บทที่ 412 ศัตรูควรได้รับการแก้ไขไม่ควรผูกปม

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

โลกของศิลปะการต่อสู้แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของรประเทศเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับสังคมทั่วไป ก็มีความแตกต่างที่แน่นอนอยู่แล้ว

ยังไง คนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้อารมณ์มักจะหุนหันพลันแล่นและใจร้อน และมักจะพูดผิดหูประโยคเดียวก็เป็นต้องลงไม้ลงมือต่อสู้กัน

อยู่ในโลกของศิลปะการต่อสู้ ถ้าหากอยากอยู่อย่างปลอดภัย ประเด็นแรกคือต้องเรียนรู้ที่จะเช็คสถานการณ์

แม้ว่าจากปากของฉินเจิ้งเขาจะรู้มาบ้างว่าเย่เทียนไม่ธรรมดา แต่จากก้นบึ้งหัวใจของเขา หลัวซานไม่ได้ให้ความสำคัญกับเย่เทียนเท่าไหร่นัก

ประการแรกโลกของศิลปะการต่อสู้กับสังคมทั่วไปแตกต่างกันไม่มาก หลัวซานเชื่อมั่นว่าแม้เย่เทียนจะแข็งแกร่งแค่ไหน ให้ตายอย่างมากที่สุดก็คงเป็นแค่พึ่งเข้าระดับดำ

ประการที่สอง ไม่ว่ายังไงสำนักเฟยวี่ก็อยู่ในสิบอันดับแรกของโลกของศิลปะการต่อสู้เสมอ หลังจากวางอำนาจบาตรใหญ่มาหลายปี เขาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่เย่อหยิ่ง

อันที่จริง ไม่ใช่แค่เขา ทุกคนที่ออกมาจากโลกศิลปะการต่อสู้ ก็จะถูกคนในสังคมทั่วไปดูถูกไม่มากก็น้อย

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสำนักเฟยวี่ได้รับข่าวจากฉินเจิ้ง พวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก

แม้แต่หลัวซาน ก็เข้ามาหลังจากได้รับคำสั่งจากสำนัก อีกสาเหตุก็คือคิดถึงไวน์ดีของทางสังคมถึงได้วิ่งมาหา

แน่นอน แม้ว่าตอนอยู่ตระกูลฉินเขาจะถูกเย่เทียนทำให้รู้สึกมืดมนเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

ในเมื่อ การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ไม่เพียงแค่ดูเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของกันและกันด้วย

แต่ตอนนี้ เมื่อตอนเย่เทียนแสดงพลังระดับดินออกมา ความเย่อหยิ่งในหัวใจของ หลัวซาน ก็เลิกใส่ใจไปนานแล้ว และนับถือเย่เทียนจากก้นบึ้งของหัวใจ

นี่คือ ผู้แข็งแกร่งระดับดินที่มีอายุไม่ถึงสามสิบปีนะ!

ไม่ต้องพูดถึงสังคมทั่วไป แม้แต่ในโลกของศิลปะการต่อสู้ ก็เป็นเรื่องที่สุดยอดหายากจริงๆ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธของหลัวซานก็หายไปหมดสิ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นเล็กน้อย

เขายังกังวลอยู่ว่าเย่เทียนยังคงตกลงที่จะเข้าร่วมเลือกทีมสายฟ้าในการคัดเลือกมั้ย?

ต้องรู้ว่า ถ้าคุณต้องการเป็นสมาชิกของอาวุธหลักสามอย่างของประเทศ นอกจากส่วนตัวจะได้ผลผลประโยชน์ที่สอดคล้อง กันแล้ว สำนักที่อยู่เบื้องหลังก็ยังได้รับประโยชน์มากมาย

มิฉะนั้น พลังของโลกของศิลปะการต่อสู้แต่ละสำนัก จะเต็มใจส่งศิษย์ที่ภาคภูมิใจที่ฝึกฝนมาอย่างหนักแล้วไปทำงานฟรีๆเปล่าประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ไง?

เย่เทียนก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับดินตั้งแต่อายุยังน้อย การที่จะถูกเลือกก็เป็นไปได้สูงมาก!

ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดที่รุนแรงของเย่เทียนก็พูดถูกต้อง เขาไม่ต้องการเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้ทำให้ สำนักเฟยวี่เพิ่มศัตรูที่เก่งกาจขึ้นมา

แน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือในเวลานี้ แม้ว่าเขาจะดูน่าอับอาย แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก และที่สำคัญก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเสี่ยงชีวิต

ในเวลานี้ ถังเหวินหลงและคนอื่นๆต่างก็ได้สติกลับคืนมาฉินชิงหูกับเฉิงหลงก็รีบไปกอดมือซ้ายขวาของเย่เทียนสองข้าง กลัวว่าเขาจะลงมืออีก

“คุณชายเย่ ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ!”

“คุณชายเย่ พวกเรามีอะไรคุยกันดีๆ อย่าเอะอะก็ลงไม้ลงมือได้มั้ย?”

แม้ว่าพวกเขาทั้งสองอายุจะมากกว่าเย่เทียน แต่ท่าทีกลับวางตัวต่ำต้อยมาก

“เย่เทียน! นี่คุณกำลังทำอะไร!”

ถังเหวินหลงก็ได้สติกลับมา สีหน้าของเขามืดมนทันที และแววตาของเขาแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย

อันที่จริง ในระหว่างที่ลงมือ เย่เทียนก็รู้สึกเสียใจแล้ว และแอบคิดเงียบๆว่า ทำไมเมื่อไหร่ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเย่ ตัวเองก็จะกลายเป็นคนหุนหันพลันแล่นนะ?

นี่ยังไงก็เป็นเขตทหารของเจียงหนัน และยิ่งกว่านั้นคืออยู่ต่อหน้าถังเหวินหลงด้วย ถ้าหากล่วงเกินทำให้ระดับรัฐมนตรีชายแดน คนนี้โกรธละก็ ดูจากตัวเองในขณะนี้คงไม่ได้รับผลดีอะไรอย่างแน่นอน

ได้ยินเสียงตะโกนรุนแรงของถังเหวินหลงอยู่ข้างหู ความคิดของเย่เทียนก็รีบหันกลับด้วยความเร็วสูง เมื่อสายตามองไปเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของหลัวซาน เขาก็เกิดความคิดขึ้นมา

“อย่าห้ามผม! ไอ้คนหมาหลัว ผมทนมานานแล้ว!”

“เมื่อวานก็ลอบโจมตีผมอย่างไม่รู้สาเหตุก็จะไม่พูดละ แต่วันนี้ยังวางตัวหยิ่งยโสต่อหน้าผม ถ้าผมไม่แสดงพลังออกมาบ้าง คุณคงคิดว่าผมไม่เอาไหนจริงๆใช่มั้ย?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่นายท่านฉิน เมื่อวานตอนอยู่ตระกูลฉินผมคงทุบคุณเป็นหัวหมูแล้ว”

“แม่งอายุปูนนี้แล้ว ยังไม่รู้อีกเหรอว่า ไม่ควรดูถูกคนอื่น?”

เย่เทียนสะบัดฉินชิงหู่กับเฉินหลงสองคนออกไป แสร้งทำท่าทีว่าโกรธมาก ชี้ไปที่หลัวซาน ตะโกนด่า

ถังเหวินหลงได้ยินเช่นนี้ คิดว่าเมื่อวานหลัวซานต้องทำเรื่องอะไรไม่ดีกับเย่เทียนแน่เลย เมื่อวานเย่เทียนก็อดกลั้นไว้ ตอนนี้ก็มาถูกกระตุ้นต่ออีก ดังนั้นเขาจึงได้ลงมือตีคน

เขาได้ติดต่อกับโลกศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง รู้ว่าคนที่มาจากโลกศิลปะการต่อสู้ล้วนมีฝีมือไม่มากก็น้อย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าที่มืดมนของถังเหวินหลงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงในทันที

“ผม ผม……”

ในใจหลัวซานรู้สึกเสียใจแทบตาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะคัดค้านยังไง

ในเมื่อ สิ่งที่เย่เทียนพูดก็ไม่ผิด เขาลอบโจมตีเย่เทียนจริงๆ และเขาก็ดูถูกคนอื่น

นอกจากนี้ เขายังหวังให้เย่เทียนมีส่วนร่วมสำนักเฟยวี่ในการคัดเลือก และคำหยาบบางคำก็ยากที่จะแสดงออกมา และชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะคัดค้านยังไง

ปฏิกิริยาของหลัวซานเป็นการยืนยันคำพูดของเย่เทียนโดยไม่ต้องสงสัย แต่ยังไงเขาเป็นตัวแทนของสำนักเฟยวี่ ถังเหวินหลงก็เลยรีบลุกขึ้นเพื่อไกล่เกี่ยให้สถานณ์ต่าง ๆราบรื่น

“พอแล้ว พอแล้ว ทุกคนสงบหน่อย!”

“เย่เทียน ​​เหล่าหลัว ผมไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ แต่ผมเชื่อว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจแน่”

“เพียงแต่ ไม่ว่ายังไงดูจากอายุเหล่าหลัวก็เป็นผู้อาวุโส เย่เทียนคุณไม่ควร เพราะคุยไม่ถูกคอก็ลงมือนะ”

“ท่านถัง ท่านไม่รู้ว่าเขาทำเกินไปขนาดไหน เมื่อวาน…”

เมื่อเห็นว่าถังเหวินหลงเล็งเป้าไปที่ตัวเอง เย่เทียนก็ชี้นิ้วไปที่หลัวซานด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง

“ผมไม่อยากฟังคำอธิบาย!”

เพียงแต่ก่อนที่เย่เทียนจะพูดอะไร ถังเหวินหลงก็โบกมือเพื่อขัดจังหวะ “อย่างที่สุภาษิตกล่าวไว้ศัตรูควรได้รับการแก้ไขไม่ควรผูกปม”

“เย่เทียน สองเดือนผ่านไปการแข่งขันคัดเลือกทีมสายฟ้า คุณจะได้เข้าร่วมแข่งขันในฐานะศิษย์สำนักเฟยวี่!”

“เหล่าหลัว ถึงยังไงคุณก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ผมหวังว่าเรื่องนี้คงจบลงแค่นี้!”

ระหว่างคำพูด ถังเหวินหลงทำหน้าบึ้งตึงขึ้น ร่างกายค่อยๆกระจายพลังอันยิ่งใหญ่ที่จริงจังออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นภาพลวงตาอย่างไม่ต้องสงสัย

“ขอเพียงเขาไม่จงใจที่จะหาเรื่องผม ผมก็สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกในฐานะศิษย์ของสำนักเฟยวี่ได้”

เย่เทียนยักไหล่และพยักหน้าเป็นคำตอบ

“เอาล่ะ! ขอเพียงเขาไม่ดูถูกสำนักเฟยวี่อีก ต่อไปผมก็สามารถปล่อยวางอดีตได้!”

หลัวซานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน

พูดตามตรง ระหว่างทั้งสองคนก็ไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังอะไร มันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเลยเกิดความขัดแย้งหุนหันพลันแล่นของเย่เทียน ไม่มีใครที่คิดจะเอาเรื่องให้ถึงตายหรอก

ถังเหวินหลงรัฐมนตรีของเขตแดน ยืนหยัดเพื่อไกล่เกลี่ยสร้างสันติภาพ แน่นอนทุกคนมีแต่ความสุขปีติยินดีก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ภายใต้อำนาจความแข็งแกร่งของถังเหวินหลง เย่เทียนกับหลัวซานจับมือกันเพื่อสันติภาพ และแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อซึ่งกันและกัน เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงอย่างสมบูรณ์

เรื่องต่อจากนี้นั้นก็เป็นเรื่องง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย และทุกคนก็ต๊อกต๋อยอีกครั้ง ถังเหวินหลงเปิดเผยอย่างแผ่วเบาว่ายังมีเรื่องที่จะพูดคุยกับหลัวซาน โดยหวังว่าเย่เทียนจะกลับไปก่อน

เย่เทียนรีบหยิบหนังสือแดงแล้วบอกลา เหมือนกับตอนมาภายใต้การนำของฉินโล่หยินแล้วเดินออกจากเขตทหาร…