RC:บทที่ 633 บททดสอบ

เมื่อแรงกดดันมาถึงเขา หลินเฟิงรู้สึกว่าทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยใยไหม

“ปล่อยออกมาหมด!”

เขาสงบใจลงทันที จากที่ก่อนหน้าได้ปล่อยพลังวิญญาณออกมามากเกินไป

เขากลับมาปล่อยอยู่ในสถานะเสถียร ถ้าปล่อยเกินขีดจำกัดร่างจะเกิดระเบิดจนตัวตาย

ในช่วงขณะที่พลังเข้ามาปกคลุมทั่วร่าง ขาทั้งสองข้างของหลินเฟิงยังคงเบาสบายอยู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องคุกเข่าลง!

 

มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่เขาจะสู้กลับได้เลย มือและร่างของเขาต้านกับความว่างเปล่าที่หนักอย่างกับตะกั่ว

ยิ่งกว่านั้นมันยังหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบกำลังกดทับมาที่ตัวเขาซึ่งมันกำลังจะขาดและหักลงในวินาทีต่อมา

 

เหงื่อเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วร่วงหล่นจากใบหน้า เขากัดฟันตัวเองและรู้สึกเหมือนปอดระเบิด ทุกลมหายใจร้อนสุดขีดราวกับเปลวไฟ

ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ท้ายสุดหลังผ่านไปกว่าสิบวินาที เขาก็รับมันไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งตัวร่วงหล่นลงมาในทันทีและไม่สามารถต้านไว้ได้อีกเลย

 

ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ดินแดนที่เหนือธรรมชาตินั้นช่างน่าหวั่นเกรง เพราะไม่มีพลังใดที่จะสามารถต่อต้านได้เลย เขารับรู้ได้ว่าแค่เพียงเสี้ยวหนึ่งแห่งสัมผัสจากพระเจ้าก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายเขาจนไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้าถ่าน

 

หัวใจของเขาถูกบดขยี้จนแทบจะระเบิด ความรู้สึกเจียนตายแผ่ไปทั่วทุกรูขุมขน ภายใต้แรงกดดันนั้นเลือดทั้งตัวแทบจะหยุดไหลเวียนส่งผลให้สติของเขาพร่ามัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขาดอากาศไปเลี้ยงสมอง หากเจอเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เขาคิดว่าเขาคงต้องตายแน่ ๆ!

 

แม้เว่ยจะทราบดีถึงระดับพลังของหลินเฟิง แต่กลับยังคงส่ายหน้า

เหตุผลที่เขาตั้งบททดสอบไม่เพียงแค่ไม่อยากให้สมบัติตกอยู่ในมือของคนธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นเพราะต้องการปกป้องคนอื่น ๆ

 

หากคนที่อยากได้สิ่งประดิษฐ์ไม่มีสามัญสำนึกหรือเป็นคนไม่ดี มันจะนำไปสู่ความตายได้

ดังนั้น เฉพาะคนที่เหมาะสมเท่านั้นถึงจะได้ชิ้นส่วนนี้ไป

เขาไม่ยอมรับหลินเฟิง ดังนั้นจึงโบกมือเพื่อสลายแรงกดดัน

แต่ทันใดนั้น เขาก็ตัวแข็งค้าง อาการตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตา

 

บนร่างของหลินเฟิง ความยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการได้ปะทุขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิด! แรงกดดันนี้มันกัดกินพลังของเขาแล้วย้อนกลับเข้ามาหาตัวเขาเอง!

ในวินาทีนั้น เว่ยถูกพลังนั้นทำให้ตกตะลึงและถอยหลังไปหลายก้าว!

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” เขาพึมพำด้วยความประหลาดใจ

 

แรงกดดันนั้นยิ่งใหญ่กว่าของเขามาก ถึงแม้เขาจะยังอยู่ในยุครุ่งเรืองก็ยากจะต่อต้านได้

นี่เป็นแรงกดดันที่เหนือกว่าดินแดนพระเจ้า ราวกับทะเลเมฆหมอกที่ให้บรรยากาศสูงส่งอีกทั้งยังเย็นชา ยากที่จะจินตนาการว่าเด็กหนุ่มดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งจะสามารถระเบิดพลังเช่นนี้ได้

จิตใจของเว่ยเต็มไปด้วยความสงสัย ดังนั้นพอโบกมือเสร็จเขาจึงฟื้นคืนสภาพที่กำลังจะตายของหลินเฟิงให้กลับมาเหมือนช่วงก่อนที่รับการทดสอบ หลินเฟิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเต็มไปด้วยความงุนงง

 

“มานี่สิ” เว่ยเอ่ยกับเขา

หลินเฟิงเดินเข้าไปหา เขาเห็นมองมาที่เขาแล้วถามว่า “เจ้าซ่อนความลับอะไรไว้?”

หลินเฟิงชะงักเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าเว่ยคงหมายถึงหลุมดำ

อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขากลับไม่รู้สึกระแวงใด ๆ เลย และได้บอกเรื่องราวที่เกี่ยวหลุมดำออกไป

 

พอได้ยินคำบอกเล่าของหลินเฟิง ดวงตาของเว่ยจึงกระพริบปริบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ เขาถูคางไปมาแล้วกล่าว “มันคือหลุมดำที่ได้รับมอบจากเทพเจ้ามังกรอย่างแน่นอน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมข้าถึงรู้สึกอย่างนั้น“

ดูเหมือนพลังที่ต้านแรงกดดันของเขาจะมาจากหลุมดำสินะ

 

มีเพียงเทพเจ้ามังกรเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกได้อย่างนี้เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในระดับพระเจ้า

เมื่อเป็นอย่างนี้ เว่ยจึงมองเข้าไปในดวงตาของหลินเฟิงอย่างซับซ้อนมากขึ้นเล็กน้อย

เขาถอนหายใจและกล่าว“มา ๆ ช่วยเล่าเรื่องราวโลกภายนอกให้ข้าฟังหน่อย“

หลินเฟิงจึงเล่าเกี่ยวกับโลกภายนอกออกมาอย่างง่ายดาย

 

หลังจากที่ได้ฟัง ใบหน้าของเว่ยก็เคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ คิ้วของเขาที่ขมวดอยู่แสดงความกังวลออกมา

“ดังนั้น หายนะกำลังจะกลับมาอีกครั้ง?” เว่ยพึมพำกับตัวเอง

สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ ในอนาคต ถึงแม้จะเป็นเทพเจ้ามังกรก็ยังไม่อาจจัดการกับสถานการณ์นั้นได้

 

เว่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว “ชิ้นส่วนนี้ หากเจ้าต้องการก็เอาไปได้เลย“

หลินเฟิงตะลึง: “หา? จริง ๆ เหรอขอรับ? “

เว่ยพยักหน้า: “เจ้าคือคนที่เทพเจ้ามังกรเลือกและจะกลายมาเป็นผู้กอบกู้โลก เพราะงั้นข้าเลยเลือกที่จะช่วยเหลือเจ้า น่าเสียดายที่ข้าส่งเจ้าออกไปจากโลกนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงจะช่วยเจ้าได้มากกว่านี้ “

จากคำกล่าวของเว่ย หลินเฟิงจึงได้รู้ถึงความปรารถนาของคนในโนโลก ความนับถือที่มีเว่ยจึงเพิ่มขึ้นมาอีกนิด

 

เขากล่าวซ้ำ ๆ : “อย่าพูดอย่างนั้นเลยขอรับ ผู้อาวุโส ท่านทำดีมากพอแล้ว ที่เหลือมอบให้ข้าทำเอง“

เขายืดอกและยกหัวขึ้น ดวงตาของเขาสว่างไสว“ข้าจะพยายามออกไปจากที่นี่ให้ได้เพราะข้ายังมีภารกิจอยู่ ข้าจะต้องไม่ตายที่นี่“

เสียงของหลินเฟิงดังกังวานแผ่ไปทั่วพื้นที่นี้

เขาเคยเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ แต่ตอนนี้ได้เติบโตมาเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบแล้ว

สายตาของเว่ยเต็มไปด้วยความชื่นชม: “ดีมาก มีคนหนุ่มเช่นเจ้าบนโลกนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าโลกยังมีความหวังที่จะรอดพ้น!”

 

“ตอนนี้เจ้ายังมีสิ่งสำคัญอีกมากที่ต้องทำแทนที่จะคุยอยู่กับคนตายที่นี่ งั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว”

“เจ้าไปเถอะ เพิ่มพลังให้ดี ๆ โลกนี้ข้าขอมอบให้เจ้าแล้ว! “

พอเสียงของเว่ยจบลง หลินเฟิงก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาได้รับแรงกระแทกเป็นอย่างมาก พอกลับมามองเห็นเขาจึงพบว่าตัวเองได้กลับมาในพื้นที่ตรงตำแหน่งที่ยืนสัมผัสกับแสง

“หลินเฟิง หลินเฟิง?” ราชินีมังกรเรียกชื่อของเขา “เจ้าเป็นอะไรไป? เจ้าสบายดีหรือไม่?”

“ข้ากลับมาแล้ว พระเจ้า” หลินเฟิงเอ่ย

เขาพูดต่อ “ที่จริง ข้าได้พบกับคนที่สร้างโลกนี้แล้ว“

 

“ผู้อาวุโสเว่ย?” เมื่อได้ยินเขาพูด ราชินีมังกรงก็มีสีหน้ากระจ่าง “ปรากฏว่าเป็นเขาที่สร้างมันนั่นเอง“

“เว่ยคือปรมจารย์ธาตุพื้นที่ผู้โด่งดัง แต่เขาหายตัวไปในสงคราม ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ไหน“

“เวลานี้ดูเหมือนว่าเขาคงจะผนึกปีศาจไว้ในร่างของตัวเอง“

หลินเฟิงพยักหน้าแล้วจับแสง

ราชินีมังกรประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง: “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าจับมันได้อย่างไร?”

“มันไม่มีการป้องกันแล้วเหรอ?”

 

หลินเฟิงอธิบายถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ ให้ราชินีมังกรได้เข้าใจทุกสิ่ง

ต่อมา หลินเฟิงจึงกล่าวขอโทษ: “ขอโทษครับ เป็นเพราะข้า พวกเราเลยหลงทาง“

ราชินีมังกรส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกได้ถึงลมปราณของน้องชายข้าแล้ว มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เราสามารถตามหาด้วยการติดตามจากลมปราณได้“

 

“จริงเหรอ?” หลินเฟิงประหลาดใจและรีบเก็บกลุ่มแสงใส่ไว้ในแหวน แล้วเดินไปหาราชินีมังกร

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงแอ่งน้ำ พวกเขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น