ตอนที่ 444 ลาภลอย

เหมือง!

แร่!

หินบูชา!

ถ้อยคำเหล่านี้เมื่อนำมาประกอบรวมกัน ก็ทำให้ผู้คนถึงกับตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก

เป็นเหมืองแร่หินบูชาอย่างนั้นหรือ?

แร่หินบูชา 1 ก้อนมีค่ายิ่งกว่าทองคำ

และที่สำคัญก็คือมันเป็นสิ่งที่มีความต้องการในท้องตลาดสูงมาก เพราะทุกคนที่เดินทางเข้าไปทำพิธีเปิดพลังปราณธาตุในวิหารเทพกระบี่ ล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องใช้แร่หินบูชาทั้งสิ้น

อีกทั้งแร่หินชนิดนี้ยังบรรจุพลังปราณธาตุในอากาศ ในจำนวนที่มากกว่าร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถดูดซับได้เองตามธรรมชาติ ผู้ฝึกยุทธ์จึงสามารถนำมาเป็นทางลัดในการดูดซับพลังปราณธาตุเข้าสู่ร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างยากลำบาก เพราะแร่หินบูชาเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากนั่นเอง

หลินเป่ยเฉินก็เคยต้องใช้งานแร่หินจำพวกนี้มาก่อนเช่นกัน

เพื่อเปิดพลังปราณธาตุในตัวให้สำเร็จ ติงซานฉือถึงกับต้องอุทิศเงินเก็บทั้งหมดให้ฉู่เหินไปซื้อแร่หินบูชามาเป็นของสักการะสำหรับหลินเป่ยเฉินในวิหารเทพกระบี่

มันเป็นก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นมือคน

แต่มีราคาเท่ากับทรัพย์สมบัติที่ติงซานฉือเก็บออมมาตลอดชีวิต

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ติงบัดนี้มีสภาพเหมือนยาจกคนหนึ่ง

ทว่า เมื่อเปิดพลังปราณธาตุได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็สร้างวีรกรรมสุดแสนยิ่งใหญ่ด้วยการกวาดล้างกลุ่มสมาคมนักล่าอสูรแห่งหุบเขาชายแดนเหนือ และเด็ดหัวหัวหน้าโจรป่า ซึ่งในระหว่างที่ค้นตัวผู้เสียชีวิตนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ค้นเจอแร่หินบูชาอีกหนึ่งก้อนโดยบังเอิญ…

ประสบการณ์ทั้งหมดนี้สั่งสอนให้หลินเป่ยเฉินรู้ว่าแร่หินบูชามีค่ามากขนาดไหน

แล้วบัดนี้ อู๋เฟิ่งกูกำลังจะทำการขุดเหมืองแร่หินบูชาเนี่ยนะ?

ต่อให้เป็นเหมืองขนาดเล็ก แต่อย่างน้อยก็ต้องขุดแร่ออกมาได้เป็นตันๆ

ต้องไม่ลืมว่าแร่หินชนิดนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำ

แล้วถ้าเกิดมันเป็นเหมืองแร่หินที่อุดมสมบูรณ์…

อู๋เฟิ่งกูก็จะกลายเป็นหนึ่งในอภิมหาเศรษฐีประจำเมืองทันที

“หรือว่าพวกเรา… ควรจะจับตัวเถ้าแก่อู๋เรียกค่าไถ่ก่อนเลยดีไหม?”

ไป๋ชินหยุนโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ฉู่เหินหลุดออกจากภวังค์ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “จับตัวเรียกค่าไถ่เราคงได้เงินแค่หยิบมือเดียว แถมอาจจะต้องเสียเวลาทำลายพลังวรยุทธ์ ตัดแขน ตัดขา ตัดลิ้น ทำลายดวงตา ตัดเส้นเอ็นกว่าที่ญาติของเขาจะยอมจ่ายเงิน เรื่องโหดร้ายเช่นนี้ข้าทำไม่ได้หรอก สู้ฆ่าเถ้าแก่อู๋ทิ้งไป แล้วฮุบเหมืองแร่หินทั้งหมดมาเป็นของพวกเราเองไม่ดีกว่าหรือ”

ทุกคนหันมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความตกใจกลัว

นั่นมันโหดร้ายยิ่งกว่าการเรียกค่าไถ่ไม่ใช่หรือไง?

“ท่านพี่ ข้าว่าเรามาลงมือกันเลยเถอะ”

เซียวปิงพับแขนเสื้อขึ้นมาพร้อมที่จะลงมือจริงๆ

“เดี๋ยวก่อนสิทุกคน”

อู๋เฟิ่งกูเริ่มมีสีหน้าหวาดผวาขึ้นมาเล็กน้อย “อย่าเพิ่งทำให้ข้ากลัวสิ มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันก็ได้…”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ลุกขึ้นยืนและเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าอู๋เฟิ่งกู

“ยังจะมาพูดคุยอะไรกันบัดนี้อีก?”

หลินเป่ยเฉินต่อยหมัดใส่ใบหน้าชายชราด้วยความโมโห “พวกเราเพียงอยากรับประทานอาหารกลางวันกันเงียบๆ แต่ท่านกลับเสนอหน้ามาอวดร่ำอวดรวย… ถ้าไม่ให้ฆ่าทิ้ง แล้วจะให้ทำเช่นไร”

ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!

ทุกคนพร้อมใจกันเดินเข้ามารุมเล่นงานอู๋เฟิ่งกูคนละตุบสองตุบ

ไม่มีใครชื่นชมบุคคลที่ชอบอวดร่ำอวดรวยอยู่แล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน อู๋เฟิ่งกูในสภาพที่ใบหน้าบวมปูดก็เริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างเชื่องช้า “คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้…”

อู๋เฟิ่งกูถือกำเนิดเกิดในครอบครัวชาวไร่ชาวนา

เขาเติบโตมาพร้อมกับสวนแตงโมและไร่ผลไม้ของครอบครัว แต่ด้วยความที่อยากจะมีสถานะสูงส่งมากกว่าคนทั่วไป อู๋เฟิ่งกูจึงเข้าเรียนในสถานศึกษากระบี่และสอบเป็นบัณฑิตเพื่อเข้ารับราชการ สุดท้ายก็กลายเป็นขุนนางอยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาประจำเมือง

แต่ความผูกพันที่เขามีต่อแตงโมและผลไม้ชนิดต่างๆ ไม่เคยสูญสลายหายไปไหน

การกินตำแหน่งขุนนางในกระทรวงศึกษา ทำให้อู๋เฟิ่งกูมีฐานะร่ำรวยมากพอที่จะกว้านซื้อที่ดินเหลือใช้ในเขตชนบทของเมืองหยุนเมิ่งเอาไว้ได้มากมาย ซึ่งความตั้งใจเดิมของเขาก็คือการเปลี่ยนสภาพพวกมันเป็นสวนแตงโมไว้ดูแลเวลาว่าง

ใช้เวลาไม่นาน หุบเขาและทะเลทรายรกร้างในพื้นที่ห่างไกล ก็กลายเป็นสวนแตงโมชื่อดังของตระกูลอู๋

แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เขาอาศัยหลินเป่ยเฉินช่วยโฆษณาสวนแตงโมของตนเองระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง อู๋เฟิ่งกูจึงมีอันต้องถูกไล่ออกจากราชการ และความเสียหายที่ตามมาหลังจากนั้นก็ใหญ่หลวงนัก

แต่ชายชราผู้นี้เป็นบุคคลที่แปลกประหลาด

เมื่อถูกไล่ออกจากราชการ แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ อู๋เฟิ่งกูกลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม เพราะมันหมายความว่าเขาจะได้มีเวลามาดูแลสวนแตงโมอย่างเต็มที่แล้วนั่นเอง

ต่อมา หลินเป่ยเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังคับเมือง พลอยทำให้สวนแตงโมตระกูลอู๋โด่งดังตามไปด้วยในฐานะคนสนิทของเด็กหนุ่ม ชาวเมืองจึงซื้อหาแตงโมของเขาจนของขาดตลาดอยู่บ่อยครั้ง รายได้ของอู๋เฟิ่งกูจึงไหลมาเทมามากมายมหาศาลเกินคาดคิด

นั่นทำให้เขาสามารถซื้อภูเขาเสี่ยวซีได้ทั้งลูก

อู๋เฟิ่งกูตัดสินใจว่าจะทำสวนแตงโมบนภูเขาลูกนี้

แต่ใครจะรู้เลยว่าตอนที่เริ่มขุดดินกันนั้น พวกเขากลับขุดพบแร่หิน

และเป็นแร่หินบูชาสีดำสนิทคุณภาพสูงเสียด้วย

เมื่อได้รับฟังที่มาที่ไปเช่นนี้แล้ว ทุกคนที่อยู่รอบๆ โต๊ะอาหารก็นั่งอ้าปากเหวอด้วยความตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกอยู่นานทีเดียว

ภูเขาเสี่ยวซีตั้งอยู่นอกเมืองหยุนเมิ่งห่างออกไปประมาณ 3 ลี้

มันเป็นพื้นที่รกร้าง

ไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้ใดมาก่อน

มีหมู่บ้านอยู่เพียงไม่กี่แห่ง

ความจริง มีผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่คนด้วยซ้ำ

ต่อให้ซื้อภูเขาเสี่ยวซีและอาจจะรวมถึงพื้นที่โดยรอบทั้งหมด ก็คงใช้เงินไม่กี่พันเหรียญทองคำ

แต่ใต้ภูเขาลูกนี้กลับซุกซ่อนแร่หินล้ำค่าเอาไว้

หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของบุคคลภายนอก อย่าว่าแต่ยินดีจ่ายเงินหลายพันเหรียญทองคำเลย ต่อให้เป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านเหรียญทองคำ ก็ต้องมีผู้คนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อภูเขาลูกนี้อยู่ดี

นับว่าอู๋เฟิ่งกูได้รับโชคจากสวรรค์อย่างแท้จริง

เรียกได้ว่าไม่เคยมีใครโชคดีเหมือนเขามาก่อน

ที่สำคัญก็คือ กฎหมายของจักรวรรดิเป่ยไห่ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อมีการซื้อที่ดินเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีการค้นพบสิ่งใดก็ตามถูกซ่อนอยู่ใต้ที่ดินเหล่านั้นในภายหลัง สิ่งของทุกอย่างที่ถูกค้นพบก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของคนใหม่โดยไม่มีข้อแม้

นี่คือสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เป็นเจ้าของที่ดิน

นับว่าอู๋เฟิ่งกูได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาสมบัติเข้าแล้วจริงๆ

เมื่อได้รับฟังเรื่องราวทุกอย่างจบลง หลินเป่ยเฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความอิจฉา

แม่งเอ๊ย

ทำไมตาลุงคนนี้ถึงได้โชคดีแบบนี้นะ แล้วทำไมเขาต้องมาลำบากตรากตรำรับงานโฆษณางกๆ อย่างนี้ด้วย?

ถ้าได้ครอบครองภูเขาเสี่ยวซี ชีวิตนี้หลินเป่ยเฉินก็ไม่ต้องลำบากลำบนอีกแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการชาร์จโทรศัพท์มือถือ ค่าดำเนินงานติดต่อเทพีกระบี่ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ นั้น ยังจะมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีกเล่า?

“ข้าเองก็สงสัยมานานแล้วว่าบ่อน้ำพุที่ผุดขึ้นมากลางภูเขาเสี่ยวซีมันเหมือนจะมีแร่ธาตุพิเศษชอบกล เพราะมันทำให้แตงโมออกผลมาลูกใหญ่ รสหวานหอมอร่อยมากกว่าแตงโมที่ปลูกที่อื่น ตอนแรกข้าเข้าใจว่าเป็นเพราะภูเขาลูกนี้มีน้ำบาดาลคุณภาพดี แต่ดูเหมือนว่าเหตุผลที่แท้จริงก็คือบ่อน้ำเหล่านั้นผุดขึ้นมาจากเหมืองแร่ใต้ดิน ซึ่งมีพลังงานจากแร่หินบูชาปะปนมาด้วย…”

เบ้าตาของอู๋เฟิ่งกูบัดนี้กลายเป็นสีเขียวปัด แต่ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ สีหน้ากลับแสดงออกถึงความสุขใจมากเท่านั้น “จะมีใครโชคดีมากไปกว่าข้าอีก นอกจากจะสามารถเปิดเหมืองแร่ได้แล้ว ข้ายังใช้น้ำที่อยู่ใต้ดินมาทำให้แตงโมออกผลได้เยอะมากกว่าเดิมอีกด้วย…”

“ประเสริฐมาก”

ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “แร่ธาตุพวกนั้นมีให้ใช้ ก็มีวันหมด ท่านจะสามารถทำเงินจากพวกมันได้มากกว่าการขายแตงโมเชียวหรือ?”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เบิกโตขึ้นมาทันที…

จริงด้วยสิ

การค้นพบบ่อน้ำวิเศษและเหมืองแร่หินบูชาอาจจะฟังดูน่าหมั่นไส้มากไปหน่อย

แต่ในสภาพแวดล้อมที่รกร้างขนาดนั้น มันจะมีแร่หินอยู่มากมายสักเท่าไหร่กันเชียว?

พนันกันก็ได้ว่าขุดเหมืองได้ไม่เกินหนึ่งปี

ก็คงไม่หลงเหลืออะไรให้ขุดขึ้นมาจากใต้ดินอีกแล้ว

แต่ไม่คิดเลยว่าอู๋เฟิ่งกูจะตอบกลับมาอย่างไม่มีความสะทกสะท้านใดๆ “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเดิมทีความตั้งใจและความฝันของข้า ก็คือการทำสวนแตงโมอยู่แล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ยังจะสามารถกลับมาเป็นคนขายแตงโมได้เสมอ”

ทุกคนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด

อู๋เฟิ่งกูเป็นคนที่แน่วแน่เหมือนกันแฮะ

เถ้าแก่สวนแตงโมยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “อีกอย่าง แม้ว่าการทำเหมืองครั้งนี้อาจจะทำให้ข้าต้องขาดทุนก็จริง แต่อย่าลืมสิว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าสามารถขายแตงโมจนร่ำรวยขึ้นมาได้ขนาดไหนแล้ว ขาดทุนเป็นจำนวนเงินเพียงเท่านี้ หาใช่เรื่องใหญ่หลวงสำหรับข้าไม่”

พรวด!

หลายคนที่กำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มถึงกับสำลักออกมา

พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่เคยเจอใครชอบอวดร่ำอวดรวยมากเท่านี้มาก่อน

ด้วยเหตุนั้นเอง

อู๋เฟิ่งกูจึงถูกทุกคนรุมเล่นงานด้วยความสามัคคีอีกครั้งอย่างไม่ต้องประหลาดใจ

“ตกลงว่าท่านต้องการมาพูดอะไรกับข้ากันแน่?”

หลินเป่ยเฉินกล่าวเสียงห้วนสั้น “หรือว่าท่านอยากจะให้ข้าโฆษณาเหมืองแร่หิน?”

อู๋เฟิ่งกูรีบปั้นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว ข้ายินดีจ่ายค่าโฆษณาให้เจ้า 100,000 เหรียญทองคำ แล้วก็ยินดีที่จะให้เจ้าได้รับเงินปันผล 10 ส่วนจากรายได้ทั้งหมดของเหมืองแร่หินอีกด้วย…”

“ได้รับเงินปันผล 10 ส่วนเนี่ยนะ?”

หัวใจของหลินเป่ยเฉินแทบจะกระดอนออกมาอยู่นอกหน้าอก

“เท่านั้นยังไม่พอหรือ?”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของหลินเป่ยเฉิน อู๋เฟิ่งกูก็รีบกล่าวออกมาทันทีว่า “เพิ่มเป็น 20 ส่วนก็ได้”

“20 ส่วน?”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง

อู๋เฟิ่งกูกัดฟันกรอดและตัดใจกล่าวว่า “เอาล่ะ 30 ส่วนก็ได้ ข้าให้เจ้าได้มากที่สุดเท่านี้ อย่าได้ใจร้ายกับข้าเกินไปนักเลย แค่นี้ก็ถือว่าเจ้าได้รับส่วนแบ่งมหาศาลแล้วนะ”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

โลกนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีคนเอาเงินมาโยนให้เขาเสียอย่างนั้น?

เขากำลังจะได้รับส่วนแบ่ง 30 เปอร์เซ็นต์จากรายได้ทั้งหมดของเหมืองแร่หินราคาแพง

ต่อให้เป็นเหมืองแร่หินที่มีขนาดเล็ก แต่การที่เขาจะได้รับส่วนแบ่งถึง 30 เปอร์เซ็นต์… นั่นก็หมายถึงเงินเป็นจำนวนหลายล้านเหรียญทองคำแล้ว

ยังจะมีอะไรดีมากไปกว่านี้อีก?

นี่มันลาภลอยชัดๆ ไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่แล้วติงซานฉือก็ส่งเสียงกระแอมไอออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหน้าอู๋เฟิ่งกูและถามว่า “เถ้าแก่อู๋คงไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไรกระมัง?”

อู๋เฟิ่งกูตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่มีเจตนาแอบแฝงอันใดกับลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น การมอบเงินปันผลให้เขาถึง 30 ส่วนจากรายได้ทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นโชคดีของหลินเป่ยเฉินมากมายขนาดไหนแล้ว อาจารย์ติงช่วยพูดให้ข้าหน่อยสิ”

“แต่ลำพังท่านจะทำกิจการนี้เพียงคนเดียวก็ได้ ทำไมถึงยินดีมอบส่วนแบ่งให้ข้าล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดกัน?”

“เพราะว่าเจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่”

อู๋เฟิ่งกูตอบกลับมาสั้นๆ ได้ใจความ