หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ผู้อาวุโสก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะรู้ว่าผู้อาวุโสใหญ่โกรธจริงๆ

 

การให้ผู้สืบทอดได้พ่ายแพ้บ้างมันก็อาจจะเป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน…

 

เขายังไม่ได้กลายเป็นเจ้าสำนัก แต่เขามีความกล้าที่จะใส่ร้ายผู้อาวุโสใหญ่ แล้วแบบนี้มันจะไม่ยิ่งหนักขึ้นหลังจากที่เขากลายเป็นเจ้าสำนักหรอ? เขาจะไม่ทรมานพวกเขาทุกวันเลยรึไง?

 

 

บนยอดเขาจิตวิญญาณแรด เฉินเฉินกำลังส่งน้ำวิญญาณให้กับกลุ่มศิษย์สำนักภายนอก

 

นอกจากนี้ ในทุกๆครั้งที่ศิษย์ภายนอกมาหา เขาก็จะตักซุปไก่ให้ด้วย

 

 

“ศิษย์น้อง นี่คือคำแนะนำสำหรับเจ้า เจ้าต้องทนรับความยากลำบากเพื่อที่จะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่”

 

“ท่านผู้สืบทอด! ข้าได้รู้ซึ้งแล้ว!”

 

“ศิษย์น้องหญิง ไม่ต้องร้องไห้ไปหรอก ถ้าเจ้าไม่มีความกล้าที่จะฝ่าพายุ เจ้าก็จะไม่ได้เห็นสายรุ้ง! การขุดเหมืองอาจจะหนัก แต่มันคือการฝึกให้เจ้าอดทน จงตั้งใจทำต่อไปเถอะ!”

 

“ขอบคุณค่ะ ท่านผู้สืบทอด!”

 

“ศิษย์น้อง วันหนึ่งเมื่อเจ้าได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียน เจ้าจะนึกย้อนมาถึงประสบการณ์ในวันนี้และตระหนักได้ว่านี่แหล่ะคือสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง!”

 

“กลายเป็นจักรพรรดิเซียน…”

 

“ศิษย์น้องหญิง สวรรค์จะมอบหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเจ้า แต่เจ้าต้องยอมผ่านความยากลำบากก่อน ความรู้สึกทะเยอทะยานที่แรงกล้าและการทำงานหนัก ตอนนี้ยิ่งเจ้าทำงานหนักเท่าไหร่ สวรรค์ก็ยิ่งให้คุณค่ากับเจ้ามากเท่านั้น!”

 

ผู้ฝึกตนของโลกเซียนนั้นเป็นคนเรียบง่ายที่ไม่เคยได้ฟังคำพูดชมเชยที่ดูงดงามแบบนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงรู้สึกดีใจและตบมือให้เขา หลังจากที่รับประทานซุปและดื่มน้ำวิญญาณเสร็จ ไม่นานนักพวกเขาก็เริ่มทำเหมืองกันต่ออย่างกระฉับกระเฉง

 

เมื่อได้เห็นเหล่าคนที่กำลังยุ่งนี้ เฉินเฉินก็ถอนหายใจออกมา

 

“พวกเขาคืออนาคตของสำนักเทียนหยุน!”

 

ในทันทีที่เขาพูดออกมา เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เข้ามาขัดขวางความคิดของเขา

 

“เฉินเฉิน! ข้าอยากท้าประลองกับเจ้า!”

 

เฉินเฉินขมวดคิ้วแล้วหันไปดูจากนั้นก็ได้เห็นชายร่างกำยำซุนเทียนกังกำลังเดินมาหาเขาพร้อมกับศิษย์ภายในกลุ่มนึง ทุกคนต่างมีความฮึกเหิมและเต็มไปด้วยความมั่นใจ

 

กลุ่มศิษย์ภายนอกที่กำลังทำเหมืองอยู่เองก็หยุดงานของพวกเขาแล้วมองมาด้วยความสงสัย

 

“นั่นพี่ใหญ่ซุนเทียนกังของสำนักภายในนี่ เขาอยากท้าประลองกับท่านผู้สืบทอด!”

 

“ผู้อาวุโสใหญ่ต้องอยากยับยั้งท่านผู้สืบทอดแน่ ๆ เขาก็เลยส่งหลานของเขามาต่อสู้!”

 

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาจงใจจัดลำดับผู้สืบทอดให้สูงขนาดนั้น… เหตุผลมันเป็นเช่นนี้นี่เอง! พวกที่อยู่ลำดับสูงไม่สามารถท้าประลองกับคนที่อยู่ลำดับต่ำกว่าได้! ผู้อาวุโสใหญ่แค่อยากให้ท่านผู้สืบทอดเป็นบันไดความสำเร็จให้กับหลานชายของเขา!”

 

กลุ่มศิษย์ภายนอกกระซิบกระซาบกันเองในขณะที่ปล่อยให้จินตนาการของพวกเขาฟุ้งซ่าน ไม่นานนัก พวกเขาก็มองภาพซุนเทียนกังเป็นวายร้ายคนนึง

 

‘ถึงยังไง ผู้สืบทอดก็เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ มีความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน ความเท่าเทียม พูดจาอ่อนโยน และมีจิตใจดี คนอย่างเขาจะเป็นวายร้ายไปได้ยังไงกัน? ’

 

“ศิษย์น้องซุน เจ้าอยากท้าประลองกับข้าหรอ?”

 

ในขณะที่มองซุนเทียนกังที่กำลังเดินมาหาเขา ใบหน้าของเฉินเฉินนั้นเงียบสงบ

 

“ใช่! ตอนนี้มีกฎใหม่ในสำนักที่เปิดโอกาสให้ศิษย์ได้ท้าประลองกับคนอื่นในทุกเจ็ดวัน คนที่ถูกท้าประลองจะไม่สามารถปฏิเสธได้เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุผลที่สมควร!”

 

ซุนเทียนกังค่อนข้างมั่นใจและยึดมั่นในตัวเอง ในอดีต เขาไม่กล้าทำร้ายเฉินเฉินเพราะสถานะของเฉินเฉินสูงกว่าเขา ดังนั้น ถ้าเขาทำร้ายเฉินเฉิน เขาก็คงจะถูกทำโทษอย่างรุนแรงสำหรับการล่วงเกินคนที่มีสถานะสูงกว่า

 

อย่างไรก็ตาม กฎก่อนหน้านี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วและกฎใหม่ของสำนักเทียนหยุนก็คือว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นคนที่อยู่บนจุดสูงสุด

 

เฉินเฉินพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เขาตอบ “ตามกฎแล้ว เจ้าต้องเขียนสาส์นท้าประลองมาด้วยนะ ถ้าเจ้าไม่มีสาส์นถ้าประลอง ข้าก็ขอปฏิเสธที่จะรับคำท้า”

 

“สาส์นท้าประลองหรอ?” ซุนเทียนกังสับสน เขาเห็นแค่ประโยคที่บอกว่าการท้าประลองเป็นเรื่องที่อนุญาตให้ทำได้ แต่เขาไม่ได้สังเกตดูข้อจำกัดอื่นๆเลย

 

นอกจากนี้ ข้อยับยั้งส่วนใหญ่ก็เพื่อทำให้ศิษย์เลือกคู่ประลองของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและความพยายามของทุกคน

 

ซึ่งนี่รวมทั้งการร่างสาส์นท้าประลองด้วย

 

“พี่ใหญ่ ข้ามีปากกากับกระดาษอยู่ครับ!”

 

ศิษย์ภายในคนนึงรีบเอาชุดเครื่องเขียนออกมาจากกระเป๋าเก็บของของเขา แล้วส่งพวกมันให้ซุนเทียนกัง

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของซุนเทียนกังก็เป็นลุกโชนขึ้นมาและเขาก็เริ่มเขียนสาส์นท้าประลองในทันที

 

ไม่นานนัก สาส์นท้าประลองก็ถูกส่งมอบให้กับเฉินเฉิน

 

“เฉินเฉิน ตอนนี้พวกเราจะเริ่มการต่อสู้ได้รึยัง?” ซุนเทียนกังถามด้วยอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน

 

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินส่ายหัว

 

“จะสู้ที่ไหนหล่ะ? ตามกฎแล้ว การต่อสู้จะต้องจัดขึ้นในเวทีประลองที่กำหนดไว้ในสำนัก และต้องมีคนที่อยู่ลำดับสูงขึ้นไปสองขั้นมาเข้าร่วมเป็นพยานด้วย”

 

หลังจากได้ฟังคำพูดของเขา ซุนเทียนกังก็หงุดหงิดมากจนแทบกระอักเลือดออกมา

 

‘มันก็แค่การต่อสู้ ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากตั้งมากมายนี้ด้วย?’

 

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องยอมทำตาม!

 

หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซุนเทียนกังก็หันหลังแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปอย่างไม่พอใจ

 

 

มีหลายคนได้มารวมตัวกันข้างใต้เวทีประลองที่ตีนเขาดาบสวรรค์ ในกลุ่มคนดูนั้นมีทั้งศิษย์ภายใน ศิษย์ภายนอก และผู้อาวุโสบางคน

 

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนี่คือการต่อสู้อย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากที่ออกกฎใหม่

 

นอกจากนี้ คู่ประลองทั้งสองยังเป็นคนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสำนักเทียนหยุนด้วย

 

คนนึงคือซุนเทียนกัง ศิษย์ภายในที่อยู่ขั้นกลางของสร้างรากฐาน ถูกจัดลำดับไว้ที่ 36 ส่วนอีกฝ่ายก็คือผู้สืบทอดที่พึ่งเข้ามาได้ไม่ถึงสองเดือนอยู่ลำดับสิบ และมีสถานะการฝึกตนที่ไม่อาจทราบได้

 

“ผู้อาวุโสใหญ่มาแล้ว!”

 

ในขณะที่ฝูงชนกำลังเฝ้ารออย่างคาดหวัง พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลๆ

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฝูงชนก็รีบเปิดทางให้อย่างรวดเร็ว ถึงยังไง ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ก็เป็นที่เกรงกลัวของทุกคนในสำนัก

 

ผู้อาวุโสใหญ่เดินเข้ามาที่เวทีประลองด้วยสีหน้าขุ่นมัว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำเช่นนี้เนื่องจากหลานของเขาไปขอร้องให้เขามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่เป็นพยาน

 

พูดตามตรง ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดที่จะออกมาเลยเพราะเขาทนรับสายตาดูถูกที่คนอื่นมองมาทางเขาไม่ได้

 

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินอยู่ลำดับสิบและทั้งสำนักก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่มีคนสมบัติในการเป็นผู้ตัดสินและเป็นพยานรู้เห็น

 

“ผู้ประลอง จงขึ้นมาบนเวที!”

 

ในตอนที่พวกเขามาถึงขอบของเวทีประลอง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ประกาศดังลั่นตามกระบวนการ

 

ในทันทีที่คำประกาศนี้ถูกกล่าวออกมา ซุนเทียนกังก็กระโดดขึ้นบนเวทีอย่างหมดความอดทน

 

 

‘ให้ตายเถอะ ในที่สุดก็ได้ประลองกับเฉินเฉินซักที!’

 

เขาบินไปนู่นไปนี่ไม่ได้หยุดมาครึ่งชั่วโมง นอกจากไปขอร้องให้คุณปู่ของเขารับหน้าที่พยาน เขายังต้องไปรายงานกับผู้อาวุโสที่มีหน้าที่เรื่องการจัดลำดับด้วย

 

ในอีกด้านนึง เฉินเฉินไม่ได้ทำอะไรเลย…

 

อย่างไรก็ตาม สวรรค์ไม่มีวันปล่อยคนที่มีแรงใจแก่กล้าต้องผิดหวังหรอก ด้วยการอัดเฉินเฉิน เขาก็จะได้ระบายอารมณ์ของเขา

 

“พวกเจ้าทั้งสอง จงโค้งคำนับและแสดงมิตรภาพของพวกเจ้า!” ผู้อาวุโสใหญ่สั่งด้วยแก้มที่กำลังกระตุก จริงๆแล้วมันคือขั้นตอนที่เฉินเฉินเป็นคนกำหนดขึ้นมา

 

“พ…พี่เฉิน โปรดชี้แนะข้าด้วย!” ซุนเทียนกังกัดฟันทำตามขั้นตอนและฝืนใจตัวเองให้โค้งคำนับ ในตอนนี้ เขากลัวแค่ว่าเขาจะไปทำผิดกฎและเปิดโอกาสให้เฉินเฉินหาข้ออ้างในการไม่ยอมรับคำท้าของเขา

 

ในตอนที่ศิษย์ภายในและภายนอกที่อยู่ข้างล่างได้เห็นฉากตรงหน้า ความประหม่าส่วนใหญ่ในใจของพวกเขาก็หายไปในทันทีเพราะเฉินเฉินและซุนเทียนได้แสดงขั้นตอนการประลองให้พวกเขาได้เห็นในวันนี้

 

“ซุนเทียนกัง ถ้าเจ้ากล้าเล่นแรงเกินไป เจ้าได้เจอดีกับข้าแน่!”

 

ในขณะที่ผู้อาวุโสใหญ่กำลังจะประกาศเริ่ม เสียงอันอบอุ่นของผู้หญิงคนนึงก็ดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนอย่างกระทันหัน

 

ซุนเทียนกังหงุดหงิดเมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ ทำไมการจะต่อสู้มันถึงได้ยุ่งยากสำหรับเขานักนะ?

 

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะต่อมา สายตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเขาก็ตำหนิกลับไปอย่างโกรธเคือง “จ้าวเสี่ยวหยา ตามกฎแล้ว เจ้ากำลังทำลายความเรียบร้อยในสนามประลอง เพราะฉะนั้นเจ้าต้องจ่ายค่าปรับด้วยหินวิญญาณจำนวน 100 ก้อน!”

 

หลังจากที่พูดเช่นนั้น ซุนเทียนกังก็แสดงท่าทีพึงพอใจอย่างมาก ในระหว่างทางนั้น เขาได้ทำการศึกษากฎอย่างละเอียดแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเรียนก็ตาม ณ ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเหนือกว่าในการปะทะกับจ้าวเสี่ยวหยา!

 

“จ้าวเสี่ยวหยา ไปจ่ายค่าปรับซะ แล้วก็ เริ่มการต่อสู้ในสนามอย่างเป็นทางการได้!” ผู้อาวุโสใหญ่บ่นอย่างเย็นชาแล้วประกาศด้วยการสะบัดมือ

 

ซุนเทียนกังตื่นเต้นมากในตอนที่ได้ยินคำประกาศนี้เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างกะทันหันแล้วตะโกนออกมา หลังจากนั้นพลังปราณในร่างกายของเขาก็ทะลักออกมาเหมือนลมพายุ

 

เขากำลังฝึกฝนวิชาพายุเทียนหยุนอยู่ ซึ่งเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมเป็นอันดับสองของสำนักเทียนหยุน ในระหว่างการต่อสู้นั้น การโจมตีจะเหมือนกับพายุหิมะรุนแรง และเหนือสิ่งอื่นได้วิชาสายลมแห่งธรรมอันแข็งแกร่งจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย

 

ด้วยการผสานกันของพลังทั้งสองนี้ เซียนทั่วๆไปที่อยู่ขั้นกลางของสร้างรากฐานคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับเขา!

 

ศิษย์ที่อยู่ข้างล่างเวทีต่างก็มองภาพตรงหน้าพวกเขาด้วยความตื่นตกใจ

 

‘นี่คือพลังของศิษย์พี่ใหญ่สุดของสำนักภายในหรอ?’

 

พูดตามตรง กลุ่มศิษย์ในสำนักเทียนหยุนไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ในตอนที่พวกเขากำลังฝึกฝนอยู่ โดยเฉพาะศิษย์ภายนอกบางส่วน

 

ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าสถานะฝึกตนตั้งแต่ขั้นสร้างรากฐานขึ้นไปนั้นมันเป็นยังไง

 

ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของซุนเทียนกัง สายตาของศิษย์มากมายก็เต็มไปด้วยความปรารถนา และหวังว่าซักวันนึงพวกเขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้

 

ในขณะที่มองความอิจฉาในดวงตาของเหล่าศิษย์นั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างมากขึ้นมา

 

แม้ว่าเขาจะเกลียดเฉินเฉิน แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการปฏิรูปสำนักเทียนหยุนของเฉินเฉินนั้นได้ชี้นำพวกเขาไปยังทิศทางที่ถูกต้อง และการทำให้พวกศิษย์ได้รู้ว่าจอมยุทธ์เป็นยังไงก็คงจะช่วยจุดแรงบันดาลใจให้พวกเขาอย่างแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น ซุนเทียนกังก็ได้พุ่งเข้าไปหาเฉินเฉินเหมือนกับพายุแล้ว พลังปราณที่รุนแรงกำลังพวยพุ่งไปรอบทิศทาง ศิษย์ภายนอกบางคนที่มีสถานะการฝึกตนอ่อนแออยู่เกือบจะถูกพัดปลิวไปและล้มลงกับพื้น

 

พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากใช้มือบังตาของพวกเขาเอาไว้เพื่อที่จะได้เหลือบเห็นสนามประลองบ้าง

 

ด้วยการมองเห็นที่พร่ามัวของพวกเขา พวกเขาเห็นแค่คนๆนึงที่เหมือนกับต้นสนเดียวเดียวที่อยู่ท่ามกลางพายุ เสื้อผ้าของเขาสะบัดอย่างรุนแรงในขณะที่เขายังคงยืนนิ่งอยู่

 

ศิษย์พี่ใหญ่สุดของสำนักภายในซุนเทียนกังกำลังจะต่อยคนๆนั้นด้วยหมดที่ถูกปกคลุมด้วยสายลม

 

ในตอนนั้นเอง คนๆนั้นก็ยื่นฝ่ามือของเขาออกมาอย่างกะทันหัน คลื่นพลังปราณอันน่าหวาดหวั่นที่รุนแรงกว่าลมพายุหลายเท่ากำลังแผ่ซ่านออกมาข้างนอก

 

ตึง!

 

ด้วยเสียงอึกทึกดังสนั่น สายลมก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และฝุ่นควันก็ฟุ้งกระจายขึ้นมา

 

ในสนามประลอง มีแค่คนๆเดียวที่ยังยืนอยู่