ตอนที่ 1669

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,669 : การประลองจัดอันดับ

 

หลังการเปิดเผยตัวตนของรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า เริ่นจง ไม่นานชายอ้วนหัวล้านก็เริ่มกล่าวแนะนำตัวออกมาเช่นกัน

 

“ทุกคนสิ่งที่เหล่าเหรินกล่าวออกมา ก็คือวาจาที่ข้าจะกล่าวเช่นกัน ดังนั้นข้าก็ไม่ขอกล่าวอะไรให้มากความ…ข้าคือ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง”

(เริ่น กับเหริน ในที่นี้คืออักษรตัวเดียวกัน ต่างแค่เสียงพูด)

 

ชายหัวล้านรูปร่างอ้วนท้วมผู้นี้ก็คือตัวแทนจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ที่ถูกส่งมาควบคุมกำกับการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…หลังจากเกริ่นนำมันก็ประกาศนามตัวเองออกมา

 

คฤหาสน์คลื่นคลั่งก็เป็นเช่นเดียวกับคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ต่างก็เป็นขุมพลังชั้น 4เหมือนกัน!

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับฐานะรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าของเริ่นจง รวมถึงฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นแล้ว…ฐานะผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของหลิวหงกวง ออกจะต้อยต่ำไปบ้าง!

 

“ดูเหมือนคฤหาสน์คลื่นคลั่งจักมิได้เห็นความสำคัญของการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องของพวกเราสักเท่าใด…กลับส่งแค่อาวุโสลำดับ 2 มาควบคุมจัดการประลอง”

 

ไม่นานหลังจากที่ได้ทราบตัวตนของชายอ้วนหัวโล้น ก็มีบางคนกล่าวนินทาออกมาเสียงเข้ม

 

เมื่อมีผู้เปิด ก็ย่อมมีผู้ตาม

 

พริบตาผู้คนมากมายที่ยืนอยู่บนกระดานหมากหลิงหลงที่เสมือนไร้ขอบเขตก็เริ่มระเบิดเสียงอื้ออึงกันออกมาอีกครั้ง

 

“หากเทียบกับอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง รวมถึงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า! อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งยังนับเป็นอันใดได้…!! ข้ามิเข้าใจจริงๆ ว่าคฤหาสน์คลื่นคลั่งคิดอันใดอยู่กันแน่ ถึงได้ส่งมาแค่ผู้อาวุโสลำดับ 2 เช่นนี้!?”

 

“นั่นสิ อาวุโสลำดับที่ 2 จะควบคุมดูแลการประลองให้ดีได้อย่างไร”

 

“เฮ่อ! เช่นนั้นการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องพวกเราวันนี้ผู้มีอำนาจคานกับอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็มีแค่รองผู้นำเริ่นคนเดียวแล้วสิ? แล้วนี่ถ้าหากรองผู้นำเริ่นไม่ได้อยู่ใกล้หรือสังเกตเห็น ผู้ใดจะหยุดคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจากการทำผิดกฏได้เล่า กระทั่งหากอาวุโสหลักลงมือทำผิดกฏเสียเอง แล้วอาวุโสลำดับที่ 2 จะมีปัญญาหยุดหรือ?”

 

“ฮัยยา! ข้าว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นโดยที่รองผู้นำเริ่นไม่เห็น ต่อให้อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งเห็น ก็คงปล่อยให้อยุติธรรมบังเกิดไปเช่นนั้นแล้วล่ะ…พลังฝีมือเท่านี้จะลงมือทำอะไรได้ตอนเกิดปัญหา!”

 

……

 

เมื่อเห็นว่าหลิวหงกวงไม่แม้แต่จะสนใจคำซุบซิบนินทา ทั้งหลายได้ทีก็ยิ่งเอาใหญ่ กล่าวกันสนุกปากได้อีก

 

ส่วนหลิวหงกวงที่ลอยร่างเหนือกระดานหมากหลิงหลงยังคงเฉยเมยไม่แยแส คล้ายไม่ได้ยินวาจานินทาจากผู้คนแม้แต่น้อย

 

แต่อันที่จริงด้วยด่านพลังฝึกปรือของมัน ย่อมสามารถได้ยินทุกวาจาของผู้คนชัดเจน ต่อให้กระซิบเบากว่านี้ก็ตามที!

 

เช่นนั้นที่มันยังคงสงบก็เพราะมันไม่ได้สนใจจริงๆ!

 

อย่างไรก็ตามหลิวหงกวงไม่สนใจ แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่สนใจได้! ตอนนี้ผู้คนจากคฤหาสน์คลื่นคลั่งที่ติดตามมาด้วยอดไม่ได้ที่จะมีโทสะ ระดับอาวุโสก็ตะเบ็งเสียงกล่าวแก้ต่างออกคอเป็นเอ็น!!

 

เพราะพวกมันรู้สึกวาจานินทานั้นเหลวไหลไร้ความเป็นธรรมสำหรับพวกมันอยู่บ้าง!

 

อนิจจาเสียงของพวกมันกลับถูกเสียงอื้ออึงกลบเสียมิด แถมพวกมันก็โมโหจนลืมควบปราณแรกกำเนิดเสียอย่างนั้น

 

ตอนนี้เองฉีเสิ่นของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกับยืนผงะมุมปากกระตุกขึ้นมาตงิดๆ

 

คนพวกนี้บอกว่าหลิวหงกวงอ่อนด้อยกว่ามันหรือ?

 

ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะชรากว่าหลิวหงกวงเป็นรอบ หากแต่พลังฝีมือของหลิวหงกวงนั้นได้ก้าวข้ามมันไปตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยามนั้นมันไปเยือนคฤหาสน์คลื่นคลั่ง จนมีเหตุให้ประมือกับหลิวหงกวง อนิจจาไม่ถึง 100 กระบวนท่ามันก็พ่ายแพ้!

 

ในการประมือครั้งนั้น กล่าวได้ว่ามันได้ใช้ออกทุกสิ่งที่มันมียกเว้นศาสตราเซียนและยันต์เต๋าอื่นใดแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำอะไรหลิวหงกวงไม่ได้เลย!

 

ดังนั้นมันเลยแพ้พ่ายการประลองครั้งนั้น!

 

มาตอนนี้พอได้ยินผู้คนกล่าวว่าหลิวหงกวงอ่อนด้อยกว่ามัน ใบหน้าของมันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา

 

‘อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งคนนั้น ไม่ธรรมดาเลย…’

 

หากกล่าวถามว่า ยังจะมีผู้ใดนอกจากคนรู้จักและคุ้นเคยกับหลิวหงกวง แล้วไม่เห็นด้วยกับคำซุบซิบนินทาของผู้อื่น ต้องตอบเลยว่ามีเหลือไม่กี่คนเท่านั้น แต่ยังมีต้วนหลิงเทียนรวมอยู่ในนั้นด้วย

 

เพราะต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นได้ชัดเจน ยามที่ขุมพลังชั้น 4 ไปเข้าที่พักนั้น อาวุโสหลักอย่างฉีเสิ่นไม่เพียงแต่สุภาพกับรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเท่านั้น แต่กับหลิวหงกวงเองก็ยังมีทีท่าสุภาพนอบน้อมไม่ต่างกันเลย!

 

ในฐานะที่เป็นขุมพลังชั้นเดียวกัน ฉีเสิ่นที่มีฐานะอาวุโสหลัก…ต่อให้เป็นเจ้าภาพทว่ากับอาวุโสลำดับ 2 แบบนั้น หากเห็นว่าหลิวหงกวงอ่อนแอกว่าก็คงไม่มีทีท่าสุภาพนอบน้อมเช่นนี้!!

 

เพราะสุดท้ายแล้วโลกนี้ผู้มีพลังฝีมือเป็นที่สุด

 

ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่มีฐานะทางสังคมเหนือกว่า จะมาสุภาพอ่อนน้อมกับผู้ที่ด้อยกว่าทั้งฐานะและวัย!

 

คล้ายกับต้วนหลิงเทียน บรรดาผู้ที่คิดอ่านเช่นนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือของขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 3 รวมถึงยอดฝีมือของขุมพลังชั้น 5 ทั้ง 3 ไม่เว้นพวกงหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจือ และจงกู้ด้วย

 

จากสีหน้าแววตาของพวกมัน เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำซุบซิบนินทาของผู้อื่นโดยรอบ

 

“ทุกคน! ให้ข้าพูดอะไรสักคำเถอะ!!”

 

ในขณะที่สถานการณ์เริ่มเกินควบคุมนั้นเอง เริ่นจงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าก็กล่าววาจาออกมา แถมเสียงมันยังควบแน่นไปด้วยปราณแรกกำเนิด ทำให้ดังพอจะสะกดทุกคน!

 

หลังจากที่ทั้งหมดหุบปาก ต่างก็หันไปมองเริ่นจงเป็นสายตาเดียวกัน

 

พวกมันอยากรู้นักว่ารองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าจะกล่าววาจาอะไรออกมา

 

เมื่อเห็นว่าทั้งหมดสงบปากสงบคำกันแล้ว เริ่นจงก็หันไปมองหลิวหงกวงพร้อมกล่าวออกด้วยเสียงผสานปราณแรกกำเนิด “ในแง่ของอายุ อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งคนนี้ถือได้ว่าอยู่ในรุ่นเดียวกับหลานชายของข้า…หากแต่ในแง่ของพลังฝีมือ น่ากลัวว่าข้าคงไร้ความมั่นใจที่จักเอาชนะ!”

 

ทันทีที่เสียงของเริ่นจงดังจบคำ ฉากเรื่องราวโดยรอบกลับเงีนยงันปานตกตาย!

 

เริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า กล่าวบอกว่าไร้ความมั่นใจที่จะเอาชนะอาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง?

 

เป็นไปได้หรือ!?

 

“ล้อกันเล่นหรือไร!? เพียงอาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งกลับมีพลังฝีมือทัดเทียมกับรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเลยหรือ!?”

 

“เหลวไหลใหญ่แล้ว! ข้าว่ารองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้ากล่าวเช่นนี้ เพราะเพื่อรักษาให้อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งมากกว่า!!”

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

 

“ข้าพเจ้าก็รับประทานข้าว มิใช่หญ้า!!”

 

……

 

แม้เริ่นจงจะกล่าวเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้หลิวหงกวงแล้ว หากแต่ไร้ผู้ใดเชื่อมันสักนิด! แถมยังคิดไปว่ามันกล่าวเพื่อรักษาหน้าให้ผู้อื่นเสียอีก!!

 

พอเห็นดังนี้เริ่นจงจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา

 

ทว่าในขณะที่มันกำลังจะอธิบายออกมาอีกครั้ง หลิวหงกวงที่อยู่ข้างๆ พลันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ช่างเถอะเหล่าเหริน…ข้ามิได้สนใจอะไร ท่านก็อย่าได้ใส่ใจไปเลย แต่อย่างไรเสียข้าก็ขอขอบคุณน้ำใจของท่านมาก”

 

ในเมื่อหลิวหงกวงกล่าวออกมาเองเช่นนี้ เริ่นจงจึงไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีก

 

“หงกวง เจ้ายังนิ่งยิ่งกว่าผู้ชราเช่นข้าเสียอีก…”

 

สุดท้ายเริ่นจงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน

 

อย่างไรก็ตามวันนี้เรื่องที่สำคัญก็คือการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง

 

ดังนั้นพอเวลาผ่านไปสักพัก ผู้คนก็เลิกซุบซิบนินทาหลิวหงกวงไปเอง

 

ความสนใจของุทกคนกลับมาอยู่ที่การประลองแทน

 

“ทุกคนฟัง”

 

เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องออกมาขับไล่ความมืดมิดในหุบเขาจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ เริ่นจง หนึ่งในผู้ดำเนินการจัดการประลอง พลันกล่าวออกมาทันที “วันนี้เป็นวันแรกของการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…ข้าแน่ใจว่าทุกคนสมควรรับทราบกฏกติกาในการประลองกันมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่ายังมีคนที่มิคุ้นเคยกับกฏอยู่เช่นกัน”

 

“เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะกล่าวถึงกฏการประลองให้ทั้งหมดฟังอีกครั้ง จักได้เข้าใจตรงกัน”

 

เมื่อเกริ่นจบคำแล้ว เริ่นจง ก็เริ่มอธิบายกฏกติกาการประลองให้ทุกคนฟัง

 

ช่วงๆแรกที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา ก็คือกฏเบื้องต้นที่ต้วนหลิงเทียนรู้มาแล้ว

 

การประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จะดำเนินในรูปแบบการประลองที่ไม่สนว่าจะอยู่หรือตาย!

 

แต่แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ คู่ต่อสู้ก็จะไม่ได้รับอนุญาติให้ลงมือสังหารโดยเด็ดขาด และเริ้นจงกับ หลิวหงกวงที่เป็นผู้ดูแลกำกับการประลองจะเป็นคนช่วยเหลือผู้ที่พลาดพลั้งเอง

 

ไม่สนว่าจะอยู่หรือตาย!

 

แม้ทุกคนที่มาเข้าร่วมการประลองคราวนี้จะพอรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว…

 

แต่พอเกี่ยวพันกับความเป็นตาย พวกมันก็พบว่ายากที่จะสงบอารมณ์ได้

 

บางคนยังเริ่มมีความคิดถอนตัวขึ้นมา

 

แม้ว่าจะสามารถกล่าววาจายอมแพ้ก่อนตกตายได้ แต่ในระหว่างการประมือถึงขั้นเอาชีวิตกันเช่นนี้ เว้นเสียแต่ท่านจะมีพลังฝีมือทัดเทียมกับคู่ต่อสู้หรือห่างชั้นกว่ากันไม่มาก…หาไม่แล้วคงยากที่จะกล่าววาจายอมแพ้ได้ทัน!

 

ส่วนในการประลองนั้นไม่มีกฏเกณฑ์อะไรอีก เพียง 10 คนสุดท้ายที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ จะติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง

 

“ในการประลองครั้งนี้ห้ามมิให้ใช้ความช่วยเหลือภายนอกอย่างเช่นศาสตราเซียน ยันต์เต๋า อุปกรณ์แฝงอาคมเซียนใดๆทั้งสิ้น…หากพบเห็นจะถูกตัดสิทธิ์ทันที!”

 

เริ่นจงกล่าวสืบต่อ

 

เรื่องนี้เป็นอะไรที่สำคัญนัก

 

ห้ามใช้กำลังภายนอก!

 

ในการชิงชัยอันดับ พึ่งได้ก็แต่พลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น!

 

เหตุผลที่กฏนี้ถูกตราขึ้นมา ทั้งหมดล้วนเพียงเพราะให้การประลองมีความยุติธรรมมากที่สุด ผู้ที่สร้างการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง กลัวว่าผู้ที่มาจากขุมพลังต่ำต้อย จะเสียเปรียบในเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือทั้งหลาย เพราะไม่ใช่ว่าทุกขุมพลังจะมีปรมาจารย์จารึกเซียน หรือปรมาจารย์ยันเต๋าระดับสูงๆ

 

เช่นนั้นแล้วหากใช้ตัวช่วยอื่นใดได้ ผู้ที่มาจากขุมพลังต้อยต่ำไร้ทรัพยากรก็แทบไม่ต้องสู้แล้ว

 

“พวกเจ้าสมควรเคยได้ยินมาแล้วว่าการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องไม่มีกฏเกณฑ์อันใดมากมาย…เพียงยืนหยัดให้ได้ 10 คนสุดท้าย จนไร้ผู้ใดท้าสู้แล้วจริงๆถึงจะติดอันดับในรายนาม! และอันดับจะกำหนดจากการท้าประลองครั้งสุดท้าย จนไร้ซึ่งการท้าประลองอีกต่อไป…”

 

เริ่นจงกล่าวสืบต่อ

 

และตอนนี้เองภายใต้สายตาของทุกคน เริ่นจงกับหลิวหงกวงพลันหันมามองสบตากันคราหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะยกศาสตราขึ้นไม่ว่าจะไม้เท้าหรือค้อนอันเขื่อง ค่อยเหินร่างพุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมๆกัน

 

ทว่าคราวนี้ทั้ง 2 กลับแยกย้ายออกไปกันคนละทาง ฟาดทุบลงไปยังความว่างทางใครทางมัน

 

ปง! เปรี๊ยง!!

 

พร้อมกันกับเสียงกังวาน 2 เสียงดังขึ้นในอากาศ ทุกผู้คนสัมผัสได้ทันที…ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่อบอวลไปทั่วกระดานหมากหลิงหลง อยู่ๆก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลง! พวกมันเริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย เนิ่นนานถึงค่อยสงบลง!!

 

และตอนนี้เองพวกมันพลันได้เห็นหมาก 10 เม็ดที่ก่อนหน้าตั้งไว้บนพื้นกระดานโดยไร้ใครสนใจ พุ่งลอยจากกระดานหมากหลิงหลงขึ้นไปบนฟ้า!

 

หลังจากที่พวกมันลอยตัวสูงขึ้นไปในระดับหนึ่งเม็ดหมากสีขาว 5 สีดำ 5 พลันหยุดลอยค้างกลางหาวปานมีมือที่มองไม่เห็นอุ้มถือเอาไว้!

 

“นี่มัน…”

 

ตอนนี้เองคนบางกลุ่มไม่เว้นต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลงออกมา