Chapter 74 ท่านผู้สืบทอดเป็นคนดีจริงๆ

ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything

เฉินเฉินรับแก่นแท้เจ้าสำนัก และทำความเข้าใจสิ่งที่มันบอกไว้ได้คร่าวๆหลังจากที่มองผ่านๆ

 

ระดับเนื้อหาของมันนั้นคล้ายคลึงกับเทคนิคความคิดจักรพรรดิของราชวงศ์โบราณในโลกก่อน

 

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ละเอียดเท่ากับเทคนิคความคิดจักรพรรดิ

 

ส่วนใหญ่นั้นมันเป็นเพียงแค่ตรรกะที่คลุมเครือซึ่งดูไม่มีความชัดเจน

 

มันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ เนื่องจากคนที่ฝึกตนนั้นชื่นชอบสิ่งที่เหมือนกับความฝัน

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เซี่ยวอู่โยวก็มองคำแนะนำของเฉินเฉิน

 

ดูเหมือนว่าเฉินเฉินจะกังวลว่าเขาอาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำแนะนำพวกนี้ได้ จึงให้คำแนะนำและคำอธิบายแต่ละข้อยาวเป็นร้อยคำ

 

เมื่อได้เห็นแนวความคิดที่ชัดเจนของเขา สีหน้าของเซี่ยวอู่โยวก็เปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ในครั้งนี้ มีแค่ประโยคดีที่อยู่ในหัวของเขา: พวกเราก็ทำได้ไม่ใช่หรอ?

 

ในฐานะเจ้าสำนัก เขาเป็นคนที่ฉลาดจริงๆ เขาสามารถประเมินได้ว่าคำแนะนำของเฉินเฉินนั้นใช้งานได้รึเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม… ศิษย์ของเขาเกิดในหมู่บ้านเล็กๆไม่ใช่หรอ? เขาคิดเรื่องที่สุดยอดและไร้หลักการตั้งมากมายขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

 

หรือจะมีสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติอยู่ในโลกนี้จริงๆ?

 

เมื่อคิดแบบนี้ เซี่ยวอู่โยวก็เงยหน้าขึ้นมามองเฉินเฉินโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังอ่านแก่นแท้เจ้าสำนักอยู่ เขาก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้

 

ความแตกต่างมันกว้างเกินไป…

 

ในตอนนี้ แก่นแท้เจ้าสำนักดูเหมือนหนังสือสำหรับมือใหม่ไปเลย

 

โดยไร้ซึ่งความลังเล เซี่ยวอู่โยวก็ปล่อยพลังปราณออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง และเรียกแก่นแท้เจ้าสำนักที่อยู่กับเฉินเฉินกลับเข้ามาในแหวนเก็บของของเขาในทันที

 

 

“อะแฮ่ม ข้าส่งให้เจ้าผิดเล่ม สำเนาแก่นเจ้าสำนักของสำนักเทียนหยุนดูเหมือนจะหายไป ในส่วนของคำแนะนำพวกนี้ที่เจ้าให้มานั้น…. อืม พวกมันยอดเยี่ยมมากเลย

 

“แต่ว่า มีหลายข้อที่ไม่สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักเทียนหยุนได้ อย่างเช่นมาตรการจูงใจ พูดตามตรงตอนนี้สำนักเทียนหยุนไม่สามารถจ่ายหินวิญญาณมากมายขนาดนั้นได้หรอก”

 

ในทันทีที่เซี่ยวอู่โยวพูดเรื่องพวกนี้ออกมา เฉินเฉินก็พูดขัด “ท่านอาจารย์ มีเรื่องบางอย่างที่ข้าลืมบอกท่าน ศิษย์สำนักภายนอกจางจีได้เจอหินวิญญาณแรดในภูเขาไร้ผู้คนในภูเขาเทียนหยุนเมื่อไม่นานมานี้ครับ จำนวนที่มีอยู่ก็พอใช้ได้และสามารถตอบสนองความต้องการของสำนักเทียนหยุนในตอนนี้ได้ครับ”

 

เซี่ยวอู่โยวตกตะลึงกับคำพูดพวกนี้ หินวิญญาณแรดคือของจำเป็นสำหรับการขัดเกลาอาวุธโบราณและสมบัติเวทมนตร์ นอกจากนี้มันยังตีเป็นมูลค่าเงินได้อย่างมหาศาล ดังนั้นถ้าพวกเขาเจอหินจริงๆ มันก็จะนำพาความมั่งคั่งมาให้พวกเขาอย่างมหาศาล!

 

‘สำนักเทียนหยุนได้รับการอวยพรจากสวรรค์จริงๆสินะ?’ เขาสงสัย

 

“ถ้าอย่างนั้นขอฝากเรื่องนี้เอาไว้กับเจ้าก็แล้วกัน จำเอาไว้ปรึกษาเรื่องทุกอย่างกับพวกผู้อาวุโสด้วย เพราะพวกเขามีบางสิ่งที่น่าจะรู้ดีกว่าเจ้า แล้วก็บอกให้ข้ารู้ด้วยว่ามีหินแรดอยู่มากแค่ไหนหลังจากที่เจ้าทำการสำรวจแล้ว” เซี่ยวอู่โยวพูดอย่างเด็ดขาดหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ๆ

 

สำนักเทียนหยุนใกล้จะล่มสลายแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหากับการปล่อยให้เฉินเฉินจัดการกับเรื่องยุ่งยากนี้

 

“ฮ่าฮ่า! ท่านอาจารย์ฉลาดมากเลยครับ!” เฉินเฉินหัวเราะเสียงดังแล้วหันหลังเดินออกไปจากตำหนักเจ้าสำนัก

 

ด้วยการจ้องมองแผ่นหลังของศิษย์ สายตาของเซี่ยวอู่โยวก็ดูซับซ้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

ศิษย์ของเขาเป็นที่รักใคร่ของสวรรค์ แต่จิตใจของเขายังต้องได้รับการขัดเกลา

 

ยกตัวอย่างเช่น การที่เฉินเฉินแนะนำให้จัดตั้งจุดฝึกงานในจี่โจวซักจุดสองจุดหรือมากกว่าและการเข้มงวดในเรื่องการตรวจสอบอย่างการลักขโมยและการฆาตรกรรมควบคู่ไปกับการรับรองความปลอดภัยของมนุษย์ที่เข้ามาทดสอบคุณสมบัติของพวกเขา

 

สรุปง่ายๆเลยก็คือ เขาเชื่อในพลังของมนุษย์มากกว่าพลังเซียน

 

“มนุษย์ก้าวข้ามเจตจำนงของสวรรค์… นี่มันคือคำกล่าวอ้างของสำนักมาร”

 

เซี่ยวอู่โยวถอนหายใจเล็กน้อยก่อที่จะทำการฝึกตนต่อ

 

 

สามวันต่อมา

 

บนภูเขาเทียนหยุน มีศิษย์สำนักภายนอกกลุ่มนึงกำลังขุดเหมืองอยู่บนยอดเขาวิญญาณแรด

 

แต่เดิมนั้นยอดเขาวิญญาณแรดเป็นแค่ภูเขาไร้ผู้คน แต่มันก็ได้รับการตั้งชื่อหลังจากที่ค้นพบหินวิญญาณแรดเมื่อวานซืน

 

“อา พวกเราเคยได้รับหินวิญญาณจากแค่การตักน้ำ แต่ตอนนี้พวกเราต้องมาทำเหมืองหรอเนี่ย!”

 

“นั่นสิ! ตักน้ำอาจจะไม่ใช่งานที่ง่ายกว่าทำเหมือง แต่การทำเหมืองมันสกปรกเกินไป!”

 

ศิษย์ภายนอกกลุ่มนึงกำลังบ่นในขณะที่ทำเหมือง

 

ในช่วงสองวันมานี้ มีกฎมากมายได้ถูกนำมาใช้ในสำนักเทียนหยุน ในบรรดากฎเหล่านั้นระบบเก่าอย่างการตักน้ำเพื่อให้ได้รับหินวิญญาณสำหรับศิษย์ภายนอกที่ยังไม่มีสถานะการฝึกตนนั้นได้ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแบบที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแทน

 

ศิษย์ผู้ชายส่วยใหญ่ไม่ได้มีปัญหากับมัน แต่ศิษย์ผู้หญิงจะไปทนได้ยังไงกัน?

 

หลังจากที่ออกมาจากเหมือง พวกเขาก็เนื้อตัวเต็มไปด้วยเขม่าจนดูเหมือนกับมนุษย์ถ้ำ

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะได้รับหินวิญญาณจำนวนมากหลังจากการทำเหมือง แม้ว่าจิตใจของพวกเขาจะบอกว่าไม่ แต่ร่างกายของพวกเขาต้องการมันจริงๆ

 

“ข้าได้ยินมาว่าคนใหญ่คนโตในสำนักต้องการปรับปรุงสำนักเทียนหยุนขึ้นใหม่ แถมยังมีการเพิ่มระบบไล่ออกเข้ามาด้วย มีข่าวลือว่าพวกที่ล้มเหลวในการเข้าสู่สถานะการฝึกตนหลังจากผ่านไปสองเดือนแล้วจะถูกไล่ออกจากสำนัก!”

 

“การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่ายซะด้วย ข้าได้ยินมาว่าพวกเราจะได้รับลำดับตามสถานะการฝึกตนของพวกเรา พวกที่อยู่ลำดับล่างจะได้รับการสนับสนุนพิเศษจากสำนัก แต่ถ้ายังไม่มีสถานะการฝึกตนหลังจากที่ได้รับการสนับสนุนสองเดือน ก็จะต้องไปที่โลกมนุษย์!”

 

“ใช่ ใช่ ข้าเองก็รู้เรื่องกฎลำดับชั้นแล้ว พวกผู้อาวุโสกับท่านเจ้าสำนักก็เกี่ยวข้องด้วย พวกเจ้ารู้รึเปล่าว่าผู้อาวุโสโจวของสำนักภายนอกอารมณ์ไม่ดีตลอดทั้งวันเลยหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาถูกจัดลำดับให้อยู่ต่ำกว่าศิษย์ภายในบางคน! เขาสร้างเรื่องยุ่งยากให้พวกเราทุกวันเลย!”

 

ศิษย์สำนักภายนอกกลุ่มนี้กำลังหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ และหวังว่าพวกเขาจะได้เจอคนที่เริ่มการปรับปรุงนี้และจะวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างรุนแรง

 

“ข้าได้ยินมาว่าเป็นความคิดของท่านผู้อาวุโสใหญ่!”

 

“อย่างนั้นหรอ?”

 

“ใช่ ข่าวนี้กระจายไปทั่วทั้งสำนักแล้ว นอกจากเขาจะมีใครอื่นที่มีอำนาจขนาดนี้หล่ะ!”

 

“ผู้อาวุโสใหญ่! ไอ้แก่เวร!”

 

กลุ่มศิษย์สำนักภายนอกสบถ และเปลี่ยนความสิ้นหวังกับความโกรธของพวกเขาเป็นพลังในการขุดเหมือง

 

ณ ตอนนี้ มีศิษย์หญิงคนนึงกำลังมองขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกล สายตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม

 

“ดูนั่นสิพวกเจ้า ท่านผู้สืบทอดมาส่งเครื่องดื่มให้พวกเราอีกแล้ว!”

 

กลุ่มศิษย์ภายนอกทุกคนมองไปทางยอดเขาในตอนที่ได้ยินเช่นนี้ แล้วก็ได้เห็นชายหนุ่มคนนึงในชุดสีขาวที่กำลังพลิ้วไหวกำลังมองมาทางพวกเขาด้วยความเห็นใจ

 

“ท่านผู้สืบทอดจะเป็นคนดีเกินไปแล้ว เขาเข้าใจศิษย์สำนักภายนอกอย่างพวกเราและส่งน้ำกับอาหารมาให้ทุกวันเลย”

 

ศิษย์หญิงคนนึงที่มีสีหน้ามืดมนรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ในตอนที่เธอเช็ดพวกมันออกไป น้ำตาของเธอก็ได้ผสมกับฝุ่นดินโดยที่เธอไม่รู้ตัว

 

“ช่วงไม่กี่วันพวกนี้ ท่านผู้สืบทอดคอยนำของดีๆมาให้พวกเรา… เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสใหญ่แล้ว ท่านผู้สืบทอดดีกว่าเยอะเลย! ถ้าท่านผู้สืบทอดได้เป็นเจ้าสำนักเร็วๆก็ดีสิ”

 

“ชู่วว ลดเสียงหน่อย ถ้าผู้อาวุโสใหญ่ได้ยินเข้า เจ้าได้ถูกถลกหนังทั้งเป็นแน่! เขาพูดถึงในการปฏิรูปว่าพลังคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในสำนักเทียนหยุน และมีแค่คนที่อยู่ที่หนึ่งเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าสำนัก!”

 

“บ้าชะมัด! นี่มันน่ากลัวจริงๆ! แบบนี้มันตั้งใจจะสกัดกั้นท่านผู้สืบทอดชัดๆ!”

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่สวนของยอดผู้อาวุโสเขาเถียนตู ผู้อาวุโสใหญ่กำลังแสดงความโกรธและความหม่นหมองออกมาผ่านทางดวงตาของเขาอย่างชัดเจน

 

มีผู้อาวุโสอีกหลายคนที่อยู่ข้างๆเขาซึ่งดูซื่อมากๆ

 

เพล๊ง

 

ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเขวี้ยงแก้วชาใบโปรดของเขา

 

“ใคร!? ใครมันเป็นคนแพร่ข่าวลือนี้!? ใครกันที่บอกว่าข้าเป็นคนเริ่มการปฏิรูป!?”

 

ผู้อาวุโสมองหน้ากันและเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดหนึ่งในพวกเขาก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเป็นผู้สืบทอดนะ ในตอนนั้น เขาขอให้พวกเราออกกฎ แต่ข้าไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอนนี้พอมาคิดทบทวนดูดีๆแล้ว ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

“เฉินเฉิน เจ้าเด็กนั่น! ที่มันทำตัวเกเรแบบนี้ก็แค่เพราะมันได้รับการสนับสนุนจากท่านเจ้าสำนัก! มันใส่ร้ายข้า! นี่มันช่างอุกอาจยิ่งนัก!” ผู้อาวุโสใหญ่สบถอย่างโกรธเคือง

 

ในตอนที่เขาออกไปข้างนอกในช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาต้องเจอกับสายตาแปลกๆของศิษย์ทุกคน ในบางครั้ง พวกเขาถึงกับวิพากษ์วิจารณ์เขาในขณะที่พูดคุยกันเองด้วย

 

ความภาคภูมิใจของเขาจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน?

 

“ไม่ได้แล้ว ข้าต้องหาทางจัดการกับการใส่ร้ายนี้และกอบกู้ชื่อของข้า เจ้าเด็กเฉินเฉินนั้นเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ!”

 

ในขณะที่สบถ ผู้อาวุโสใหญ่ก็พยายามคิดหาทางแก้ ในตอนนี้เองก็มีผู้อาวุโสอีกคนเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวล

 

“พี่ใหญ่ เทียนกังยอมรับไม่ได้ที่ถูกจัดอยู่ลำดับต่ำกว่าเฉินเฉินและไปท้าทายเฉินเฉินที่ยอดเขาจิตวิญญาณแรดครับ… พวกเราควรจะทำยังไงดี?”

 

สายตาของผู้อาวุโสลุกโชนขึ้นมาเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา

 

ในช่วงสองวันมานี้ สมาชิกสำนักได้คิดระบบจัดลำดับพลังขึ้นมา และเฉินเฉินก็มีความหน้าด้านอย่างมากจากการจัดอันดับให้เขาอยู่ที่สิบ

 

นอกจากเจ้าสำนัก ยังมีผู้อาวุโสระดับสูงอีกห้าคนในสำนัก ดังนั้นหกอันดับแรกจึงถูกยึดไปแล้ว

 

ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ เขาได้ถูกจัดอยู่ลำดับเจ็ด ในขณะที่ผู้อาวุโสคุมกฎอยู่ลำดับแปด ตามมาด้วยผู้อาวุโสแปรธาตุที่อยู่ลำดับเก้า

 

ต่อมาก็คือตำแหน่งที่สิบ!

 

‘เจ้าเด็กนี่พึ่งจะเข้าร่วมสำนักมาได้ไม่นานแต่เขากลับมอบลำดับที่ต่ำต้อยขนาดนี้ให้กับข้า! แบบนี้มันหน้าด้านไม่ใช่รึไง!? เขาช่างหน้าด้านจริงๆ!’

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เย้ยหยันแล้วสั่งเขา “ปล่อยให้เทียนกังทำตามใจชอบเถอะ เจ้าเด็กเวรเฉินเฉินเป็นคนตั้งกฎเอง ศิษย์ได้รับอนุญาตให้ท้าประลองกันเอง ถ้าเทียนกังท้าประลองเขา มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการล่วงเกินและเจ้าสำนักก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วย”

 

ผู้อาวุโสที่พึ่งเข้ามานั้นมีความกังวลอย่างเหลือเชื่อ ซุนเทียนกังคือศิษย์ที่แก่ที่สุดของสำนักและเขาก็เข้าสู่ขั้นกลางของก่อสร้างรากฐานมาตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินพึ่งจะเข้าสู่ขั้นต้นเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง

 

“ผู้อาวุโสใหญ่… เฉินเฉินคือเจ้าสำนักในอนาคตนะครับ พวกเราต้องแสดงความเคารพเขาบ้าง!”

 

ในตอนที่ผู้อาวุโสใหญ่ได้ยินคำว่า ‘เคารพ’ เขาก็สูญเสียความเยือกเย็นแล้วสบถออกมา “เคารพ? ไม่มีทางซะหรอก! เจ้าเด็กเวรเฉินเฉินนั่นต้องได้รับบทเรียนซะบ้าง! ปล่อยเขาไป! ให้เทียนกังท้าประลองเขา! เจ้านั่นจะได้รู้จักเจียมตัวซะบ้าง!”