอยู่ แต่ใจของนางอุ่นซ่านด้วยความหวาน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 535 ฉลาดและใจกว้าง 

 

 

เซียงฉือไม่ยอมลุกขึ้น ทั้งยังพูดอย่างออดอ้อน 

 

 

“ฝ่าบาท ทรงให้ใต้เท้าทั้งสองลุกขึ้นด้วยเถิดเพคะ บนพื้นเย็นมากเพคะ” 

 

 

หรงจิงสะบัดแขนเสื้อ ทั้งสามคนจึงพากันลุกขึ้น 

 

 

เซียงฉือเดินไปข้างกายหรงจิงแล้วพูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ ทุกคนในวังต่างรู้ดีว่าหม่อมฉันกับใต้เท้าสวี่สนิทสนมกันที่สุด ดังนั้นเรื่องของหม่อมฉันใต้เท้าสวี่จะไม่คิดทำเต็มที่ได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาทอย่างทรงตำหนิใต้เท้าสวี่เลยเพคะ” 

 

 

สีหน้าหรงดีขึ้นเล็กน้อย 

 

 

เซียงฉือจึงได้โน้มน้าวต่อไปว่า 

 

 

“ใต้เท้าซู่เวิ่นดูแลหม่อมฉันก็ลำบากมากแล้ว ฝ่าบาทยังจะทรงตำหนิลงหรือเพคะ ทรงอนุญาตให้พวกนางได้กลับไปพักผ่อนเถิด หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลเพคะ” 

 

 

หรงจิงเห็นกิริยาซุกซนของเซียงฉือก็นึกดีใจ จึงพูดว่า 

 

 

“กลับไปได้ เรื่องนี้ห้ามมิให้ชักช้าอีกต่อไป ข้าไม่ต้องการว่าทำเต็มที่ ข้าต้องการผลลัพธ์” 

 

 

สวี่อี้กับซู่เวิ่นตอบรับแล้วพากันออกไป 

 

 

เซียงฉือมองส่งพวกนางจากไป จากนั้นยืนอยู่ข้างกายหรงจิง ยิ้มมองเขา 

 

 

“ฝ่าบาท ซู่เวิ่นบอกว่าช่วงนี้ผิวพรรณหม่อมฉันดีขึ้นมาก ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรสิเพคะว่าขาวขึ้นบ้างไหมเพคะ” 

 

 

หรงจิงวางหนังสือในมือลงแล้วกอดเซียงฉือด้วยมือข้างเดียว รั้งนางเข้าไปในอ้อมอกแล้วพิจารณาอย่างละเอียด เขาหอมนางบนใบหน้าทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าอ้วนกว่านี้สักหน่อยก็จะดี ตอนนี้กอดแล้วไม่สบายมือเหมือนก่อน แต่ผิวพรรณดูดี ขาวมีเลือดฝาด ดูไม่เหมือนคนป่วย” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ถือโอกาสพูดตามสถานการณ์ไปว่า 

 

 

“เช่นนั้นก็ควรต้องขอบคุณคนที่วางยา ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันคงไม่มีวาสนาได้รับพระกรุณาจากฝ่าบาทเช่นนี้ เรื่องนี้ฝ่าบาทก็อย่าได้ทรงตรวจสอบอีกเลยนะเพคะ” 

 

 

หรงจิงมองดูเซียงฉือ เซียงฉือรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าคนที่วางยาเป็นไปได้ว่าจะเป็นหลิ่วจุ้ย จึงรู้สึกปวดใจ แต่จากการตรวจสอบของสวี่อี้ทำให้รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่นางจะถูกคนหลอกใช้ เพราะยาพิษพวกนั้น หากจะบอกว่าเป็นของนางก็ออกจะเหลือเชื่อเกินไป 

 

 

ถึงนางจะเป็นนางกำนัลขั้นที่หนึ่งในตำหนักอวี้หยวน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น 

 

 

ถึงแม้เซียงฉือจะรู้ว่านางไม่ได้เป็นคนวางยาพิษนี้ แต่ถ้าหากตรวจสอบต่อไป จินกุ้ยเฟยในตำหนักอวี้หยวนย่อมต้องใช้หลิ่วจุ้ยออกมาเป็นเป้ารับลูกดอก ถึงเวลานั้นก็จะกล่าวหานางเป็นคนรับผิดชอบดูแลและขโมยออกมา ถึงตอนนั้นต่อให้หลิ่วจุ้ยจะมีอีกสักกี่ปากก็ยากจะอธิบายได้ 

 

 

เซียงฉือไม่ต้องการทำลายชีวิตนาง เพราะนางก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อีกทั้งเป็นแค่เพียงนางกำนัลขั้นที่เก้า ถึงแม้ตายไปหรงจิงก็ไม่สามารถกวาดล้างวงศ์ตระกูลจินกุ้ยเฟยเพราะเรื่องนี้ได้ เมื่อมีอุปสรรคเช่นนี้ เซียงฉือคิดทบทวนแล้วเห็นว่าจะมีหลิ่วจุ้ยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับเคราะห์ 

 

 

นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นดังนั้นจึงขอร้องสวี่อี้ไม่ให้รายงานเรื่องนี้ และตอนนี้เซียงฉือก็กำลังจะบอกสาเหตุกับหรงจิง 

 

 

ทว่านางต้องไตร่ตรองยิ่งขึ้นก่อนจึงจะเอ่ยปาก 

 

 

หรงจิงมองนาง เซียงฉือซบไหล่หรงจิงด้วยท่าทางอิงแอบแบบเด็กสาว 

 

 

พูดอย่างอายๆ ว่า 

 

 

“ฝ่าบาทโปรดทรงทราบว่าหม่อมฉันกับจินกุ้ยเฟยไม่ลงรอยกันเท่าไร เป็นเพราะว่าฝ่าบาทโปรดปรานหม่อมฉันเกินไปดังนั้นกุ้ยเฟยจึงเห็นหม่อมฉันเป็นดั่งหนามยอกอกที่จะต้องขจัดทิ้งไป ครั้งนี้หม่อมฉันปลอดภัย ต่อไปชีวิตยังอยู่ในอันตราย ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาททรงประสงค์พบเห็น” 

 

 

หรงจิงขมวดคิ้ว เรื่องที่เซียงฉือพูดมานี้เขาก็เคยคิดมาก่อน แต่เขาเองให้สัญญาในเรื่องนี้ไปแล้ว จึงไม่อาจที่จะฉีกหน้าตัวเองได้ 

 

 

เซียงฉือก็รู้ว่าหรงจิงจะไม่ทำอะไรจินกุ้ยเฟยเพราะเรื่องนี้ นางจึงเพียงต้องการพระกรุณาเพื่อให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้เท่านั้น 

 

 

หรงจิงสงสารที่นางได้รับความอยุติธรรม จึงไม่อาจไม่รับปาก 

 

 

เมื่อเขาเห็นท่าทางของนางแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“ข้ารู้เพียงว่าเจ้าฉลาดที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้อีกด้วย” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของหรงจิง จึงพูดไปตามคำพูดของเขา 

 

 

“ที่หม่อมฉันใจกว้างเช่นนี้ประการแรกก็เพื่อความมั่นคงของฝ่ายในของฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ฐานะตนเองดี ไม่กล้าละเมิดกฎบัญญัติ ประการที่สอง ตระกูลของหม่อมฉันไร้ประโยชน์ต่อแผ่นดินทั้งยังเป็นนักโทษ แต่ตระกูลของขุนพลจินมีผู้มากความสามารถสืบทอดกันมา ช่วยรักษาความมั่นคงให้กับแผ่นดินของฝ่าบาทอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่ว่าราชสำนักฝ่ายหน้าหรือฝ่ายในของฝ่าบาทล้วนต้องการเสถียรภาพ ดังนั้นหากหม่อมฉันต้องรับความไม่เป็นธรรมบ้างจะเป็นไรไปเพคะ”