ตอนที่ 75-1 แมวน้อย เหลียนจิ่นไม่ไหวแล้ว

จำนนรักชายาตัวร้าย

“เด็กน้อยอวี้ อาจารย์ของเจ้าคือใครกันแน่ ถึงได้มีลูกศิษย์ที่เก่งกาจเช่นเจ้านะ หืม”

 

 

หมอเทวดาฮั่วทอดถอนใจยาวออกมา เขามิรู้ว่าจะใช้คำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกของตนเองในตอนนี้ได้จริงๆ

 

 

ปรมาจารย์โอสถในใต้หล้า ล้วนแต่มาจากหอราชาโอสถแทบจะทั้งหมด นับตั้งแต่ที่หอราชาโอสถก่อตั้งขึ้น ก็คอยหล่อหลอมอาจารย์และผู้เป็นเลิศทางโอสถมาโดยตลอด หมอเทวดาฮั่วเองก็มาจากหอราชาโอสถเช่นเดียวกัน

 

 

แต่จู่ๆ ก็มีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่มาที่ไปไม่ชัดเจน อายุยังน้อยทว่ากลับเป็นจักรพรรดิโอสถ!

 

 

หอราชาโอสถก่อตั้งมาช้านานโดยสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นรักษาคนมาก็ตั้งมากมาย สั่งสมชื่อเสียงมาช้านานแต่กลับสู้แม่นางน้อยคนหนึ่งมิได้ เมื่อคิดแล้วหมอเทวดาฮั่วก็จิตใจห่อเ**่ยวยิ่งนัก

 

 

“อาจารย์ปู่ขอรับ”

 

 

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือพวกเราต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ไม่ใช่หรือขอรับ”

 

 

เฉิงก้วนจงที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นซึ่งมันมิเหมาะสมกับการในเวลาเช่นนี้เอาเสียเลย ทำเอาหมอเทวดาฮั่วอารมณ์ขึ้นจนต้องเขกศีรษะเขาเข้าให้หนึ่งที

 

 

“พวกเจ้าคนรุ่นใหม่นี่นะ ความใส่ใจกันแม้สักนิดก็ไม่มีเลย”

 

 

“นี่มันที่ไหนเป็นที่ไหนกัน”

 

 

เฉิงก้วนจงถึงกับร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่เขามิได้โมโหโกรธาแต่อย่างใด เขารีบส่งชามน้ำแกงให้กับหมอเทวดาฮั่ว

 

 

“อาจารย์ปู่ขอรับ ดื่มเสียหน่อยขอรับจะได้บำรุงร่างกาย”

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังพุดคุยกันอยู่นั้นเอง อวี้เฟยเยียนก็ทำการตรวจตรากรงเหล็กอย่างละเอียด

 

 

กรงเหล็กนี่เป็นโครงเป็นท่อนเหล็กหนาเชื่อมประสานกัน ซึ่งการที่จะทลายกรงนี้ออกนั้น สำหรับอวี้เฟยเยียนแล้วมันช่างง่ายดายยิ่งนัก

 

 

หากว่าใช้พลังวิเศษทลายกรงนี่ออกไปละก็ อาจจะทำให้หมอเทวดาฮั่วและเฉิงก้วนจงได้รับบาดเจ็บ แต่ทว่าตอนนี้นางก็ไม่มีอาวุธมีคมใดในมือเลย เหตุนี้ต่างหากที่ทำให้นางร้อนใจ

 

 

“เด็กน้อยอวี้ อย่าเพิ่งร้อนใจไป อย่างไรเสียพวกเราก็ถูกขังอยู่ที่นี่มาตั้งหลายวันแล้ว พวกเราชินเสียแล้วล่ะ”

 

 

หมอเทวดาฮั่วปาดเหงื่อบนใบหน้าเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง

 

 

“เด็กน้อยอวี้ ตาเฒ่าฮั่วคนนี้ชั่วชีวิตไม่เคยขอร้องใครมาก่อน ข้าอยากจะขอร้องเจ้า ช่วยหอราชาโอสถได้หรือไม่”

 

 

ในขณะที่กล่าวนั้นเอง ใบหน้าของหมอเทวดาฮั่วซีดขาว ดวงตาฉายแววขอร้อง

 

 

“ข้ารู้ว่าข้อเรียกร้องนี้ของข้าอาจจะเกินไปสักหน่อยสำหรับเจ้า เพราะอย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น ทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นสำนักหมื่นพิษ พวกมันต้องการทำอะไร มีสมาชิกเท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด”

 

 

“ให้เจ้าออกแรงเพียงลำพังต่อสู้กับสำนักหมื่นพิษ นับว่าลำบากเจ้าแล้ว แต่ตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยหอราชาโอสถ ช่วยทุกคนได้”

 

 

อวี้เฟยเยียนคาดการไว้อยู่แล้วว่าหมอเทวดาฮั่วต้องเอ่ยปากขอร้องออกมา ซึ่งต่อให้เขาไม่เอ่ยปากออกมาก็ตามแต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็คงไม่นิ่งดูดายเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วยเช่นกัน

 

 

“ผู้อาวุโสฮั่ว ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด ท่านวางใจเถอะ”

 

 

เห็นอี้เฟยเยียนรับปากเช่นนั้นแล้ว หมอเทวดาฮั่วก็ทั้งซาบซึ้งและตื่นตระหนกเป็นอันมาก

 

 

อวี้เฟยเยียนคือจักรพรรดิโอสถเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดิน หากว่านางยอมยื่นมือเข้าช่วยละก็ ความเป็นไปได้ที่ตำหนักเทพโอสถจะชนะก็เพิ่มมากขึ้นเป็นกอง

 

 

“ผู้อาวุโสฮั่ว ข้าจะไปพาคนมาช่วยพวกท่านออกมา แล้วพวกเราค่อยหารือกันอีกครั้ง”

 

 

“เพราะอย่างไรเสียข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักหมื่นพิษเลยแม้สักนิด ส่วนกับหอราชาโอสถข้าก็ไม่คุ้นชิน หากว่าสุ่มสี่สุ่มห้าออกหน้าไปเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของหอราชาโอสถอาจจะไม่เชื่อถือคำพูดของข้า ดังนั้นข้าต้องการให้ท่านช่วยเหลือ”

 

 

อวี้เฟยเยียนคิดใคร่ครวญได้รอบคอบเป็นอย่างมาก จนหมอเทวดาฮั่วพยักศีรษะเบาๆ

 

 

“เจ้าอายุเพียงเท่านี้แต่สามารถไตร่ตรองได้รอบคอบถึงเพียงนี้ ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ”

 

 

“ผู้อาวุโสฮั่ว ท่านกล่าวเกรงใจเช่นนี้ ทำให้ข้าละอายยิ่งนัก ข้าจะไปหาคนเดี๋ยวนี้ จริงสิ เชียนเยี่ยเสวี่ยมาถึงแล้ว นางคอยดูแลผู้อาวุโสเจ็ดอยู่ด้านล่าง นางยังฝากข้ามาทักทายท่านด้วย ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

 

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี”

 

 

เมื่อเห็นร่างของอวี้เฟยเยียนเลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี มิรู้เป็นหยดน้ำหรือหยาดน้ำตาที่หลั่งรดลงบนใบหน้าของหมดเทวดาฮั่ว เขารู้สึกเพียงว่าสายตาของเขานั้นพร่ามัว จึงอดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบบนใบหน้าตนเองเบาๆ

 

 

ครานี้ หอราชาโอสถมีทางรอดแล้ว

 

 

อวี้เฟยเยียนมาถึงริมบึง ตอนนั้นเองผู้เฒ่าเจ็ดก็กระอักเอาเลือดพิษออกมาแล้ว โดยมีเชียนเยี่ยเสวี่ยกำลังป้อนยาให้แก่เขา

 

 

“ซาซา ตาแก่ เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยแบกผู้เฒ่าเจ็ดไว้บนหลังปากก็ร้องเรียกขณะที่เดินตามหลังอวี้เฟยเยียนไป

 

 

“ครั้งนี้พวกเราจะต้องทำการใหญ่ขนาดสะเทือนฟ้าดินใช่ไหม”

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกได้ทันทีว่าเลือดนักสู้ที่ไหลเวียนอยู่ในกายของตนเริ่มที่จะสูบฉีดขึ้นมาฉับพลัน

 

 

“ครั้งนี้รับรองว่าจะให้เจ้าแสดงฝีมืออย่างเต็มที่กับสงครามใหญ่จนหนำใจแน่นอน”

 

 

“เยี่ยมไปเลย ซาซา อยู่กับเจ้าจักต้องมีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดเวลาเสียจริงๆ  ต่อไปหากว่าข้าเบื่อๆ  ละก็ไม่ปงไม่เป็นแล้วเยี่ยนอ๋อง ข้าจะมาอยู่กับเจ้าติดตามเจ้า เราสองคนผนึกกำลังกัน ท่องไปทั่วยุทธภพ เจ้าว่าเป็นอย่างไร”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม หากว่ามิใช่กำลังแบกผู้เฒ่าเจ็ดอยู่ละก็ นางคงจะออกท่าออกทางไปแล้ว

 

 

“ได้สิ! ขอเพียงแต่เจ้ายินยอมละทิ้งชื่อเสียงเกียรติยศของความเป็นเยี่ยนอ๋องนั่นได้ละก็ ต่อไปพวกเราก็จะท่องยุทธภพด้วยกัน นำชัยชนะเหนือผู้คนในใต้หล้า”

 

 

คนทั้งสองลอยล่องอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เมื่อถึงที่หมาย อวี้เฟยเยียนก็มิได้ทำให้ผู้ใดแตกตื่นแต่กลับตรงไปยังห้องของเซวียจื่ออี๋ทันที

 

 

“ผู้เฒ่าเจ็ด!”

 

 

เมื่อเห็นสภาพของผู้อาวุโสเจ็ดเช่นนั้น เซวียจื่ออี๋ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ

 

 

“หลัวซา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน”

 

 

“เรื่องมันยาว กลับไปข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง”

 

 

อวี้เฟยเยียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยช่วยกันประคองผู้เฒ่าเจ็ดเข้าไปด้านใน

 

 

“จื่ออี๋ พิษในกายของผู้อาวุโสเจ็ดข้าได้ขจัดจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าช่วยดูแลท่านด้วย ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก ทางนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

 

 

อวี้เฟยเยียนนอบน้อมเกรงใจเช่นนี้ ทำเอาเซวียจื่ออี๋ยิ่งมิกล้าไปกันใหญ่

 

 

“หลัวซา ข้าคือศิษย์ของหอราชาโอสถ ดูแลผู้อาวุโสเจ็ดเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะดูแลมิให้คลาดสายตา”

 

 

ขณะนั้นเอง เซวียเฉียงที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากห้องของเซวียจื่ออี๋เข้าจึงเดินเข้ามาดู เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยในชุดดำเข้าเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันภายในจิตใจของเขาก็ครุ่นคิดอย่างหนัก

 

 

ฝีมือของเชียนเยี่ยเสวี่ยเขาเคยประจักษ์กับสายตามาแล้ว อย่างน้อยที่สุดนางก็ถือเป็นเทพศาตราคนหนึ่ง มิเช่นนั้นคงมิใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของเสวี่ยเยี่ยนเป็นแน่

 

 

ตัวเขาเองต่างหากที่วรยุทธ์ไม่เอาไหน จนมิสามารถช่วยเหลืออะไรนางได้เลย

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียเฉียงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้ว่าเขาอาจจะตามนางมิทัน แต่แค่เพียงได้ติดตามนาง คอยมองดูความสำเร็จของนางอยู่เบื้องหลังแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!

 

 

“ข้าได้ยินถึงความเคลื่อนไหว จึงได้เดินเข้ามาดู พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้ามิได้แอบฟังอะไรและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

 

 

“แต่ว่า หลัวซา ข้าคิดว่าครั้งนี้พวกเราเดินทางมาด้วยกันจึงนับเป็นสหายกันแล้ว ดังนั้นหากในเวลาที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือขอให้บอกข้ามาได้เลย มิต้องเกรงใจ”

 

 

น้ำเสียงที่กล่าวออกมาของเซวียเฉียงนั้นหนักแน่นเป็นอันมาก

 

 

เขารู้ดีว่าระยะห่างระหว่างเขาและอวี้เฟยเยียนเป็นดั่งเช่นโลกสองใบที่มิอาจก้าวข้ามมาบรรจบกันได้ บางทีชาตินี้เขาอาจถูกกำหนดให้คอยติดตามอยู่เบื้องหลังนาง ทว่ากลับมิอาจเทียบเทียมนางได้เลยตลอดไป…

 

 

แต่ว่าขอเพียงได้อยู่ข้างกายนางต่อให้เป็นแค่ในฐานะเพื่อนหรือแม้แต่คนติดตาม เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว

 

 

“เจ้ามาพอดีทีเดียว จื่ออี๋กำลังดูแลผู้อาวุโสเจ็ดอยู่ เจ้าก็คอยดูแลพวกเขาอีกที”

 

 

อวี้เฟยเยียนหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วส่งให้เซวียเฉียงกล่าวว่า

 

 

“เจ้าหยุดชะงักอยู่ที่ขั้นยอดยุทธ์เป็นเวลานานแล้ว ยาเม็ดนี้จะช่วยเจ้าให้สำเร็จขั้นเร็วขึ้น อีกไม่นานจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น เซวียเฉียง ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือข้าอย่างเต็มความสามารถ”

 

 

เซวียเฉียงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่า อวี้เฟยเยียนมิเคยคิดว่าเขาเป็นคนนอกเลย เขาจึงรับเอายาเม็ดนั้นมาด้วยความตื้นตัน

 

 

“เจ้าวางใจได้เลย ข้ารับรองว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ!”

 

 

เห็นแก้มทั้งสองข้างของเซวียเฉียงแดงก่ำ เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงยื่นมือออกไปฟาดไปที่ไหล่ของเซวียเฉียง อย่างแรงโดยมิเกรงใจแล้วกล่าวว่า

 

 

“เจ้าหนุ่ม ตั้งใจให้มากๆ นะ อยู่กับซาซามีสิ่งดีๆ  มากมาย! ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง!”

 

 

“แค่ก แค่ก! ได้!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยลงมือหนักมากทำเอาเซวียเฉียงแทบจะสะอึกออกมา

 

 

“หรูจื้อ เขาสอนกันได้ แต่ว่าเจ้าห้ามคิดอะไรกับซาซาเด็ดขาด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยกำหมัดขึ้นมาเพื่อข่มขู่ทั้งยังสบถใส่เซวียเฉียงอีกครั้ง แล้วจึงลากแขนอวี้เฟยเยียนเดินออกไป

 

 

เห็นเซวียเฉียงทำท่าทางคอตกหมดหวังเช่นนั้น เซวียจื่ออี๋ก็ทอดถอนใจออกมา ขณะเตรียมที่จะไปปลอบใจน้องชายอยู่นั่นเองก็เหลือบเห็นน้องชายกำยาในมือเม็ดเมื่อครู่แน่น สีหน้าของเขาเฉกเช่นคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ แล้วกล่าวกับนางว่า

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าจะต้องแข็งแกร่ง ต้องแข็งแกร่ง”

 

 

นี่เขายังไม่…ล้มเลิกความคิดนี้อีกหรือนี่

 

 

พริบตานั้นเซวียจื่ออี๋ก็ราวกับถูกตีแสกหน้ามึนงงไปหมด นางมิรู้เลยว่าคำพูดของน้องชายต่อจากนั้นจะทำให้นางยิ่งตกตะลึงเข้าไปกันใหญ่

 

 

“พี่ ข้ารู้ดีว่าข้ากับนางมิอาจจะลงเอยกันได้ ดังนั้นข้าจึงอยากที่จะอยู่เคียงข้างนางในอีกสถานะหนึ่งนั่นก็คือเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์! ซื่อสัตย์ต่อนางตลอดไป! คอยดูแลปกป้องนาง!”

 

 

ในขณะที่กล่าวแววตาท่าทางของเซวียเฉียงนั้นแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

 

 

ตอนนี้ เขาได้ค้นพบหนทางและจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเองแล้ว