บทที่ 445 ผีดิบดูดเลือด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 445 ผีดิบดูดเลือด

ผู้ที่ถูกเลือก!

คำตอบนี้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศในตำหนักไม้ไผ่ไปทันที

ทุกคนหัวเราะคิกคักออกมาด้วยความตลกขบขัน

เพราะในสายตาของพวกเขา หลินเป่ยเฉินไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกเลือกซึ่งควรค่าต่อการเคารพสักเท่าไหร่

แต่สิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือเด็กหนุ่มเป็นผู้ที่ถูกเลือกจริงๆ ซ้ำเขายังสามารถติดต่อเทพีกระบี่ได้เป็นการส่วนตัวอีกด้วย

“เมื่อเจ้าเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในเหมืองของข้า ก็เท่ากับว่าเหมืองหินแห่งนี้จะได้รับการคุ้มครองจากวิหารเทพกระบี่ไปโดยปริยาย”

อู๋เฟิ่งกูยกถ้วยสุราขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนยกมือขึ้นนวดใบหน้าที่บวมช้ำของตนเองและกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้า “เมื่อข่าวเรื่องการเปิดเหมืองแพร่สะพัดออกไป ก็ต้องมีผู้คนมากมายอยากได้มันไปครอบครอง บัดนี้ตัวข้าเป็นเพียงอดีตขุนนางไร้อำนาจปราศจากผู้คนหนุนหลัง อย่าว่าแต่ในมณฑลเฟิงอวี่เลย ต่อให้เป็นในเมืองหยุนเมิ่ง ข้าก็ไม่มีเส้นสายที่จะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยได้อีกแล้ว มีแต่ต้องอาศัยอำนาจของวิหารเทพกระบี่เข้ามาเกื้อหนุนเท่านั้น หากไม่ทำเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะไม่เหลือแม้เหมืองแร่หินหรือสวนแตงโมเลย แม้แต่ชีวิตของข้าเองก็น่าจะหาไม่ด้วยเช่นกัน”

ทุกคนที่ได้รับฟังดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ

นับว่าเถ้าแก่สวนแตงโมคนนี้ มีความคิดอ่านสมกับเป็นขุนนางเก่าจริงๆ

เขาไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะโชคช่วยเพียงอย่างเดียว

“ดังนั้นท่านจึงมาหาข้า?”

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางขบคิดอะไรเล็กน้อย “ต่อให้ข้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกจริงๆ แต่ข้าก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เพราะเหตุใดท่านถึงคิดว่าข้าจะอยากได้ส่วนแบ่งของท่านเล่า?”

อู๋เฟิ่งกูตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังและจริงใจ “สัญชาตญาณ”

หืม?

อีตาลุงคนนี้

เขาอุตส่าห์ทำตัวเป็นคนดีแล้วเชียว นี่จะด่าหาว่าเขาหน้าเงินอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?

แต่หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับเลยว่าสัญชาตญาณของอู๋เฟิ่งกูแม่นยำไม่ใช่น้อย

สถานการณ์ในขณะนี้ของหลินเป่ยเฉินแทบไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย

เขาขาดแคลนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ขาดแคลนเงิน

หากมีเงินมากพอ เขาก็จะสามารถขอความช่วยเหลือจากเทพีกระบี่เมื่อไหร่ก็ได้ จะใช้บริการเสริมในแอปต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือเมื่อไหร่ก็ได้ และไม่แน่ว่าการอัปเกรดระบบโทรศัพท์ในอนาคต อาจจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาลด้วยก็เป็นได้

และตราบใดที่เขายังมีเงินชาร์จแบตโทรศัพท์อยู่เรื่อยๆ หลินเป่ยเฉินก็จะยังคงเป็นผู้ไร้เทียมทานต่อไป

ไม่แน่ในอนาคต อาจจะมีแอปพลิเคชันที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล นำพาเขากลับโลกมนุษย์ได้สำเร็จ

ข้อเสนอของอู๋เฟิ่งกูจึงใช่ว่าจะไม่น่าสนใจ

แต่เขาก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงดูให้ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดของอู๋เฟิ่งกูเป็นสิ่งที่ถูกต้องทุกอย่าง

เมื่อข่าวเรื่องการขุดเหมืองแร่หินบูชาได้รับการเผยแพร่ออกไป ย่อมมีบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดจำนวนมาก อยากได้เหมืองแห่งนี้ในครอบครองเป็นของตนเอง

นั่นหมายความว่าหลินเป่ยเฉินจะมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเหมืองแร่หินเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง

ติดอยู่ตรงที่ว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามเป็นพวกที่ตามตัวไม่ค่อยได้ เกิดเขาต้องการความช่วยเหลือจากนางอย่างกะทันหัน แต่ไม่สามารถติดต่อได้ แบบนั้นเรื่องราวไม่เลวร้ายไปกันใหญ่หรือ?

ความเสี่ยงและโอกาสเป็นสิ่งที่มาควบคู่กัน

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าติงซานฉือ ฉู่เหินและอาจารย์คนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว

อาจารย์เหล่านั้นต่างก็ส่ายหน้าและบอกว่าการเป็นหุ้นส่วนในเหมืองแร่หินบูชานี้ ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง

เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าความโลภจะครอบงำ ทำให้จิตใจมนุษย์ชั่วร้ายได้มากขนาดไหน

มีคนต้องตายเพราะความโลภมากมายเกินพอแล้ว

“เจ้ายังอายุน้อยนัก”

ติงซานฉือพูดอย่างตรงไปตรงมา

หลินเป่ยเฉินยังมีโอกาสทำเงินได้อีกมากมาย

อย่างเช่น การรับงานโฆษณาที่เขากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ไงล่ะ

มันเป็นงานที่ได้เงินมาง่ายๆ ไม่ต้องนำชีวิตไปเสี่ยงอันตราย

“เจ้าอาจจะ… ไม่ได้ร้อนเงินอย่างที่ตัวเองคิดก็เป็นได้”

ฉู่เหินพูดออกมา

ไป๋ชินหยุนยกมือตบหน้าอกตนเอง แววตามุ่งมั่น “เงินที่เจ้าติดหนี้ข้าอยู่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ายังไม่ได้อยากเอาคืนตอนนี้หรอก”

ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาอย่างชัดเจน

บัดนี้ อู๋เฟิ่งกูจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ

แต่มือของเขาที่กำลังยกถ้วยสุราขึ้นมากลับสั่นเทาเล็กน้อย และเถ้าแก่สวนแตงโมก็เริ่มหายใจหนักมากขึ้น เพียงมองดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้มีลักษณะท่าทีผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินยังคงพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างจริงจัง

ความจริง มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากไม่น้อย

คนเราเมื่อได้ลองปีนขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าอดีต

ก็มีแต่อยากจะปีนขึ้นไปสู่จุดที่สูงมากขึ้นกว่าเดิมทั้งนั้น

อำนาจ ชื่อเสียงและเงินทอง เป็นเหมือนใยแมงมุมที่โอบล้อมมาจากทุกทิศทุกทาง ยากต่อการสลัดหลุด

เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินไม่ยอมให้คำตอบออกมาสักที อู๋เฟิ่งกูจึงสูดหายใจลึกและพูดว่า “เจ้าจะได้เงินปันผล 40 ส่วน”

เกิดความเงียบดังขึ้นในตำหนักไม้ไผ่อีกครั้ง

“ในเหมืองมีแร่อยู่เยอะแค่ไหน?”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมา สอบถามเสียงเครียด

อู๋เฟิ่งกูลังเลเล็กน้อยและตอบตามความเป็นจริง “ข้าเคยลงไปดูด้วยตัวเองมาแล้ว ลึกลงไปใต้ดินประมาณ 65 เซี๊ยะ เจ้าจะได้เห็นบ่อแร่คุณภาพปานกลาง และต่ำลงไปกว่านั้นอีก 65 เซี๊ยะ ก็จะเป็นบ่อแร่คุณภาพสูง กินระยะทางยาวไกลประมาณ 3 ลี้”

ตำหนักไม้ไผ่เงียบกริบจนมีเพียงเสียงหายใจของผู้คน

ดวงตาทุกคู่เป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที

ไม่เว้นแม้แต่ดวงตาของติงซานฉือ

นี่มันขุมทรัพย์มหาศาลเชียวนะ

ถ้าไม่รวยก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้ว

นับดูทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ เหมืองแร่หินของอู๋เฟิ่งกูแห่งนี้ น่าจะเป็นเหมืองที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดติด 20 อันดับแรกแน่นอน

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าติงซานฉือเป็นครั้งที่สอง

อาจารย์และลูกศิษย์มองหน้ากัน

ติงซานฉือถึงกับต้องชะงักกึก

เพราะเขาพบว่าบัดนี้ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายร้อนแรงยิ่งกว่าดวงอาทิตย์แผดเผาบนท้องฟ้า

มันทำให้อาจารย์ติงรู้สึกว่าลูกศิษย์ของตนเองกำลังจะถูกความโลภเข้าครอบงำ

แย่แล้ว

ติงซานฉือพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

แต่หลินเป่ยเฉินก็ชิงพูดออกไปเสียก่อนว่า

“60 ส่วน”

เขาหันกลับไปมองหน้าอู๋เฟิ่งกู “ข้าต้องการส่วนแบ่ง 60 ส่วนจากรายได้ทั้งหมด”

“ว่าไงนะ?”

อู๋เฟิ่งกูร้องเสียงหลงพร้อมกับลุกขึ้นยืนเหมือนมีใครไปเหยียบเท้าเขาก็ไม่ปาน “เป็นไปไม่ได้ นี่คือข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงไปกับข้อเสนอของหลินเป่ยเฉินไม่น้อยไปกว่าเถ้าแก่สวนแตงโม

ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงมีความกล้าหาญในการเจรจาต่อรองขนาดนี้

ถ้าทุกอย่างตกลงตามข้อเสนอของเขา เหมืองแร่หินบูชาก็จะเปลี่ยนมือจากอู๋เฟิ่งกูกลับกลายเป็นของหลินเป่ยเฉินโดยสมบูรณ์

หลินเป่ยเฉินไม่รีบร้อน

เขาทอดสายตามองดวงตะวันบนท้องฟ้าที่ลอยตัวอยู่นอกหน้าต่าง ก่อนพูดออกมาอย่างแช่มช้าว่า “นี่คือข้อเสนอสุดท้ายของข้า จะไม่มีการเจรจาต่อรองกันอีกแล้ว การประลองรอบชิงชนะเลิศจะเริ่มขึ้นในตอนบ่าย เถ้าแก่อู๋มีเวลาตัดสินใจจนถึงตอนนั้น เมื่อสัญญาณเริ่มการประลองรอบชิงดังขึ้นเมื่อไหร่ ข้าจะไม่กลับมาพูดคุยกับท่านเรื่องเหมืองหินบูชาพวกนี้อีก และทุกอย่างที่ท่านพูดออกมา ทุกสิ่งที่ข้าและผู้คนของข้าได้ยิน จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า

อู๋เฟิ่งกูอ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดขัดจังหวะ “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าไม่มีอะไรจะพูดคุยกับท่านอีก สิ่งเดียวที่ข้าอยากรับฟังจากท่าน ก็คือคำตอบของข้อเสนอนี้เท่านั้น”

อู๋เฟิ่งกูปิดปากของตนเองกลับลงไปอีกครั้ง

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก

เพราะทุกคนรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินได้ตัดสินใจเด็ดขาดเรียบร้อยแล้ว

ถ้าพูดอะไรออกมาอีกในยามนี้ ก็จะถือว่าพวกเขาไม่เคารพการตัดสินใจของหลินเป่ยเฉิน

ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ

“อาหารเย็นหมดแล้ว ทุกท่านเชิญรับประทานอาหารกันก่อนเถิด…”

หวังจงทำลายความเงียบขึ้นด้วยน้ำเสียงคึกคักแจ่มใส

แล้วตำหนักไม้ไผ่ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ทุกคนดื่มกินรับประทานอาหารพร้อมกับหัวเราะพูดคุยกัน เหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน

หลินเป่ยเฉินบังคับให้ตนเองดื่มน้อยที่สุด เพราะเขายังต้องขึ้นประลองในรอบบ่าย

มีเพียงอู๋เฟิ่งกูคนเดียวเท่านั้นที่ออกไปนั่งตากแดดอยู่ด้านนอก เถ้าแก่สวนแตงโมนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน คล้ายกำลังขบคิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง และมีเม็ดเหงื่อไหลลงมาจากสองข้างขมับตลอดเวลา

แต่เถ้าแก่สวนแตงโมไม่ได้เหงื่อไหลเพราะความร้อน

อู๋เฟิ่งกูเหงื่อตกเพราะความหนักใจต่างหาก

หลังจากนั้นไม่นาน การรับประทานอาหารในตำหนักไม้ไผ่สิ้นสุดลง

สถานศึกษากระบี่ที่สามเริ่มกลับมามีเสียงผู้คนพลุกพล่านอีกครั้ง

“ได้เวลากลับไปเตรียมตัวขึ้นเวทีแล้วสิ”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไปจากตำหนักไม้ไผ่

เขาไม่ได้ชำเลืองมองอู๋เฟิ่งกูแม้แต่หางตา

ถามสักคำก็ไม่ถาม

เพียงเดินผ่านไปเฉยๆ

เหมือนกับว่าชายชราร่างอ้วนที่นั่งเหงื่อแตกเต็มตัวอยู่ข้างทางคนนี้ไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

หลายคนถึงกับโล่งใจ

พวกเขาเดินตามหลินเป่ยเฉินออกไปจากตำหนักไม้ไผ่

แต่ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นประตูรั้ว

“เดี๋ยวก่อน ทุกคนหยุดก่อน”

ในที่สุด อู๋เฟิ่งกูที่ใบหน้าซีดเซียวและเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อเหมือนคนป่วยก็วิ่งตามพวกเขาออกมา

ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ตะโกนบอกหลินเป่ยเฉินเหมือนคนเสียสติว่า “ตกลง ข้ายินดีรับข้อเสนอของเจ้า เงินปันผล 60 ส่วนจากรายได้ทั้งหมด จะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น… หลินเป่ยเฉิน เฮ้อ เจ้านี่มันเป็นผีดิบที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อผู้อื่นจริงๆ”