บทที่ 443 เถ้าแก่เหมืองแร่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 443 เถ้าแก่เหมืองแร่

พูดจบแล้ว หยูเจี๋ยจุนก็กระโดดลงไปจากเวที

บังเกิดเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังขึ้นรอบเวที เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือเหล่านั้นดังไปทั่วสถานศึกษากระบี่ที่สาม ก่อนจะขยายบริเวณกว้างไปทั่วเมืองหยุนเมิ่งเหมือนสายน้ำหลั่งไหล

คราวนี้ ชาวเมืองหยุนเมิ่งตื่นเต้นแล้วจริงๆ

หลินเป่ยเฉินได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ!

แม้นี่จะเป็นเพียงการแข่งขันกระชับมิตรเพื่อเพิ่มความสามัคคีระหว่างมณฑลก็ตาม

แต่การได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา

หลินเป่ยเฉินทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งภาคภูมิใจ

ขณะนี้ ไม่มีใครกล้าตะโกนเรียกหลินเป่ยเฉินว่าเป็นเจ้าแกะดำเศษขยะข้างถนนอีกแล้ว

ทุกคนจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความภาคภูมิใจ

เหล่ามือกระบี่อาวุโสที่รับชมการต่อสู้ถึงกับตกตะลึงไปแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

ติงซานฉือหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

ให้ตายเถอะ

เจ้าลูกศิษย์คนนี้

มีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

แล้วก็ปล่อยให้เขาเป็นห่วงเสียแทบแย่

นี่หลินเป่ยเฉินปิดบังฝีมือกระบี่ที่แท้จริงมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?

บนเวที

“ทุกคนเก็บแรงปรบมือเอาไว้ก่อน รอเอาไว้ให้ข้าชนะเจียงจี้หลิวได้เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นค่อยปรบมือกันก็ยังไม่สาย”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “และช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการโฆษณาของดีของเด็ดประจำวัน แต่สิ่งที่ข้ากำลังจะโฆษณาต่อไปนี้ ขอบอกเลยว่าข้าไม่ได้รับเงินจากเจ้าของร้านมาแม้แต่เหรียญเดียว…”

ว่าไงนะ?

ได้ยินดังนั้น บรรดาลูกค้าของหลินเป่ยเฉินที่ลงทุนจ่ายค่าโฆษณาให้เขาตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา ก็ถึงกับใบหน้ากระตุกขึ้นมาทันที

พวกเขาต้องจ่ายค่าโฆษณาแทบสิ้นเนื้อประดาตัว

แล้วใครกันนะที่หลินเป่ยเฉินยินดีโฆษณาให้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน?

คิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็พูดต่อว่า “ทุกท่านอาจยังไม่ทราบว่าในเมืองหยุนเมิ่งของพวกเรา นอกจากร้านขายกระบี่อาจารย์ฟานแล้ว ก็ยังมีร้านขายกระบี่อีกหนึ่งแห่งที่มีนามว่าร้านหัวค้อนเหล็ก ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในตรอกจงหลี่บนถนนสายที่ 6 ถึงแม้จะเป็นเพียงร้านขายศาสตราวุธร้านเล็กๆ แต่กลับเป็นร้านที่มีกระบี่ราคาถูก คุณภาพสูง ไม่จกตาลูกค้าเหมือนร้านชื่อดังบางร้าน วางจัดจำหน่ายอยู่จำนวนมาก มิหนำซ้ำ ทุกท่านยังสามารถสั่งทำกระบี่ได้ตามความปรารถนา… อย่างเช่นกระบี่เงินที่ข้ากำลังถืออยู่ในขณะนี้ ก็ซื้อมาจากร้านหัวค้อนเหล็กเช่นกัน…”

พูดจบ เขาก็ชูกระบี่ให้ทุกคนได้เห็นรายละเอียด

ด้านล่างเวที

เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินพูดออกมาเช่นนั้น บรรดาคนดูจำนวนมากก็รีบจดชื่อและที่อยู่ของร้านหัวค้อนเหล็กเอาไว้ในสมุดพกส่วนตัวทันที

อาวุธคือสิ่งที่สำคัญสุดของผู้ฝึกยุทธ์

หรือต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่ยามเดินทางก็ต้องพกกระบี่ไว้เพื่อป้องกันตนเอง

เพราะฉะนั้น ในตัวเมืองจึงมีร้านขายกระบี่อยู่มากมาย

แต่ร้านที่หลินเป่ยเฉินยอมโฆษณาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ย่อมเป็นกระบี่คุณภาพสูง

มีเพียงผู้จัดการร้านกระบี่อาจารย์ฟานเท่านั้นที่กำลังแสดงสีหน้าเหมือนถูกคนเหยียบตาปลาเข้าเต็มๆ

จะโฆษณาร้านขายกระบี่ที่อื่นก็โฆษณาไปสิ ทำไมต้องมากระทบกระเทียบร้านของพวกเขาด้วย?

ก่อนหน้านี้ร้านขายกระบี่อาจารย์ฟานก็เคยจ่ายค่าโฆษณาให้หลินเป่ยเฉินมาก่อน

เห็นทีครั้งต่อไปพวกเขาคงต้องกลับไปเป็นลูกค้าของหลินเป่ยเฉินอย่างไม่มีทางเลือกเสียแล้ว

“ท่านจ่ายค่าโฆษณาให้เขาหรือ?”

ในกลุ่มคนดู หลู่หลิงโจวหันมาถามหยางเฉินโจวด้วยความประหลาดใจ

ชายหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มตอบว่า “ไม่ได้จ่าย เป็นน้องหลินโฆษณาให้พวกเราด้วยความสมัครใจเอง หึหึ แต่เจ้าอย่าลืมสิว่าเขากลายเป็นหุ้นส่วนกับพวกเราแล้วนะ หลังจากนี้ ยิ่งเราขายได้มากเท่าไหร่ ตัวเขาเองก็ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น ข้าว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนี้ ก็เพราะเห็นแก่เงินส่วนแบ่งของตนเองมากกว่า…”

เพี๊ยะ!

หลู่หลิงโจวยกมือตบหัวคนรักของตัวเองเสียงดังสนั่น “ห้ามพูดจาเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีกเด็ดขาด!”

นางถลึงตาจ้องมองหยางเฉินโจว “ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราต้องรับความช่วยเหลือจากคุณชายหลินมากมายแค่ไหน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคัมภีร์การสร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือนั้น เขาก็เป็นคนให้เรา… ท่านอย่าลืมสิว่าเราเป็นหนี้บุญคุณคุณชายหลินชนิดที่ไม่มีวันชดใช้ได้หมดเชียวนะ”

หยางเฉินโจวรีบพยักหน้าตอบรับเร็วไวว่า “โอ๊ย เจ็บนะเนี่ย… เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หยางเฉินโจวคนนี้ไม่เคยเนรคุณใครอยู่แล้ว”

กลุ่มคนดูเริ่มแยกย้ายกันไปเป็นกลุ่มๆ

“นี่ หลินเป่ยเฉินมีฝีมือเก่งกาจก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่หรอก แต่แบบนี้ไม่จบเร็วเกินไปหน่อยหรือไง”

“นั่นสิ ยังไม่ทันตั้งใจดู การต่อสู้ก็จบลงแล้ว”

“เขาชนะรวดเร็วเกินไป ข้ายังไม่ทันได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ”

“เขาไม่คิดจะคืนกำไรให้คนดูสักหน่อยเลยหรือ”

“หวังว่ารอบชิงชนะเลิศ คงจะตื่นเต้นมากกว่านี้หน่อยนะ”

การประลองรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นในตอนบ่าย

ชาวเมืองที่ซื้อตั๋วเข้ามารับชมการแข่งขันแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย

เหล่าลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม พร้อมใจกันวิ่งเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉิน ทุกคนตะโกนเรียกชื่อและปรบมือชื่นชมเด็กหนุ่มด้วยความตื่นเต้นและยินดี

“วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ชนะหรือไม่ แต่หลินเป่ยเฉินได้กลายเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของสถาบันเราไปตลอดกาลแล้ว”

“ใช่ เขาคือวีรบุรุษผู้กล้าของพวกเรา”

“เขาคือตำนานที่มีชีวิต”

“หลินเป่ยเฉินคือหน้าตาที่ภาคภูมิใจของสถานศึกษากระบี่ที่สาม”

มีเสียงตะโกนเชิดชูเด็กหนุ่มดังขึ้นไม่ขาดหู

หลินเป่ยเฉินยิ้มหน้าบาน

ดูสิ!

เพื่อนร่วมสถาบันของเขามีแต่คนน่ารักทั้งนั้นเลย

“ข้าจะเอารูปวาดของท่านไปตั้งไว้บนหิ้งบูชาบรรพบุรุษ”

ใครบางคนส่งเสียงตะโกนออกมา

ว่าไงนะ?

รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินหายวับไปทันที

“ข้ายังไม่ตายสักหน่อย เมื่อสักครู่นี้ใครเป็นคนพูด แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้…”

เด็กหนุ่มส่งเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล

หลังจากนั้น ทุกคนที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายเขา ก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ

ไม่มีใครหวาดกลัวหลินเป่ยเฉินอีกต่อไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความเหนื่อยใจ “พวกเจ้านี่ได้ทีแล้วเอาใหญ่เชียวนะ เห็นข้าประพฤติตัวเป็นคนดีเข้าหน่อย ก็เข้าใจว่าข้าจะไม่กลับไปใจร้ายอำมหิตเหมือนก่อนหน้านี้หรือ… สรุปว่าพวกเจ้าอยากจะลองดีใช่ไหม?”

เสียงหัวเราะยิ่งดังขึ้นด้วยความตลกขบขันมากกว่าเดิม

ไม่มีใครเกรงกลัวเขาเลยจริงๆ

หลินเป่ยเฉินเดินลงจากเวทีมุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่ด้วยความเศร้า

พร้อมกับความรู้สึกที่ว่าโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ณ ตำหนักไม้ไผ่

ไป๋ชินหยุนซื้ออาหารกลางวันมาจากโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

กลิ่นสุราและอาหารหอมฉุยโชยออกมาจากตัวบ้านพัก

เนื่องจากบ่ายวันนี้จะเป็นการแข่งขันชี้ชะตารอบชิงชนะเลิศ คนสนิทของหลินเป่ยเฉินจำนวนมากอย่างเช่นหยางเฉินโจวและภรรยา หรือคณะสามอาจารย์อาวุโส ต่างก็มายืนรอต้อนรับเขาที่สนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่ เพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กหนุ่มได้มีแรงออกไปต่อสู้

แต่ที่คิดไม่ถึงเลยก็คืออู๋เฟิ่งกู เถ้าแก่สวนแตงโมชื่อดังก็มาอยู่ที่นี่ด้วย

ติงซานฉือยืนมองเด็กหนุ่มเดินเข้ามาด้วยแววตาพิศวง

เขาดึงลูกศิษย์ออกมายืนคุยด้านข้างและกระซิบถามแผ่วเบา “บัดนี้เจ้าฝึกถึงกระบวนท่าไหนแล้ว?”

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ฝึกถึงกระบวนท่าที่ 4 แล้วขอรับ”

“แค่คืนเดียวเนี่ยนะ?”

“ใช่แล้วขอรับ”

“เอ่อ… ดีแล้วล่ะ การที่เจ้าฝึกฝนได้รวดเร็วนับเป็นพรสวรรค์ฟ้าประทาน แต่อย่าได้หลงระเริงภูมิใจในตนเองเกินไป จงตั้งใจฝึกฝนให้หนักเข้าไว้… จำไว้ว่าทุกคนฝากความหวังไว้ที่เจ้า”

“ศิษย์รับทราบแล้วครับอาจารย์ แต่อาจารย์เคยบอกใช่ไหมขอรับ ว่าตัวอาจารย์เองกว่าจะฝึกได้ถึงกระบวนท่าที่ 3 ก็ต้องใช้เวลาตั้งหลายปี…”

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินถูกตบจนหัวสั่นอีกครั้ง

“จงจำแต่เรื่องที่ควรจำเท่านั้นสิ”

“เข้าใจแล้วขอรับอาจารย์”

ทุกคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เห็นเพียงติงซานฉือกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถูกผู้เป็นอาจารย์ตบศีรษะรัวๆ อีกหลายครั้ง

เห็นดังนั้น พวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสาร

ติงซานฉือนับว่าเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดเกินไปแล้ว

แต่เพราะมีอาจารย์เข้มงวดขนาดนี้สินะ หลินเป่ยเฉินถึงสามารถพัฒนาฝีมือกระบี่ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า ทุกคนก็เข้าไปนั่งรอบโต๊ะอาหารในตำหนักไม้ไผ่

เถ้าแก่สวนแตงโมอู๋เฟิ่งกูเดินทางกลับมาจากเขตชนบท เขาเพิ่งเสร็จงานและมีเวลาพักผ่อนเพียงเล็กน้อย สภาพของชายชราในตอนนี้จึงไม่ต่างไปจากกระต่ายป่าที่หิวโซ

“พวกเรามาดื่มแสดงความยินดีที่หลินเป่ยเฉินได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกันเถอะ” ไป๋ชินหยุนเป็นผู้นำยกจอกสุราชูขึ้นสูง

ทุกคนส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน

บรรยากาศในห้องรับประทานอาหารคึกคักไม่ต่างจากเทศกาลตรุษจีน

“หลินเป่ยเฉิน การประลองรอบชิงบ่ายวันนี้ เจ้ามีความมั่นใจแค่ไหน?”

อู๋เฟิ่งกูถามออกมาพร้อมยิ้มกว้างเมื่อดื่มสุราครบ 3 จอก

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “มั่นใจอยู่ 5 ส่วน”

เขาสังเกตเห็นว่าชายชราเจ้าของสวนแตงโมมีสีหน้าผิดปกติ จึงอดถามออกไปไม่ได้ว่า “เถ้าแก่อู๋ถามออกมาเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดจะชี้แนะข้าน้อยบ้างหรือไม่?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่บังอาจเอื้อมขนาดนั้นหรอก”

อู๋เฟิ่งกูยังคงพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “ข้าเพียงอยากคุยเรื่องธุรกิจกับเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”

“จะให้ข้าน้อยโฆษณาแตงโมให้ท่านหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินสอบถาม “แต่โฆษณารอบชิงชนะเลิศบ่ายนี้เต็มหมดแล้วน่ะสิ”

อู๋เฟิ่งกูตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ข้ายินดีมอบค่าโฆษณาให้เจ้าหนึ่งแสนเหรียญทองคำเลยล่ะ แต่สิ่งที่ข้าอยากให้เจ้าช่วยโฆษณานั้นไม่ใช่สวนแตงโม แต่เป็นธุรกิจอีกหนึ่งอย่างของข้าเอง ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจหรือไม่?”

“ว่าไงนะ?”

“หนึ่งแสนเหรียญทองคำเชียวหรือ?”

“ทำไมถึงยินดีจ่ายแพงขนาดนี้?”

เมื่อทุกคนได้ยินข้อเสนอของเถ้าแก่สวนแตงโม พวกเขาก็พร้อมใจกันอุทานออกมาด้วยความสามัคคี

หลินเป่ยเฉินเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน “สวนแตงโมของท่านทำให้ร่ำรวยถึงขนาดนี้แล้วหรือ?”

ถ้าเป็นเจ้าของสวนแตงโมแล้วรวยขนาดนี้ เขาขอลาออกจากวงการมือกระบี่ไปปลูกแตงโมบ้างดีกว่า

“เอ่อ เรื่องมันยาวน่ะ”

อู๋เฟิ่งกูมองหน้าทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา “ก่อนหน้านี้มีการค้นพบเหมืองแร่ในเมืองของพวกเรา พวกท่านคงไม่ได้ยินข่าวสินะ แต่ข้าอยากจะบอกทุกคนให้ทราบว่า บัดนี้สวนแตงโมไม่ใช่ธุรกิจหลักของข้าอีกแล้ว เพราะธุรกิจหลักของข้า คือการทำเหมืองแร่ต่างหาก!”

เหมืองแร่อย่างนั้นหรือ?

“แร่ชนิดไหน?”

ฉู่เหินถามด้วยความสงสัย

อู๋เฟิ่งกูฉีกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจและตอบกลับมาสี่คำ “แร่หินบูชา”

เพล้ง!

ถ้วยสุราที่ถืออยู่ในมือฉู่เหินร่วงหล่นลงพื้นแตกกระจาย

ทุกคนชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ

พลัน บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน