DND.723 – สู้กับจ้าวเทวะ
“ซือหยูพวกข้ามิได้มีเรื่องบาดหมางต่อเจ้า แม้แต่ข้าเองก็นับถือพรสวรรค์กับนิสัยใจคอของเจ้า”
คนแรกที่พูดคือสตรีจ้าวเทวะ
นางเป็นสตรีวัยกลางคนที่ดูค่อนข้างธรรมดาดวงตาดั่งวิหคเพลิงของนางดูเฉียบคม แม้คำพูดนางจะดูเหมือนการชมเชย แต่น้ำเสียงที่พูดออกมานั่นเย่อหยิ่งอย่างมาก
“แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าเลือกจะเป็นศัตรูกับพวกข้านี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องตายในวันนี้ ได้เกิดใหม่เมื่อไร ชีวิตหน้าของเขาก็คงจะฉลาดขึ้นนะ”
สสตรีจ้าวเทวะพูดอย่างเรียบเฉย
ซือหยูมองนางอย่างเยือกเย็นและมองจ้าวเทวะอีกสองคน
“เจ้าสองคนไม่มีอะไรจะพูดรึ?”
ชายวัยกลางคนที่ด้านซ้ายเป็นชายหนวดยาวที่ร่างกายกำยำดวงตาของเขาเป็นสีทองแดง เขาหัวเราะชอบใจเมื่อซือหยูพูดกับพวกเขา
“ข้าไม่ได้สนใจอะไรเจ้านักหรอกแต่ก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าตอนนี้จะยังใจเย็นอยู่ได้ เจ้าทำให้ข้าประทับใจกว่าเดิมเสียด้วย”
เขาส่ายหน้าและพูดต่อ
“แต่ข้าเกลียดคนที่ทำใจดีสู้เสืออย่างเจ้าคิดรึว่าพวกข้าจะประทับใจกับท่าทางของเจ้าแล้วปล่อยเจ้าไป?”
ชายหนวดยาวหัวเราะอย่างเยือกเย็นเขาดูโหดร้ายแต่ก็เฉลียวฉลาด ชายอีกคนมองซือหยูและส่ายหน้า
“หลานกวงอย่าดูถูกไอ้เด็กนี่ ตามข้อมูลที่ได้ มันเป็นคนฉลาดมาก มันคงไม่ทำเรื่องโง่ๆอย่างที่เจ้าพูดหรอก ดูเหมือนว่าเขาแค่อยากจะลดความเครียดลงและให้พวกเรารับเขาเป็นพวก”
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พวกเขาจะปล่อยซือหยูไปแต่พวกเขาสามารถรับซือหยูเข้าเป็นพวกได้ จ้าวเทวะสตรียิ้มเยาะที่มุมปาก
“ชางเซี่ยงอาจจะพูดถูกเจ้าเด็กนี่อยากให้พวกเรารับเขางั้นรึ? คนเรายินดีจะคว้าทุกอย่างตอนที่สิ้นไร้ไม้ตอกสินะ”
“เจ้าหนูนี่มีพรสวรรค์กับนิสัยที่ดีถ้าพวกเราฝึกเขา เขาก็มีโอกาสสูงที่จะมีลำดับในองครักษ์แสงกระจ่าง”
นางส่ายหน้าถอนหายใจ
“แต่น่าเสียดายที่เจ้าฆ่าคนที่มิควรไปแล้วไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก จงสู้จนตัวตายอย่างหมาจนตรอกไปซะ อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ตายอย่างสมเกียรติ”
ทั้งสามพูดคุยกันราวกับมองเห็นแผนการของซือหยูซือหยูเพียงฟังทั้งสามโดยตลอดและไม่พูดขัด
“พวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วสินะ?”
ซือหยูยังคงใจเย็นอย่างเดิมไม่มีความรู้สึกบนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย
ชายหนวดยาวหัวเราะเยาะ
“หัวหน้าอู๋หยางหยุดเสียเวลากับมันดีกว่า ไม่นานมันก็จะเอาชีวิตมาเข้าสู่กับเรา เรารีบกำจัดมันจะดีกว่า”
สตรีจ้าวเทวะอู๋หยางนั้นอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาพวกเขาทั้งหมดเพิ่มจะเป็นจ้าวเทวะได้ไม่นาน แต่พลังของนางนั้นแข็งแกร่งกว่าอีกสองคนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงได้ตำแหน่งหัวหน้า
“รอก่อนเถอะท่านฟู่กุยสั่งให้เราล้อมมันเท่านั้น เรารอท่านฟู่กุยก่อนจะตัดสินใจเถอะ”
อู๋หยางส่ายหน้า
หลานกวงกับชางเซี่ยงขมวดคิ้วฟู่กุยนั้นไม่ลังเลที่จะใช้หอคอยจักรพรรดิเพียงเพื่อให้พวกเขาได้ข้ามมิติมาจับตัวและสังหารเด็กคนนี้
แต่พวกเขาสับสนที่ฟู่กุยกำชับให้พวกเขาไม่ต่อสู้อย่างประมาทกับซือหยูแต่พวกเขาต้องบอกฟู่กุยเมื่อเจอตัวซือหยู พวกเขาทั้งหมดรู้เรื่องฐานพลัง วิชา และวิธีการต่อสู้ทั้งหมดของซือหยู และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ดูถูกซือหยู พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องบอกฟู่กุย!
ชายสองคนเหลือบตามองกันแต่ไม่พูดอะไรเพราะองครักษ์แสงกระจ่างต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่กล้าจะขัดคำสั่งฟู่กุย
“เข้าไปล้อมมันแต่ไม่ต้องสู้ข้าติดต่อท่านฟู่กุยแล้ว เขาคงจะมาในอีกไม่นาน”
อู๋หยางกล่าว
ทั้งสามเข้าล้อมซือหยูจากทุกทิศทางพวกเขาไม่ได้ใช้อะไรปิดล้อมนอกจากตัว แต่พวกเขาก็จ้องมองซือหยูอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้ตอบสนองในทันทีที่ซือหยูเคลื่อนไหว
ซือหยูหายใจเบาๆ
“สุดท้ายพวกเจ้าก็คุยกันจบแล้วสินะ”
หลานกวงจ้องมองเขา
“หุบปาก!แค่รอให้ท่านฟู่กุยมาตัดสินชะตาเจ้าก็พอ เจ้าจะพูดอะไรพวกข้าก็ไม่สนใจทั้งนั้น”
อู๋หยางขมวดคิ้วและถอนหายใจ
“อย่างไรเจ้าก็ต้องตายทำไมไม่ลองตายอย่างมีเกียรติบ้างเล่า? อย่ามาเล่นลูกไม้กับพวกข้า นั่นจะทำให้พวกข้าดูถูกเจ้ายิ่งกว่าเดิม”
ชางเซี่ยงมองซือหยูอย่างเหยียดหยาม
ซือหยูส่ายหน้า
“พวกเจ้าคงเข้าใจข้าผิดข้าปล่อยให้พวกเจ้าพูดคุยอย่างที่ต้องการ มิใช่เพื่อให้พวกเจ้าไว้ชีวิตข้า แต่เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สั่งเสียให้เสร็จ ถ้าพวกเจ้าพูดออกมาหมดแล้ว…จงมาสู้กับข้าซะ!”
ผมขาวของซือหยูสั่นไหวตามแรงลมมีแสงสีเลือดเปล่งออกมาจากผนึกแดงที่หน้าผาก เขามองจ้าวเทวะทั้งสามด้วยเนตรโลหิต อู๋หยางใจเต้นแรงและรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับอสูรชั่วร้าย
“เจ้าหนูหยุดเล่นละครได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะท่านฟู่กุยสั่งให้ล้อมเจ้า ข้าคงลบเจ้าหายไปจากโลกนี้แล้ว!”
หลานกวงเย้ยหยันอย่างเย็นชา
ซือหยูตอบกลับ
“เจ้าเข้าใจผิดอีกแล้วเป็นข้าที่ตัดสินว่าจะสู้หรือไม่ ไม่ใช่เจ้า”
เมื่อพูดจบเขาขว้างเม็ดมุกสีครามอำพันตรงไปยังชายหนวดยาว
“ปากเจ้าน่ารำคาญนักข้าจะเริ่มจากเจ้าในการล้างบางจ้าวเทวะครั้งนี้…”
ซือหยูพูด
หลานกวงโกรธจนหัวเราะดังลั่นเขามิอาจเชื่อว่าเด็กกึ่งภูติจะพูดว่าเขาสังหารจ้าวเทวะสามคนได้ด้วยตัวคนเดียว คำพูดของเขามันน่าขันเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่มันก็เป็นเพียงคำพูดจากเด็กอวดดีเท่านั้น!
“ย่อมได้ถ้าเจ้าลงมือก่อนแล้วตายตอนที่ข้าป้องกันตัว มันก็จะไม่นับว่าข้าขัดคำสั่ง”
หลานกวงพูดอย่างเย็นชา
หลานกวงไม่แม้แต่ละหลบเมื่อเม็ดมุกที่ดูธรรมดาลอยมาหาเขาเขากลับพุ่งเข้าใส่แต่ก็ระวังตัว
“ผนึกราชากระจ่าง!”
หลานกวงตะโกนเบาๆมีรูปปั้นอรหันต์ปรากฏตรงหน้า
มันดูมีชีวิตราวกับรูปปั้นเพชรของจริงรูปปั้นเพชรประสานมือเข้าหากันและปล่อยแสงสีทองที่แผ่ขยายไปสิบเมตรรอบตัวเขา
“วิชาระดับตำนานขั้นกลางระดับแรกแบบสมบูรณ์!หลานกวงบ่มเพาะจนถึงระดับนั้นได้ด้วยตัวเอง!”
ชางเซี่ยงลืมตากว้างขึ้นมาเล็กน้อย
อู๋หยางตกใจเช่นกัน
“มันจงใจใช้วิชานั้นต่อหน้าเราเพราะว่ามันไม่พอใจข้างั้นรึ?”
หลายต่อหลายคนมักจะพยายามเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้แต่เขากลับใช้มันต่อกรกับเด็กที่อ่อนแอ บอกได้เลยว่าเขาอยากจะแสดงพลังและท้าทายอู๋หยาง
แต่การกระทำเช่นนี้ก็น่ายกย่องสำหรับซือหยูเพราะไม่มีใครควรออมมือตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรู และตามที่ข้อมูลของพวกจิวโจวมี พวกนั้นรู้ว่าเขามีพลังที่ทำให้แม้แต่จ้าวเทวะยังต้องกลัว
“ถึงเจ้าจะดูหยาบกร้านเจ้าก็ฉลาดรอบคอบ เจ้าควรจะได้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าอีกสองคน”
ซือหยูมองเขาอย่างไม่แยแส
“แต่น่าเสียดายนักที่เจ้าประมาทมุกเม็ดนั้น”
หลานกวงหัวเราะชอบใจ
“มุกเม็ดเล็กๆจะไปทำอะไรได้กัน?”
แม้เขาจะดูถูกซือหยูเขาก็ใช้พลังปริมาณมากกับซือหยู กระบวนท่าของเขามีพลังสองในสิบของจ้าวเทวะ มันมีพลังชีวิตที่มากมายไร้ขอบเขต มันส่งผลต่อสภาพแวดล้อมรอบและฉีกกระชากมิติเป็นทางยาว
พลังของเขาเกือบเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของกระบี่ปราบมังกรที่กู้ไทซูใช้ต่อให้เป็นสมบัติวิญญาณระดับสูงก็มิอาจป้องกันได้ แล้วจะเดือดร้อนอะไรกับมุกเม็ดเล็กๆเล่า?
แต่แท้จริงแล้วมุกเม็ดนี้หาใช่สมบัติวิญญาณระดับสูง เพราะมันน่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว
ปั้ง!
อ๊ากกก!
เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังก้องมหาสมุทรไร้ขอบเขตหลานกวงที่มีพลังมหาศาลคิดจะทำลายมุกเม็ดเล็กๆด้วยกำปั้นและอัดมันให้กระเด็นหายไป แต่เมื่อได้สัมผัส พลังอันน่าสยดสยองของมันบดขยี้แขนทั้งสองข้างของเขาอย่างง่ายดายก่อนจะระเบิดอกของเขาจนกระเด็นกลับ
เงารูปปั้นที่เปล่งแสงสีทองทนรับได้เพียงพริบตาเดียวก่อนจะระเบิดหายไปวิชาของเขาเปราะบางราวกับกระดาษเมื่อเจอกับมุกเม็ดนี้
หลานกวงขนลุกและตะโกนเสียงดังเมื่อมุกกำลังจะบดขยี้ร่างของเขา
“ก้าวเงาเวหาขั้นสุดยอด!”
ร่างเงามากมายปรากฏขึ้นแต่ทุกร่างได้ถอยอย่างรวดเร็ว เม็ดมุกได้บดขยี้ร่างเงาแต่ละร่างไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไปไม่ถึงร่างหลักของหลานกวงก่อนจะเสียแรงและร่วงลงไปที่เบื้องล่าง
ซือหยูยกมือขึ้นเรียกมุกกลับมาในมือเขาจะประมาทจนปล่อยให้มันตกลงไปที่พื้นไม่ได้ เพราะน้ำหนักมหาศาลของมันจะทำให้ทั้งก้นบึ้งมังกรพังทลาย
หลานกวงที่รอดตายหวุดหวิดมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่ใบหน้าเขาหน้าซีดราวกับกระดาษ ในแววตามีแต่ความกลัว เพราะถ้าหากเขาลังเลไปแม้แต่ครู่เดียว เขาก็อาจจะถูกมุกเม็ดนั้นบดขยี้จะตาย!
“เจ้าหนูสิ่งนั้นมันคืออะไร?”
อู๋หยางถามดูเหมือนว่าหลานกวงจะมิใช่คนเดียวที่ตกตะลึงจากมัน แม้แต่อู๋หยางกับชางเซี่ยงเองก็ตกใจ
พวกเขารู้ว่าซือหยูมีวิธีการบางอย่างในการเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะแต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าซือหยูจะมีเม็ดมุกที่น่ากลัวเช่นนี้! พวกเขาหยุดประมาทในทันที พวกเขารู้แล้วว่าทำไมฟู่กุยถึงสั่งให้พวกเขาไล่ต้อนซือหยูโดยไม่ต้องต่อสู้
สีหน้าท่าทางที่ไม่ยี่หระและเยือกเย็นของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ชางเซี่ยงรีบไปข้างหลานกวงเร็ว…”
อู๋หยางตะโกนหลังจากที่เห็นสภาพของหลานกวง
หลานกวงเสียแขนไปทั้งสองข้างเขาต้องการให้คนมาปกป้องก่อนจะฟื้นฟูตัว พวกเขารีบเดินทางไปหลายร้อยลี้เร็วราวกับใช้ประตูมิติ
“หลานกวงรีบกินโอถสกลิ่นกล้วยไม้สวรรค์รักษาแขนของเจ้าซะ”
อู๋หยางพูดเสียงดัง
หลานกวงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเขาพ่นพลังชีวิตไปโอบล้อมนิ้วชี้ที่ขาดจากตัว แหวนบนนิ้วชี้กระตุกพร้อมกับมีขวดหยกปรากฏขึ้นมา
เขาเปิดขวดด้วยพลังชีวิตและหยิบเม็ดโอสถออกมาใส่ปากจากนั้นก็มีแสงสีครามปรากฏขึ้นที่แขนทั้งสองข้างที่ถูกทำลาย พร้อมกันนั้น แขนยังเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาด้วย!
หลังจากที่ความเจ็บปวดหายไปหลานกวงถอนหายใจยาวก่อนจะเงยหน้าจ้องมองซือหยูอย่างเคียดแค้น
“เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าสาหัสเช่นนี้ไม่เลว! ข้าตัดสินใจแล้วว่า…”
ซือหยูพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เขาจะพูดจบซือหยูพูดอย่างสบายใจ
“จะตัดสินใจอย่างไรก็หาได้เปลี่ยนชะตาของเจ้าไม่…เพราะเจ้าคือคนแรกที่ต้องตาย”