ซีเหมินจินเหลียนยิ้มไม่หุบ อย่าพูดถึงชาวต่างชาติแยกไม่ออกเลย ของแบบนี้คนในชาติก็ยังแยกไม่ได้ หยกมีการแบ่งเป็นหยกอ่อนหยกแข็ง หยกชั้นดี ชั้นกลาง ชั้นทั่วไป เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้ ผู้ที่ไม่ใช่สายอาชีพนั้นย่อมมักไม่เข้าใจในสายนั้นหรอก ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะได้หลินเสวียนหลานแนะนำ เธอก็ไม่รู้เรื่องการเดิมพันพวกนี้หรอก สัญชาตญาณคิดตลอดว่าหยกทั้งหมดก็เหมือนกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง
ในขณะที่สัมผัสลูกปัดหยกสีเขียวสดใสบนข้อมือ เธอก็คิดถึงสำนวนที่พบเจอบ่อยๆ สิ่งที่ดีๆ รวมตัวกันเพื่อสรรสร้างสิ่งที่สวยงาม เพียงแต่ไม่รู้ว่าตรงกลางระหว่างความสวยงาม จะเป็นหยกสีเขียวหรือจะเป็นหยกสีขาว?
“ถ้าหากมีวันนั้นจริงๆ คุณอยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้ม สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ไม่ใช่การพัฒนาวัฒนธรรมของชาติ แต่เป็นการศึกษาวิธีที่จะซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินอย่างไรให้ราบรื่น
“ต้องมีวันนั้นแน่ จินเหลียน!” จ่านป๋ายพูด “ต้องมีสักวัน ผมจะทำให้วัฒนธรรมหยกจีนก้าวไกลไปยังตลาดโลก”
“นี่นับเป็นการพัฒนาวัฒนธรรมเลยหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพูดว่า ถ้าอยากจะพัฒนาประเทศ จะต้องเริ่มจากการพัฒนาวัฒนธรรมของเขา แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด…
จ่านป๋ายนิ่งไปชั่วครู่ พยักหน้าตอบ “ถ้าทำได้จริงก็เป็นเรื่องที่ดีครับ”
“แต่ว่าพวกเรามีเงินไม่พอที่จะไปซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลิน” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยโทนเสียงต่ำ เมื่อพูดถึงซื้อหุ้น ถึงจ่านป๋ายจะทำหนังสือร่างแผนโครงการ ฉินเฮ่าบอกว่าไม่มีปัญหา แต่เธอก็ยังคลายกังวลไม่ได้ สิ่งที่สำคัญก็คือเธอไม่มีเงินร่วมลงทุน
แม้ว่า…แม้ว่าตอนนี้จ่านป๋ายกับเธอจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดี แต่ว่าเมื่อเห็นผลประโยชน์กองอยู่ตรงหน้า ใครก็ไม่อาจรับรองได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น? เธอไม่อยากให้มีปัญหาในอนาคต เธอไม่มีอะไรเลย
แต่ถ้าไม่ซื้อหุ้นจากบริษัทอัญมณีอื่นเลย เกิดอยากจะเปิดบริษัทอัญมณีขึ้นมา ไม่ต้องคำนึงถึงช่องทางการขาย เพียงแค่เงินเริ่มลงทุนก็กลัวว่าจะห่างไกลซะเหลือเกิน
ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจในธุรกิจการค้าแบบนี้ และยิ่งไม่เข้าใจการซื้อขายอัญมณี แต่เธอรู้ว่าธุรกิจก็เหมือนกับสงคราม บางครั้งก็มักจะเกิดเรื่องที่เกินความคาดหมาย ถ้าหากพลั้งมือทำพลาดไป ขาดทุนย่อยยับก็หมดสิ้นกัน เธอกลัวว่าจะเป็นการขุดหลุมให้ตัวเอง กลัวว่าเงินลงทุนของจ่านป๋ายกับฉินเฮ่า ท้ายที่สุดแล้วจะปลิวหายไม่หวนคืนมา…
“ผมกับฉินเฮ่าสามารถรวมเงินกันทั้งหมดห้าร้อยล้าน” จ่านป๋ายพูด
“แต่นั่นก็เป็นเงินของพวกคุณ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “มาถึงตอนนี้ฉันก็พึ่งรู้ตัวเองว่ายังไงก็ยังเป็นคนจนอยู่ดี…”
“จินเหลียน คุณอย่าได้ทำตัวเหมือนคนนอกได้ไหมครับ” ปัญหานี้ เขาจะอธิบายอย่างไรให้เธอเข้าใจดี?
เงินของตัวเอง ส่วนมากก็เป็นเงินสกปรก ความจริงเขาอยากจะอาศัยโอกาสการเล่นหุ้นครั้งนี้ล้างเงินของเขาให้ใสสะอาด ล้างประวัติที่ไม่ดีของจ่านมู่หรง เมื่อปีนป่ายไปถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทอัญมณี ประวัติที่ไม่ดีของเขาก็จะถูกลบล้างเลือนหายไป แม้จะเคยคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ทำสิ่งที่เคยทำอีกต่อไปแล้ว แต่ใครจะไปสามารถคาดเดาได้ ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะกลับมาทำเรื่องแบบนั้นอีกก็ได้ โดยใช้ชื่อเสียงความซื่อสัตย์มาปกปิดฐานะตัวตน ก็เป็นความคิดที่ดี…
โจรระดับนานาชาติ เป็นใครก็ย่อมสร้างประวัติชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือมาปิดบังตัวตนของตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่สำคัญก็คือการซื้อขายหยกเกรดคุณภาพสูง อาจจะไปขยับเงินไปถึงหลายๆ ล้านหยวนก็ได้ สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลย
ชาตินี้เขาไม่เคยกังวลกับปัญหาเรื่องเงินมาก่อนเลย เว้นเสียแต่ไม่สามารถใช้เงินได้อย่างเปิดเผย
“หุ้นทั้งหมดในมือของผม จะใช้เป็นชื่อของคุณทั้งหมด ผมไม่มีทางหลอกคุณครับ” จ่านป๋ายจับไหล่ของเธอและพูดปลอบประโลม “ผมรู้ว่าคุณรู้สึกไม่ปลอดภัย”
“ฉันไม่รู้เรื่องของธุรกิจ และไม่เข้าใจในการขาย ฉันเรียนแต่ภาษาจีน…” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณไม่รู้เหรอว่าประเทศจีนนับแต่อดีตมามีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง?”
“หืม?” จ่านป๋ายสงสัยจึงถามขึ้น “คำพูดอะไรเหรอครับ”
“บนโลกนี้มีอาชีพตั้งมากมาย แต่คนเรียนหนังสือกลับไร้ค่าไม่มีประโยชน์” จินเหลียนยิ้มเยาะเย้ย ถ้ารู้อย่างนี้เธอน่าจะเรียนการบริหารธุรกิจหรือการบริหารเงิน…เธอเรียนภาษาจีนเพื่ออะไรกัน ถึงจะดูอักษรจารึกเก่าแก่ของจีนบนกระดองเต่าออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแลกเป็นเงินสักหยวนได้เสียหน่อย หลังจากเรียนจบ งานก็ยังหายาก บางบริษัทเมื่อได้ยินว่าจบหลักสูตรภาษาจีนก็ส่ายหัวอย่างไม่ต้องคิด ยิ่งถ้าเป็นองค์กรของรัฐ เธอก็ยิ่งไม่มีโอกาสเข้าไป…
“เรียนภาษาจีนไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลยนี่ครับ คุณสามารถเขียนนิยาย เขียนบทละคร…” จ่านป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยนสุขุมพูดว่า “ส่งเสริมวัฒนธรรมจีน”
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้มพูดออกไป “หลังจากกลับไปแล้วฉันจะขายของบางอย่างแล้วก็จะแลกมาเป็นเงินสักสองร้อยล้าน” เธอไม่สามารถที่จะยืนบนหลังเขาเอาเปรียบเขาได้หรอก
“คุณห้ามขายกำไลหยกสีแดงทองของคุณเป็นอันขาดนะครับ คุณตัดใจไม่ได้ผมก็เช่นกัน” จ่านป๋ายพูด
“อันนั้นฉันไม่ขายหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนคิดใคร่ครวญ ที่บ้านของเธอยังมีหยกแก้วชิ้นใหญ่สีเขียวบริสุทธิ์ ขอแค่ทำรูปร่างเลียนแบบเหมือนกับขลุ่ยหยกที่พระราชวังสะสมเอาไว้ คงจะตีราคาขายได้เงินมหาศาล
นอกจากนี้ยังมีหยกสีเลือด เมื่อเทียบกับหยกสีแดงทองแล้วก็ต้องตกตะลึงในความมหัศจรรย์ เพียงแค่ทำเป็นกำไลออกมา ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
“เรื่องนี้กลับไปค่อยคุยกันอีกทีเถอะครับ” จ่านป๋ายพูด “เรายังมีไม้ตายเป็นหลินเจิ้งอีก ขอแค่สายตาคุณไม่พลาด ผมรับรองเลยว่าหุ้นของตระกูลหลินในช่วงนี้คงต้องตกลงอีกแน่”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น สองมือกอดเข่า คางแหลมคมของเธอวางลงไปนั้น ผมยาวพลิ้วไสวบดบังใบหน้าไปเสี้ยวหนึ่ง ไม่นานก็พูดว่า “สายตาฉันไม่มีทางพลาดแน่นอนค่ะ”
คำพูดง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยค แต่กลับซ่อนความมั่นใจไร้ซึ่งความกังวล
“จินเหลียน ขอแค่คุณเชื่อมั่นในตัวผม เหมือนที่คุณเชื่อมั่นในตัวเอง ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล!” จ่านป๋ายพูด “พวกเราจะต้องซื้อหุ้นตระกูลหลินได้อย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ารับคำ เชื่อมั่นในตัวเขาเหมือนที่เชื่อมั่นตัวเอง? บางครั้ง เธอก็ไม่กล้าเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะไปเชื่อเขาได้อย่างไร? เขาลึกลับซะอย่างนั้น…
ภายในงานประมูลหยกที่เจียหยาง มีสินค้าหยกรวมแล้วประมาณสามร้อยห้าสิบห้ารายการ สำหรับวันแรกซีเหมินจินเหลียนดูไปสองร้อยกว่ารายการ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ไม่ต้องรีบร้อนที่จะดู ถ้าหินหยกก้อนไหนเตะตาเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะขอมองทะลุเข้าไปสำรวจสักหน่อยว่าข้างในจะปรากฏลักษณะเป็นเช่นไร
หากจะอาศัยดูแค่พื้นผิวอย่างเดียว เธอก็ไม่อาจจะรู้ลึกได้ ในช่วงเช้าเธอดูไปห้าสิบกว่ารายการ ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจ
สายตาเธอดึงดูดไปที่หินหยกครึ่งเดิมพันก้อนหนึ่ง เป็นชนิดแก้ว แต่ขนาดไม่ใหญ่ น้ำหนักไม่น่าจะถึงสามกิโล เปิดมาแค่รูโหว่ช่องหนึ่ง คนที่ตัดหินคงจะฝีมือไม่เบาเลย เพียงแค่ตัดแบบนี้ก็ทำให้เห็นลักษณะของหยกออกมาทั้งหมดได้
คริสตัลหยกสีเขียวมรกตถูกห้อมล้อมไปด้วยหินผิวสีเทาขาว หยกชนิดนี้ราคามาตรฐานย่อมไม่ธรรมดา แต่ขนาดเล็กเท่านี้ไม่คิดว่าราคาจะพุ่งไปถึงสามล้าน
“หน้าเลือดไปแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนบ่นอุบอิบในใจ ถ้าหากราคาไม่ได้สูงมากเช่นนี้ เธอก็อยากจะซื้อเก็บเอาไว้ แต่ว่าหยกครึ่งเดิมพันนี้ลักษณะดีเหลือเกิน คนอื่นก็คงเล็งไว้ไม่น้อย ราคาเลยขึ้นสูงไปอย่างนั้น เธอเลยตัดสินใจไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยน
นอกจากนี้ยังมีหินหยกเดิมพันเต็มตัว หนักเกือบสองกิโลกรัม แถมยังเป็นชนิดแก้ว สีเขียวอ่อนๆ แต่ถึงกระนั้นสีก็ยังมีปัญหานิดหน่อย ไม่ได้มาตรฐาน ซีเหมินจินเหลียนคิดไปอยู่นานว่าจะทำอย่างไร แต่สุดท้ายก็ให้จ่านป๋ายจดจำหมายเลขเอาไว้ ลองดูสักตั้งว่าจะซื้อได้ไหม
ในงานประมูลยามบ่ายที่พึ่งจะเริ่มงานแค่สามสิบนาที ก็ปรากฏตัวประธานหม่ากับประธานเฉินอยู่ด้วยกันตามเคย พวกเขากำลังมองดูคนตัดหินของผู้อาวุโสเจียกำลังยืนมุงล้อมรอบหินหยกที่น่าจะหนักประมาณหนึ่งตันครึ่ง และกำลังปรึกษากันอย่างลับๆ
เมื่อพวกเขาเห็นซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้สนใจมองนัก แถมไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจว่านักเดิมพันหินไม่หวังจะให้ใครรู้ความในใจที่เขาคิด เพื่อที่จะหลบหลีกปัญหาแก่งแย่งชิงราคาให้สูงขึ้น
เพราะว่าหินหยกก้อนนี้ก้อนใหญ่ใช้ได้ แถมลักษณะภายนอกก็ดูโดดเด่นสะดุดตา ซีเหมินจินเหลียนจึงยืนรออยู่ด้านหลังรอให้พวกเขาดูให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเข้าไป
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คนพวกนั้นเมื่อดูเสร็จก็ปรึกษาหารือกัน แล้วก็แยกย้ายออกไปดูหินหยกชิ้นอื่นต่อ
ซีเหมินจินเหลียนได้จังหวะเดินเข้าไปดู เมื่อเห็นหินก้อนนั้น สายตาของเธอก็สับสน เจ้าของหินหยกก้อนนี้ ทำเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
เธอยอมรับว่าภายนอกของหินหยกก้อนนี้ดูโดดเด่นไม่ธรรมดาเลย พื้นผิวสีส้มเหลือง สีเขียวพันล้อมหินทั้งก้อนเอาไว้ ในสองส่วนสามของพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยลายเส้นหยก
แต่ว่าไม่รู้ว่าใครช่างชั่วร้าย คิดไม่ถึงเลยว่าใกล้กับลายเส้นหยก จะมีรอยมีดปรากฏให้เห็น
ตรงนั้นเป็นจุดที่สามารถมีสีเขียวได้มากที่สุด แต่การเอามีดตัดลงไปแบบนั้น ไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องนี้เลยหรืออย่างไร ผิวที่ตัดออกมาเป็นเนื้อหินสีขาว ซีเหมินจินเหลียนใช้มือสัมผัสลงไปบนนั้น ยังดีว่าผิวที่ตัดมีความลื่นละเอียด ถ้าข้างในสามารถเห็นสีเขียวได้จริงๆ ก็คงจะเป็นชนิดแก้ว
แต่ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะเจ้าของตัดเองหรือใครเป็นคนตัด เลยทำให้หินหยกที่ลักษณะดูดีเช่นนี้ราคาลดฮวบลงมาอย่างชัดเจน
ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองหมายเลขและราคาแปดล้าน!
ถ้าหากไม่มีการถูกตัดผ่าออกมา เมื่อเห็นลักษณะด้านนอกที่เผยให้เห็น ราคาก็คู่ควรกับแปดสิบล้านอยู่ แต่ว่าเมื่อตัดออกมาแล้วก็ทำได้แค่ให้คนที่อยากซื้อ ถอยหลังเดินหนีไม่สู้ราคา?
“ดูสิ ยังดีว่าหินหยกชิ้นนี้ใหญ่หน่อย เพียงแค่เจ้าของกำลังทดสอบคน” ซีเหมินจินเหลียนพูดเงียบๆ วิเคราะห์อยู่ในใจ หินก้อนนี้น่าจะถูกตัดออกมาไม่นาน อย่างมากก็ไม่เกินห้าวัน
เอาหินที่ผ่ามาประกบติดกัน แล้วใช้ทรายมาโปะทำให้ปลอม ก็ยังดีกว่าอันนี้ ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวยิ้ม มือขวาสัมผัสลงไป ส่งความร้อนแทรกซึมไปที่พื้นผิวไหลผ่านเข้าไป ผิวสีเหลืองส้มก็ค่อยๆ จางหาย เมื่อส่องแสงไปประมาณสามเซนติเมตร เธอก็ตกใจขึ้นมา
เป็นอย่างที่เธอทายไม่ผิดว่าเป็นชนิดแก้ว สีเขียวมรกตสะท้อนไปยังก้นลึก แต่ว่านี่ไม่ใช่มรกตที่บริสุทธิ์ ข้างๆ ของมันยังมีสีแดงสดและสีม่วงของดอกไลแอคอยู่ตรงนั้นด้วย…
“ฮกลกซิ่ว?” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำอยู่ในใจ สีเขียวมรกตกว้างเพียงแค่สองนิ้ว ข้างๆ ยังมีสีแดงสดและสีม่วงดอกไลแอคที่น่าจะกว้างประมาณหนึ่งนิ้ว ที่เหลือก็เป็นแก้วใสชั้นดี ล้อมรอบสีทั้งสามเส้นเอาไว้
“สวยจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นจริงเลย” ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมอยู่ในใจ