ตอนที่ 74-4 เมื่อศัตรูหัวใจได้พบกัน มักมีอารมณ์โกรธแค้นรุนแรงเป็นพิเศษ

จำนนรักชายาตัวร้าย

ในขณะที่ท่านหมอเทวดาฮั่วกำลังสิ้นหวัง อวี้เฟยเยียนกับเชียนเยี่ยเสวี่ยก็เดินตามแสงจันทร์มาถึงริมฝั่งน้ำ เชียนเยี่ยเสวี่ยพุ่งตัวลงสู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว เพียงครู่หนึ่งนางก็ลากคนคนหนึ่งขึ้นมา

 

 

“เจ้ารีบมาตรวจอาการเขาหน่อย ใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว!

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยใช้มือลูบหยดน้ำที่เกาะอยู่บนใบหน้าออก “ช่าช่า ท่านผู้เฒ่าใหญ่คนนั้นเป็นตัวปลอมจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

“น่าจะใช่”

 

 

อวี้เฟยเยียนพลางตรวจชีพจรของท่านผู้เฒ่าเจ็ด พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิ่งหมิงให้เชียนเยี่ยเสวี่ยฟังอีกรอบ

 

 

“แม่เจ้า น่าสะอิดสะเอียนนัก!”

 

 

หลังจากที่เชียนเยี่ยเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ นางก็แทบจะอ้วกออกมา เก็บเลือดระดูของสตรี นี่มันต้องโรคจิตขนาดไหนกัน! ทำไมถึงได้เป็นคนที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้!

 

 

“นี่เป็นเรื่องที่คนเขาทำกันอยู่หรือ! ช่าช่า นี่เจ้าทำเรื่องที่ดี! ต้องได้กุศลนับไม่ถ้วน!”

 

 

“ง่ายเหมือนแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น…”

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้สึกตกใจมาก เมื่อพบว่าท่านผู้เฒ่าเจ็ดได้รับพิษแล้ว

 

 

สำนักหมื่นพิษ น่าจะชำนาญในการใช้พิษ ดังนั้นการที่ท่านผู้เฒ่าเจ็ดได้รับพิษก็เป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้

 

 

“ผู้เฒ่านี่คงจะไม่ตายใช่ไหม”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยประทับใจในตัวท่านผู้เฒ่าเจ็ดไม่น้อย เขาพยายามสุดความสามารถเพื่อจะช่วยเหลือท่านหมอเทวดาฮั่ว เป็นผู้เฒ่าที่มีคุณธรรมและน่าสนใจไม่น้อย “เจ้าก็เป็นถึงจักรพรรดิโอสถแล้ว หากเขาต้องตายในกำมือของเจ้า ภาพลักษณ์ของเจ้าคงจะพังยับเยิน”

 

 

“ไร้สาระ! ยังต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนป้อนยาสองเม็ดให้แก่ท่านผู้เฒ่าเจ็ด และฝังเข็มบนแผ่นหลังของเขาเจ็ดเข็ม

 

 

“เจ้าคอยเฝ้าเอาไว้ในดี หากเขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ เจ้านำยาเม็ดนี้ป้อนเขาซะ! ข้าจะไปดูผู้เฒ่าฮั่ว!”

 

 

เดิมที่เชียนเยี่ยเสวี่ยก็อยากไปดูท่านหมอเทวดาฮั่วบนหน้าผาเช่นกัน ทว่าก่อนหน้านี้อวี้เฟยเยียนได้พูดไว้แล้ว หากมากับนางจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของนาง

 

 

แม้อวี้เฟยเยียนจะอายุน้อยกว่าเชียนเยี่ยเสวี่ย ทว่าความคิดกลับมีความเป็นผู้ใหญ่ มีท่าทางคล้ายพี่ใหญ่ก็มิปาน ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย และนับถือนางมาก ดังนั้นจึงผงกหัว “เจ้าไปเถอะ บอกผู้เฒ่าด้วยว่าข้ามาแล้ว! ฝากสวัสดีเขาแทนข้าด้วย!”

 

 

“จะทำอย่างไรดี หอราชาโอสถจบสิ้นแล้ว อะไรก็จบสิ้นลงหมดแล้ว!”

 

 

ท่านหมอเทวดาฮั่วที่อยู่ใกล้กรงเหล็ก แววตาเริ่มเฉื่อยชาและสิ้นหวัง

 

 

เฉิงก้วนจงที่อยู่ด้านข้างได้หมดสติไปตั้งนานแล้ว ท่านหมอเทวดาฮั่วพิงตัวลงที่กรงเหล็ก ดูแล้วเหมือนเขาจะอวบอ้วนขึ้น ทว่าเขากลับไม่ได้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด ร่างทั้งร่างของเขาถูกแช่น้ำไว้จนตัวบวมซีด ดูแล้วจะเหมือนว่าขาวๆ อ้วนๆ

 

 

“ผู้เฒ่าฮั่ว ท่านพูดว่าอะไรจบสิ้นแล้วหรือ”

 

 

ขณะที่ท่านหมอเทวดาฮั่วรู้สึกว่าไม่มีความหวังใดๆ อีกแล้ว จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งเกาะอยู่บนกรงเหล็ก และปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าฮั่ว

 

 

“เจ้าคือ…”

 

 

ท่านหมอเทวดาฮั่วใช้เวลาเพ่งอยู่นาน ถึงจะมองออกว่าเป็นอวี้เฟยเยียน ชั่วขณะนี้เองเขารู้สึกดีใจจนร้องไห้ออกมา

 

 

“เด็กน้อยอวี้! เจ้ามาได้อย่างไรกัน!”

 

 

“พอแล้วๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว! ข้าก็มาที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ! เรื่องเมื่อครู่ข้าได้ยินจากด้านล่างหมดแล้ว! ข้าเพิ่งจะช่วยท่านผู้เฒ่าเจ็ดกลับมา แล้วก็มาดูท่าน!”

 

 

เมื่อได้ยินนางพูดถึงท่านผู้เฒ่าเจ็ด ท่านหมอเทวดาฮั่วจึงรีบกระโจนเกาะที่กรงเหล็ก

 

 

“เขาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

 

 

“ยังเหลือลมหายใจเฮือกหนึ่ง! ทว่าท่านวางใจเถิด มีข้าอยู่ ท่านผู้เฒ่าเจ็ดต้องไม่เป็นอะไร!”

 

 

ขณะที่อวี้เฟยเยียนพูด ก็ยื่นไก่ย่างเข้าไปให้เขา “ผู้เฒ่าฮั่ว กินเถิด! ข้ารู้ว่าท่านจะต้องหิวมาก จึงได้นำของอร่อยมาให้ท่าน!”

 

 

“ดี! ดี!”

 

 

หลายวันมานี้ท่านหมอเทวดากินพืชป่าตามหน้าผาเพื่อประทังชีวิต เขาหิวจนตาลายตั้งนานแล้ว หิวจนรู้สึกได้ว่าหน้าอกจะแนบติดที่หลังแล้ว

 

 

เมื่อเห็นไก่ย่าง เขาหาได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น เขายื่นมือไปคว้าน่องไก่เอาไว้ กัดน่องไก่คำโตเข้าปาก

 

 

“ข้าเคยบอกตั้งนานแล้ว เด็กน้อยอย่างเจ้าคือดวงดาวความโชคดีของข้า! ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!”

 

 

“อืมๆ หอมจริง! อาหารมื้อนี้…ข้าหิวมาตั้งเจ็ดวันแล้ว! อร่อยนัก อร่อยจริงๆ!”

 

 

หลังจากกินขาไก่หมดไปหนึ่งขา ท่านหมอเทวดาฮั่วพลันนึกถึงเฉิงก้วนจงที่อยู่ด้านข้างได้ จึงรีบเข้าไปจับตัวเขาและปลุกเขาให้ตื่นขึ้น

 

 

“รีบตื่นเข้า เจ้าเด็กน้อย รีบตื่นขึ้นมากินไก่ย่างเร็วเข้า! จะได้เพิ่มกำลังให้กับร่างกาย!”

 

 

ในฐานะที่เป็นคนกินเก่งคนหนึ่ง หลังจากที่หิวโซมาหลายวัน เขาสามารถกินไก่ครึ่งตัวเข้าไปได้ ท่านหมอเทวดารู้ว่าตนเป็นคนที่มีความสามารถเกินไปแล้ว!

 

 

หลังจากที่เกิดเรื่องกับเจ้าสำนักหลิน เฉินก้วนจงไม่เพียงแต่ไม่มีเส้นแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายกับท่านหมอเทวดาฮั่วอีก ซ้ำกลับยังออกตัวเผชิญหน้ากับท่านผู้เฒ่าใหญ่ นี่ถึงได้นำพาเรื่องร้ายๆ มาให้เขา เฉิงก้วนจงก็ถือว่าตกระกำลำบากไม่น้อย

 

 

“ไก่ย่างหรือ นี่ไปเอาไก่ย่างมาจากไหนกัน”

 

 

“ท่านอาจารย์ปู่ ข้าฝันไปใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเราจะตายกันแล้ว นี่พวกเราอยู่บนสวรรค์หรือ”

 

 

สิ่งที่ทำให้เฉินก้วนจงน่าเวทนากว่าท่านหมอเทวดาฮั่วก็คือ ก่อนที่เขาจะถูกนำตัวมาขัง ท่านผู้เฒ่าใหญ่สั่งให้คนโบยเขาอยู่พักใหญ่

 

 

โดนโบยไปยี่สิบครั้ง แม้เฉิงก้วนจงจะขอร้องอ้อนวอนท่านอาจารย์อย่างไร ท่านผู้เฒ่าใหญ่ก็สั่งให้คนโบยเขา

 

 

“ตายบ้าอะไรกัน! คนชั่วยังไม่ตาย พวกเราจะมาตายได้อย่างไร! รีบกินเสีย!” ท่านหมอเทวดาฮั่วนำน่องไก่ยัดใส่ปากเฉินก้วนจง “เด็กน้อยอวี้มาหาพวกเราแล้ว!”

 

 

“แม่นางหลัวช่าหรือ”

 

 

เมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง ในที่สุดเฉินก้วนจงก็ลุกขึ้นนั่ง

 

 

เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนที่เกาะอยู่ที่กรงเหล็กยิ้มมองเขาอย่างอ่อนโยน ใบหน้าซีดเซียวของเขาจึงเริ่มเห่อร้อน

 

 

ในบทละครต้องเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามไม่ใช่หรือ

 

 

ไยตอนนี้กลับสลับกันเช่นนั้นเสียได้

 

 

“พวกท่านค่อยๆ กิน อย่าให้สำลักล่ะ! ที่ข้ายังมีอีก!”

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้ว่าทั้งสองคนหิวมานานมาก ไม่มีอาหารลงสู่กระเพาะมาเป็นเวลานาน ดังนั้นขณะที่เอาไก่ย่างมานั้น นางจึงนำซุปบำรุงร่างกายร้อนๆ มาด้วย

 

 

“เด็กน้อยอวี้ เจ้าเฉลียวฉลาดมาก! ที่ใส่สุราก็นำมาใส่ซุปได้ นี่เป็นวิธีที่ดีมาก!”

 

 

“โอ้โห นี่คือซุปไก่ต้มโสม! เป็นอาหารชั้นเลิศ! เร็วเข้า เจ้าหนุ่ม เจ้ารีบดื่มเข้าไปซะ!” ท่านหมอเทวดาฮั่วรับกระบอกน้ำมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นส่งต่อให้เฉินก้วนจง

 

 

เมื่อเห็นผมสีดอกเลาของท่านหมอเทวดาฮั่วเปียกลู่แนบหน้าผาก ทว่าเขากลับไม่ใส่ใจและยื่นซุปร้อนๆ มาให้ตน ดวงตาของเฉินก้วนจงจึงเริ่มเปียกชื้น

 

 

หลายวันมากนี้ ท่านหมอเทวดาฮั่วหากสามารถหาสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะกินได้ จะส่งให้เขากินก่อนเสมอ

 

 

เมื่อคิดถึงเมื่อก่อนที่ตนคอยจับตามองท่านหมอเทวดาฮั่วกับอสูรร้ายอวี้ไว้ เฉินก้วนจงจึงเริ่มรู้สึกละอายใจ

 

 

“ท่านอาจารย์ปู่ ท่านดื่มก่อนเถิด!”

 

 

เฉิงก้วนจงก็เป็นหมอยา แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าซุปนี้ได้ใส่ยาวิเศษเพิ่มบำรุงร่างกายมากมาย ล้วนเป็นของดีๆ ทั้งนั้น!

 

 

“ข้าสั่งให้ดื่มก็ดื่ม จะกระมิดกระเมี้ยนอะไรนักหนา!”

 

 

ท่านหมอเทวดาฮั่วยื่นกระบอกน้ำส่งให้เฉิงก้วนจง ส่วนตนเองนั้นขยับไปนั่งข้างอวี้เฟยเยียน จากนั้นยื่นมือออกไป “มียารักษาภายในหรือไม่ เจ้าหนุ่มตระกูลเฉิงถูกโบยก้น หลายวันมานี้ก้นเขาบวมขึ้นมาก! หากต้องทนต่อไป เกรงว่าก้นของเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว!”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ปู่ เฉิงก้วนจงก็แทบจะพ่นซุปออกมาจากปาก

 

 

ท่านอาจารย์ปู่ ท่านอย่าพูดคำว่า “ก้น” ต่อสตรีซ้ำๆ กันหลายรอบจะได้หรือไม่

 

 

มันช่างน่าอายเหลือเกิน!

 

 

“มี!” อวี้เฟยเยียนค้นไปค้นมาตรงอกเสื้อสักพัก จากนั้นจึงหยิบขวดยาออกมา

 

 

“สีขาวใช้กิน สีแดงใช้ทาภายนอก เพียงสามวันก็จะหายดี”

 

 

“ขอบใจเจ้ามาก!” ท่านหมอเทวดาฮั่วแย่งขวดยามา จากนั้นเปิดฝาสูดดมกลิ่นไปมา

 

 

กลิ่นนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทว่าท่านหมอเทวดาฮั่วเกือบจะทำขวดยาตก

 

 

“เด็กน้อยอวี้ นี่คือยาที่เจ้าปรุงขึ้นมาเองหรือ” ท่านหมอเทวดาฮั่วเกาะที่กรงเหล็ก ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปที่อวี้เฟยเยียนอย่างใกล้ชิด คล้ายดั่งจ้องมองอาหารอันโอชะก็มิปาร นัยน์ตามีประกายเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นมา

 

 

“ใช่!” อวี้เฟยเยียนพยักหน้า

 

 

เฉิงก้วนจงที่อยู่ด้านข้างเริ่มสังเกตเห็นความตื่นเต้นของท่านหมอเทวดาฮั่ว จึงกระแซะเข้ามา

 

 

“ท่านอาจารย์ปู่ มีอะไรหรือ”

 

 

“มีอะไรหรือ?!” เสียงของท่านหมอเทวดาเริ่มดังขึ้น ใช้นิ้วดีดลงบนหัวของเฉิงก้วนจง

 

 

“เจ้าบอกกับข้าเร็ว พวกเจ้าอยู่ที่หอราชาโอสถเรียนเรื่องอะไรกันบ้าง ยาที่เจ้าปรุงขึ้น เจ้ายังมีหน้าเอามาโอ้อวดคนอื่นอีกหรือ ช่างขายหน้าเสียจริง!”

 

 

เมื่อพูดประโยคนี้ ท่านหมอเทวดาฮั่วก็นำขวดยายัดใส่มือเฉิงก้วนจง

 

 

“ดูนางสิ! นี่ถึงจะเรียกว่าการปรุงยา! นี่ถึงจะเรียกว่าหมอยา! ทั้งหอราชาโอสถ หากมีใครสามารถปรุงยาได้บริสุทธิ์เต็มร้อย ข้าจะเด็ดหัวตัวเองมาให้เขาเตะเล่น!”

 

 

เฉิงก้วนจงรับขวดยามาทั้งๆ ที่ยังเกิดความงุนงง เมื่อสูดดมกลิ่น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่งไป

 

 

“แม่นางหลัวช่า ท่านไปตรวจวัดระดับหมอยาที่หอราชาโอสถหรือยัง ตอนนี้ท่านอยู่ในระดับใดกัน”

 

 

“เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งจะไปหอราชาโอสถสาขาย่อยมา ท่านผู้เฒ่าเจ็ดบอกว่าระดับของข้าอยู่ในระดับจักรพรรดิโอสถ!” อวี้เฟยเยียนพูดอย่างยิ้มๆ ทว่าชั่วขณะนี้ท่านหมอเทวดาฮั่วกับเฉิงก้วนจงกลับตะลึง

 

 

จักรพรรดิโอสถ! แม่เจ้า!