หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ผู้อาวุโสก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะรู้ว่าผู้อาวุโสใหญ่โกรธจริงๆ
การให้ผู้สืบทอดได้พ่ายแพ้บ้างมันก็อาจจะเป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน…
เขายังไม่ได้กลายเป็นเจ้าสำนัก แต่เขามีความกล้าที่จะใส่ร้ายผู้อาวุโสใหญ่ แล้วแบบนี้มันจะไม่ยิ่งหนักขึ้นหลังจากที่เขากลายเป็นเจ้าสำนักหรอ? เขาจะไม่ทรมานพวกเขาทุกวันเลยรึไง?
…
บนยอดเขาจิตวิญญาณแรด เฉินเฉินกำลังส่งน้ำวิญญาณให้กับกลุ่มศิษย์สำนักภายนอก
นอกจากนี้ ในทุกๆครั้งที่ศิษย์ภายนอกมาหา เขาก็จะตักซุปไก่ให้ด้วย
“ศิษย์น้อง นี่คือคำแนะนำสำหรับเจ้า เจ้าต้องทนรับความยากลำบากเพื่อที่จะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่”
“ท่านผู้สืบทอด! ข้าได้รู้ซึ้งแล้ว!”
“ศิษย์น้องหญิง ไม่ต้องร้องไห้ไปหรอก ถ้าเจ้าไม่มีความกล้าที่จะฝ่าพายุ เจ้าก็จะไม่ได้เห็นสายรุ้ง! การขุดเหมืองอาจจะหนัก แต่มันคือการฝึกให้เจ้าอดทน จงตั้งใจทำต่อไปเถอะ!”
“ขอบคุณค่ะ ท่านผู้สืบทอด!”
“ศิษย์น้อง วันหนึ่งเมื่อเจ้าได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียน เจ้าจะนึกย้อนมาถึงประสบการณ์ในวันนี้และตระหนักได้ว่านี่แหล่ะคือสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง!”
“กลายเป็นจักรพรรดิเซียน…”
“ศิษย์น้องหญิง สวรรค์จะมอบหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเจ้า แต่เจ้าต้องยอมผ่านความยากลำบากก่อน ความรู้สึกทะเยอทะยานที่แรงกล้าและการทำงานหนัก ตอนนี้ยิ่งเจ้าทำงานหนักเท่าไหร่ สวรรค์ก็ยิ่งให้คุณค่ากับเจ้ามากเท่านั้น!”
ผู้ฝึกตนของโลกเซียนนั้นเป็นคนเรียบง่ายที่ไม่เคยได้ฟังคำพูดชมเชยที่ดูงดงามแบบนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงรู้สึกดีใจและตบมือให้เขา หลังจากที่รับประทานซุปและดื่มน้ำวิญญาณเสร็จ ไม่นานนักพวกเขาก็เริ่มทำเหมืองกันต่ออย่างกระฉับกระเฉง
เมื่อได้เห็นเหล่าคนที่กำลังยุ่งนี้ เฉินเฉินก็ถอนหายใจออกมา
“พวกเขาคืออนาคตของสำนักเทียนหยุน!”
ในทันทีที่เขาพูดออกมา เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เข้ามาขัดขวางความคิดของเขา
“เฉินเฉิน! ข้าอยากท้าประลองกับเจ้า!”
เฉินเฉินขมวดคิ้วแล้วหันไปดูจากนั้นก็ได้เห็นชายร่างกำยำซุนเทียนกังกำลังเดินมาหาเขาพร้อมกับศิษย์ภายในกลุ่มนึง ทุกคนต่างมีความฮึกเหิมและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
กลุ่มศิษย์ภายนอกที่กำลังทำเหมืองอยู่เองก็หยุดงานของพวกเขาแล้วมองมาด้วยความสงสัย
“นั่นพี่ใหญ่ซุนเทียนกังของสำนักภายในนี่ เขาอยากท้าประลองกับท่านผู้สืบทอด!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ต้องอยากยับยั้งท่านผู้สืบทอดแน่ ๆ เขาก็เลยส่งหลานของเขามาต่อสู้!”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาจงใจจัดลำดับผู้สืบทอดให้สูงขนาดนั้น… เหตุผลมันเป็นเช่นนี้นี่เอง! พวกที่อยู่ลำดับสูงไม่สามารถท้าประลองกับคนที่อยู่ลำดับต่ำกว่าได้! ผู้อาวุโสใหญ่แค่อยากให้ท่านผู้สืบทอดเป็นบันไดความสำเร็จให้กับหลานชายของเขา!”
กลุ่มศิษย์ภายนอกกระซิบกระซาบกันเองในขณะที่ปล่อยให้จินตนาการของพวกเขาฟุ้งซ่าน ไม่นานนัก พวกเขาก็มองภาพซุนเทียนกังเป็นวายร้ายคนนึง
‘ถึงยังไง ผู้สืบทอดก็เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ มีความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน ความเท่าเทียม พูดจาอ่อนโยน และมีจิตใจดี คนอย่างเขาจะเป็นวายร้ายไปได้ยังไงกัน? ’
“ศิษย์น้องซุน เจ้าอยากท้าประลองกับข้าหรอ?”
ในขณะที่มองซุนเทียนกังที่กำลังเดินมาหาเขา ใบหน้าของเฉินเฉินนั้นเงียบสงบ
“ใช่! ตอนนี้มีกฎใหม่ในสำนักที่เปิดโอกาสให้ศิษย์ได้ท้าประลองกับคนอื่นในทุกเจ็ดวัน คนที่ถูกท้าประลองจะไม่สามารถปฏิเสธได้เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุผลที่สมควร!”
ซุนเทียนกังค่อนข้างมั่นใจและยึดมั่นในตัวเอง ในอดีต เขาไม่กล้าทำร้ายเฉินเฉินเพราะสถานะของเฉินเฉินสูงกว่าเขา ดังนั้น ถ้าเขาทำร้ายเฉินเฉิน เขาก็คงจะถูกทำโทษอย่างรุนแรงสำหรับการล่วงเกินคนที่มีสถานะสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม กฎก่อนหน้านี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วและกฎใหม่ของสำนักเทียนหยุนก็คือว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นคนที่อยู่บนจุดสูงสุด
เฉินเฉินพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เขาตอบ “ตามกฎแล้ว เจ้าต้องเขียนสาส์นท้าประลองมาด้วยนะ ถ้าเจ้าไม่มีสาส์นถ้าประลอง ข้าก็ขอปฏิเสธที่จะรับคำท้า”
“สาส์นท้าประลองหรอ?” ซุนเทียนกังสับสน เขาเห็นแค่ประโยคที่บอกว่าการท้าประลองเป็นเรื่องที่อนุญาตให้ทำได้ แต่เขาไม่ได้สังเกตดูข้อจำกัดอื่นๆเลย
นอกจากนี้ ข้อยับยั้งส่วนใหญ่ก็เพื่อทำให้ศิษย์เลือกคู่ประลองของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและความพยายามของทุกคน
ซึ่งนี่รวมทั้งการร่างสาส์นท้าประลองด้วย
“พี่ใหญ่ ข้ามีปากกากับกระดาษอยู่ครับ!”
ศิษย์ภายในคนนึงรีบเอาชุดเครื่องเขียนออกมาจากกระเป๋าเก็บของของเขา แล้วส่งพวกมันให้ซุนเทียนกัง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของซุนเทียนกังก็เป็นลุกโชนขึ้นมาและเขาก็เริ่มเขียนสาส์นท้าประลองในทันที
ไม่นานนัก สาส์นท้าประลองก็ถูกส่งมอบให้กับเฉินเฉิน
“เฉินเฉิน ตอนนี้พวกเราจะเริ่มการต่อสู้ได้รึยัง?” ซุนเทียนกังถามด้วยอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินส่ายหัว
“จะสู้ที่ไหนหล่ะ? ตามกฎแล้ว การต่อสู้จะต้องจัดขึ้นในเวทีประลองที่กำหนดไว้ในสำนัก และต้องมีคนที่อยู่ลำดับสูงขึ้นไปสองขั้นมาเข้าร่วมเป็นพยานด้วย”
หลังจากได้ฟังคำพูดของเขา ซุนเทียนกังก็หงุดหงิดมากจนแทบกระอักเลือดออกมา
‘มันก็แค่การต่อสู้ ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากตั้งมากมายนี้ด้วย?’
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องยอมทำตาม!
หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซุนเทียนกังก็หันหลังแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปอย่างไม่พอใจ
…
มีหลายคนได้มารวมตัวกันข้างใต้เวทีประลองที่ตีนเขาดาบสวรรค์ ในกลุ่มคนดูนั้นมีทั้งศิษย์ภายใน ศิษย์ภายนอก และผู้อาวุโสบางคน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนี่คือการต่อสู้อย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากที่ออกกฎใหม่
นอกจากนี้ คู่ประลองทั้งสองยังเป็นคนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสำนักเทียนหยุนด้วย
คนนึงคือซุนเทียนกัง ศิษย์ภายในที่อยู่ขั้นกลางของสร้างรากฐาน ถูกจัดลำดับไว้ที่ 36 ส่วนอีกฝ่ายก็คือผู้สืบทอดที่พึ่งเข้ามาได้ไม่ถึงสองเดือนอยู่ลำดับสิบ และมีสถานะการฝึกตนที่ไม่อาจทราบได้
“ผู้อาวุโสใหญ่มาแล้ว!”
ในขณะที่ฝูงชนกำลังเฝ้ารออย่างคาดหวัง พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฝูงชนก็รีบเปิดทางให้อย่างรวดเร็ว ถึงยังไง ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ก็เป็นที่เกรงกลัวของทุกคนในสำนัก
ผู้อาวุโสใหญ่เดินเข้ามาที่เวทีประลองด้วยสีหน้าขุ่นมัว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำเช่นนี้เนื่องจากหลานของเขาไปขอร้องให้เขามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่เป็นพยาน
พูดตามตรง ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดที่จะออกมาเลยเพราะเขาทนรับสายตาดูถูกที่คนอื่นมองมาทางเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินอยู่ลำดับสิบและทั้งสำนักก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่มีคนสมบัติในการเป็นผู้ตัดสินและเป็นพยานรู้เห็น
“ผู้ประลอง จงขึ้นมาบนเวที!”
ในตอนที่พวกเขามาถึงขอบของเวทีประลอง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ประกาศดังลั่นตามกระบวนการ
ในทันทีที่คำประกาศนี้ถูกกล่าวออกมา ซุนเทียนกังก็กระโดดขึ้นบนเวทีอย่างหมดความอดทน
‘ให้ตายเถอะ ในที่สุดก็ได้ประลองกับเฉินเฉินซักที!’
เขาบินไปนู่นไปนี่ไม่ได้หยุดมาครึ่งชั่วโมง นอกจากไปขอร้องให้คุณปู่ของเขารับหน้าที่พยาน เขายังต้องไปรายงานกับผู้อาวุโสที่มีหน้าที่เรื่องการจัดลำดับด้วย
ในอีกด้านนึง เฉินเฉินไม่ได้ทำอะไรเลย…
อย่างไรก็ตาม สวรรค์ไม่มีวันปล่อยคนที่มีแรงใจแก่กล้าต้องผิดหวังหรอก ด้วยการอัดเฉินเฉิน เขาก็จะได้ระบายอารมณ์ของเขา
“พวกเจ้าทั้งสอง จงโค้งคำนับและแสดงมิตรภาพของพวกเจ้า!” ผู้อาวุโสใหญ่สั่งด้วยแก้มที่กำลังกระตุก จริงๆแล้วมันคือขั้นตอนที่เฉินเฉินเป็นคนกำหนดขึ้นมา
“พ…พี่เฉิน โปรดชี้แนะข้าด้วย!” ซุนเทียนกังกัดฟันทำตามขั้นตอนและฝืนใจตัวเองให้โค้งคำนับ ในตอนนี้ เขากลัวแค่ว่าเขาจะไปทำผิดกฎและเปิดโอกาสให้เฉินเฉินหาข้ออ้างในการไม่ยอมรับคำท้าของเขา
ในตอนที่ศิษย์ภายในและภายนอกที่อยู่ข้างล่างได้เห็นฉากตรงหน้า ความประหม่าส่วนใหญ่ในใจของพวกเขาก็หายไปในทันทีเพราะเฉินเฉินและซุนเทียนได้แสดงขั้นตอนการประลองให้พวกเขาได้เห็นในวันนี้
“ซุนเทียนกัง ถ้าเจ้ากล้าเล่นแรงเกินไป เจ้าได้เจอดีกับข้าแน่!”
ในขณะที่ผู้อาวุโสใหญ่กำลังจะประกาศเริ่ม เสียงอันอบอุ่นของผู้หญิงคนนึงก็ดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนอย่างกระทันหัน
ซุนเทียนกังหงุดหงิดเมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ ทำไมการจะต่อสู้มันถึงได้ยุ่งยากสำหรับเขานักนะ?
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะต่อมา สายตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเขาก็ตำหนิกลับไปอย่างโกรธเคือง “จ้าวเสี่ยวหยา ตามกฎแล้ว เจ้ากำลังทำลายความเรียบร้อยในสนามประลอง เพราะฉะนั้นเจ้าต้องจ่ายค่าปรับด้วยหินวิญญาณจำนวน 100 ก้อน!”
หลังจากที่พูดเช่นนั้น ซุนเทียนกังก็แสดงท่าทีพึงพอใจอย่างมาก ในระหว่างทางนั้น เขาได้ทำการศึกษากฎอย่างละเอียดแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเรียนก็ตาม ณ ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเหนือกว่าในการปะทะกับจ้าวเสี่ยวหยา!
“จ้าวเสี่ยวหยา ไปจ่ายค่าปรับซะ แล้วก็ เริ่มการต่อสู้ในสนามอย่างเป็นทางการได้!” ผู้อาวุโสใหญ่บ่นอย่างเย็นชาแล้วประกาศด้วยการสะบัดมือ
ซุนเทียนกังตื่นเต้นมากในตอนที่ได้ยินคำประกาศนี้เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างกะทันหันแล้วตะโกนออกมา หลังจากนั้นพลังปราณในร่างกายของเขาก็ทะลักออกมาเหมือนลมพายุ
เขากำลังฝึกฝนวิชาพายุเทียนหยุนอยู่ ซึ่งเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมเป็นอันดับสองของสำนักเทียนหยุน ในระหว่างการต่อสู้นั้น การโจมตีจะเหมือนกับพายุหิมะรุนแรง และเหนือสิ่งอื่นได้วิชาสายลมแห่งธรรมอันแข็งแกร่งจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย
ด้วยการผสานกันของพลังทั้งสองนี้ เซียนทั่วๆไปที่อยู่ขั้นกลางของสร้างรากฐานคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับเขา!
ศิษย์ที่อยู่ข้างล่างเวทีต่างก็มองภาพตรงหน้าพวกเขาด้วยความตื่นตกใจ
‘นี่คือพลังของศิษย์พี่ใหญ่สุดของสำนักภายในหรอ?’
พูดตามตรง กลุ่มศิษย์ในสำนักเทียนหยุนไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ในตอนที่พวกเขากำลังฝึกฝนอยู่ โดยเฉพาะศิษย์ภายนอกบางส่วน
ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าสถานะฝึกตนตั้งแต่ขั้นสร้างรากฐานขึ้นไปนั้นมันเป็นยังไง
ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของซุนเทียนกัง สายตาของศิษย์มากมายก็เต็มไปด้วยความปรารถนา และหวังว่าซักวันนึงพวกเขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้
ในขณะที่มองความอิจฉาในดวงตาของเหล่าศิษย์นั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างมากขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะเกลียดเฉินเฉิน แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการปฏิรูปสำนักเทียนหยุนของเฉินเฉินนั้นได้ชี้นำพวกเขาไปยังทิศทางที่ถูกต้อง และการทำให้พวกศิษย์ได้รู้ว่าจอมยุทธ์เป็นยังไงก็คงจะช่วยจุดแรงบันดาลใจให้พวกเขาอย่างแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น ซุนเทียนกังก็ได้พุ่งเข้าไปหาเฉินเฉินเหมือนกับพายุแล้ว พลังปราณที่รุนแรงกำลังพวยพุ่งไปรอบทิศทาง ศิษย์ภายนอกบางคนที่มีสถานะการฝึกตนอ่อนแออยู่เกือบจะถูกพัดปลิวไปและล้มลงกับพื้น
พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากใช้มือบังตาของพวกเขาเอาไว้เพื่อที่จะได้เหลือบเห็นสนามประลองบ้าง
ด้วยการมองเห็นที่พร่ามัวของพวกเขา พวกเขาเห็นแค่คนๆนึงที่เหมือนกับต้นสนเดียวเดียวที่อยู่ท่ามกลางพายุ เสื้อผ้าของเขาสะบัดอย่างรุนแรงในขณะที่เขายังคงยืนนิ่งอยู่
ศิษย์พี่ใหญ่สุดของสำนักภายในซุนเทียนกังกำลังจะต่อยคนๆนั้นด้วยหมดที่ถูกปกคลุมด้วยสายลม
ในตอนนั้นเอง คนๆนั้นก็ยื่นฝ่ามือของเขาออกมาอย่างกะทันหัน คลื่นพลังปราณอันน่าหวาดหวั่นที่รุนแรงกว่าลมพายุหลายเท่ากำลังแผ่ซ่านออกมาข้างนอก
ตึง!
ด้วยเสียงอึกทึกดังสนั่น สายลมก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และฝุ่นควันก็ฟุ้งกระจายขึ้นมา
ในสนามประลอง มีแค่คนๆเดียวที่ยังยืนอยู่