บทที่ 266 เมืองเจินไห่

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 266 เมืองเจินไห่

สำหรับเฟิงเชาชิงและพรรคพวก อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ขั้นสูงสุดถือว่าเป็นอาวุธที่อยู่ในระดับดีและมีประโยชน์กับพวกเขาในตอนนี้แน่นอน

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนจากภูเขาฟีนิกซ์ แต่พวกเขาก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหนีไปที่ทะเลชางหมางเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ใช่กลุ่มคนที่ร่ำรวยเหมือนเมื่อในอดีต

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคนทั่วไปและเป็นกลุ่มคนที่มาจากตระกูลอันสูงส่ง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ต่อให้พวกเขามีวัสดุที่ดีพอจะใช้สร้างอาวุธระดับสูง ๆ แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะช่วยพวกเขาในการสร้างพวกมันอยู่ดี

ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงเต็มใจที่จะทำภารกิจนี้เพื่อที่จะให้ได้อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์มา

อย่างไรก็ตาม การทำสัญญากับคนแปลกหน้านั้นย่อมไม่สามารถทำแบบลวก ๆ โดยไม่คิดได้ ไม่งั้นต่อไปจะลำบากทีหลัง

เมื่อเห็นความลังเลของฝูงชน หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “การทำสัญญานี้ทำเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าพวกจ้าจะสามารถช่วยข้าส่งข่าวให้ได้สำเร็จ คำขอของข้าไม่ใช่เรื่องยาก ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวที่ข้าระบุลงไปในสัญญาก็คือพวกเจ้าต้องส่งข้อความของข้าไปที่เกาะเทียนหยวนให้ได้ภายใน 3 ปี และเมื่อพวกเจ้าส่งข้อความเสร็จให้ข้าเรียบร้อย พวกเจ้าจะได้รับอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์แน่นอน”

เฟิงเชาชิงพิจารณาสักครู่ก่อนที่จะพูดว่า “ถ้าใครเต็มใจก็ออกมา!”

หลังจากได้รับอนุญาตจากเฟิงเชาชิง บุคคลที่อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 11 ก็ก้าวออกมา แสดงตัวว่าเขาเต็มใจที่จะเดินทางครั้งนี้ หลิงตู้ฉิงจึงร่างสัญญาบนอากาศและให้เขาลงชื่อ

เมื่อเห็นวิธีการร่างสัญญาขึ้นบนอากาศโดยหลิงตู้ฉิง เฟิงเชาชิงถึงกับสาปแช่งเหริ่นอี้ฟางอยู่ในใจ

หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาลงชื่อในสัญญาเสร็จแล้ว หลิงตู้ฉิงได้ส่งสมบัติวิเศษระดับราชวงศ์ขั้นสูงชิ้นหนึ่งให้เขาและพูดว่า “ไปที่เกาะเทียนหยวนและเข้าเฝ้าจักรพรรดิหลิงยี่เทียน บอกเขาว่าข้าส่งเจ้าไปที่นั่นและข้าชื่อหลิงตู้ฉิง! จำไว้ว่าถ้าเจ้าพบเขา เจ้าต้องเปิดเผยตัวตนของเจ้าและนำสมบัติชิ้นนี้ให้เขาดูเพื่อยืนยันตัวตน ไม่เช่นนั้นอย่าได้โทษข้าถ้าเจ้าถูกฆ่าตาย จากนั้นบอกหลิงยี่เทียนว่าทะเลชางหมางนี้ถูกผนึกไว้ด้วยกำแพงสมดุล…”

หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็บอกรายละเอียดของข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์อีกเป็นจำนวนมากที่สามารถเข้าไปในทะเลชางหมางได้พร้อมกับย้ำคนส่งสารถึงรายละเอียดของกำแพงสมดุลให้กับยี่เทียนรู้อย่างละเอียด

“นี่คือข้อความที่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถนำมันไปส่งให้ได้โดยเร็วที่สุด” หลิงตู้ฉิงพูดปิดประโยค พร้อมกับมองไปยังเฟิงเชาชิงด้วยสายตามีเลศนัย

เฟิงเชาชิงเองเมื่อได้ยินข้อความที่หลิงตู้ฉิงจะส่งให้กับคนของเขา เขารู้สึกงุนงง ข้อความเช่นนี้มันควรจะเป็นความลับไม่ใช่เหรอ? แล้วไหงหลิงตู้ฉิงถึงพูดออกมาโดยให้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน?

หลังจากการมอบหมายทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปที่เมืองเจินไห่

หลังจากดูหลิงตู้ฉิงและคนของเขาค่อย ๆ จากไป คนอื่น ๆ ก็มองไปที่เฟิงเชาชิงทันทีและถามว่า “ลุงเฟิง นี่เขาพูดความจริงหรือเปล่า? นอกจากนี้กุญแจสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ…”

เฟิงเชาชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “พวกเจ้าอยากเป็นเหมือนไอ้โง่ เหริ่นอี้ฟาง นั่นเหรอ คิดให้ดี ๆ ก่อนหน้านี้เยว่เฟิงเคยเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา แต่ตอนนี้นางกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ในเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร?”

“และพวกเจ้าไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่คนผู้นั้นปล่อยออกมางั้นเหรอ? นอกจากนี้พวกเจ้าคิดว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณสักกี่คนกันที่จะพูดถึงวัสดุระดับบรรพกาลได้เหมือนมันเป็นแค่วัสดุธรรมดา ๆ?”

“และที่สำคัญที่สุดการที่เขากล้าที่จะบอกเราเกี่ยวกับกุญแจของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอย่างไม่เกรงกลัวนั่นก็หมายความว่าเขาไม่เคยเกรงกลัวพวกเราเลย ถอนความคิดเพ้อฝันของพวกเจ้าออกไปซะ อย่าลืมว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนของภูเขาฟีนิกซ์อีกต่อไป พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ลี้ภัยที่กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก”

“ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าก็ได้ยินข่าวเมื่อครู่แล้วว่าทะเลชางหมางกำลังจะไม่เหมือนในอดีต ข้างในนั้นมีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่ในอดีตถูกผนึกระดับการบ่มเพาะไว้ไม่ให้ทะลวงขอบเขตได้ แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่ขอบเขตถัดไปได้แล้ว ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าในตอนนี้หากพวกเจ้าได้ไปเจอกับตัวตนเหล่านั้นแล้วล่ะก็มันจะหมายถึงความตายเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นสิ่งที่พวกเราควรจะทำต่อไปก็คือต้องทำตัวให้ไม่เป็นที่สะดุดตาจนเกินไป ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่สามารถรักษาชีวิตของเราไว้ได้นานพอจนสามารถช่วยให้แผนของนายน้อยเป็นจริงได้” เฟิงเชาชิงตำหนิพวกเขาอย่างไม่ปราณี จากนั้นก็พาทุกคนไปยังทะเลชางหมาง

อีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็ได้มาถึงทางเข้าเมืองเจินไห่แล้ว

“นายท่าน เมืองเจินไห่นี้มันไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอ?” มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยมองไปที่เมืองเจินไห่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

กำแพงเมืองนั้นสูง 200-300 ฟุต ทำให้ดูเหมือนหน้าผาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขา ที่สำคัญคือบนผนังกำแพงเมืองมีการสลักลวดลายอักขระพลังอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งมันหมายความว่ากำแพงนี้ไม่ได้อาศัยของความแข็งแกร่งของวัสดุที่ใช้สร้างมันเท่านั้นในการป้องกัน

เมื่อเทียบกับเมืองเจินไห่แล้ว เมืองใหญ่ ๆ ในทะเลชางหมางก็กลายเป็นเมืองธรรมดาทั่วไป

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ทำตัวให้ชินไว้ซะ ในอนาคตพวกเจ้าจะได้เห็นสิ่งที่น่าตื่นตากว่านี้อีกเยอะ”

เสี่ยวเยว่เฟิงเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดกับมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยว่า “เมืองชี่ซุ่นแห่งภูเขาฟีนิกซ์ของเราเป็นเมืองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เมื่อเทียบกับเมืองนี้ เมืองชี่ซุ่นยังอลังการกว่าเป็นร้อยเท่า!”

“หา! มีที่แบบนั้นด้วยเหรอ?” มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความประหลาดใจ

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เมืองชี่ซุ่นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เอาล่ะ ต่อไปพวกเจ้าคงจะมีโอกาสได้เห็นอยู่แล้ว ส่วนตอนนี้เราจะเข้าไปในเมืองเจินไห่ก่อน!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ทุกคนก็เดินเข้าไปด้านในเมืองเจินไห่ ซึ่งไม่มีใครหยุดตรวจสอบพวกเขาที่ประตูเมือง

อย่างไรก็ตามข้างประตูเมืองมีทหารรักษาการณ์ยืนจ้องมองมาที่หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่ากำลังตักเตือนด้วยสายตาว่าถ้าพวกเขากล้าก่อความวุ่นวายพวกเขาจะถูกจับทันที

หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ต่างทำเป็นไม่สนใจสายตาที่มองมาของทหารรักษาการณ์ เนื่องจากพวกเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา พวกเขามาที่นี่เพื่อเพียงแค่เป็นทางผ่านเท่านั้น

เมื่อเข้าสู่เมืองเจินไห่ ขอบเขตการมองเห็นก็กว้างขึ้น บรรยากาศด้านในเมืองต่างเต็มไปด้วยตึกสูงมากมายและมีพาหนะวิเศษล่องลอยเต็มท้องฟ้า และมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเดินสวนกันจนแน่นขนัด

“ในสถานที่แบบนี้ เราหาเงินได้ง่ายมาก!” มี่ไลพูดอย่างตื่นเต้น “พ่อของข้าควรได้รับอนุญาตให้เปิดหอการค้าในสถานที่แบบนี้ เดาไม่ออกเลยว่าวัน ๆ นึงจะได้กำไรมหาศาลแค่ไหน!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “หากพ่อของเจ้ามาที่นี่ มันก็มีแต่เขาที่จะถูกกำจัดทิ้งออกไปเท่านั้น ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของพ่อเจ้ายังไม่ได้อยู่ในขอบเขตนภาด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งที่เขาสามารถพึ่งพาได้ก็มีแค่เพียงอสูทมิฬที่ระดับการบ่มเพาะยังไม่ถึงขอบเขตสวรรค์ เอาล่ะ มีใครคุ้นเคยกับเมืองเจินไห่นี้บ้าง? มาหาที่พักกันก่อน เราอาจจะต้องอยู่ในเมืองเจินไห่นี้อีกหลายปี”

ประโยคนี้แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้กล่าวถามถึงคนของครอบครัวเขาแน่นอน เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะคุ้นเคยกับเมืองเจินไห่ แต่เขาถามถึงคนที่อาจจะเป็นไปได้คือเสี่ยวเยว่เฟิงและซือโถวเหวินหยวน

ซือโถวเหวินหยวนส่ายหัว “นายท่าน ข้าไม่ได้เข้าทะเลชางหมางจากที่นี่ ดังนั้นข้าจึงไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้”

“ข้าเคยมาที่นี่มาก่อน!” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูด “แต่พวกเราแค่เดินผ่านเมืองและไม่ได้หยุดพักที่เมืองเจินไห่ นอกจากนี้ นายท่าน ข้ากลัวว่าเราจะมีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายในสถานที่เช่นเมืองเจินไห่นี้ เนื่องจากสำหรับที่นี่เหรียญทองไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ที่นี่นิยมที่จะใช้เหรียญคริสตัลระดับต่าง ๆ ในการแลกเปลี่ยน ส่วนเหรียญคริสตัลที่ข้ามีติดตัวอยู่ตอนนี้นั้นก็มีเพียงเหรียญคริสตัลระดับวิญญาณอยู่ประมาณ 30,000 เหรียญกับเหรียญคริสตัลระดับจักรพรรดิเพียงร้อยเหรียญ ด้วยเหรียญเล็กน้อยเช่นนี้คงไม่เพียงพอสำหรับเราที่จะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 2-3 ปี”

เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงมองมาที่ตน ซือโถวเหวินหยวนก็รีบพูดว่า “นายท่าน ข้ามีมากกว่า เฟิงนิดหน่อย ในตัวข้ามีเหรียญคริสตัลระดับวิญญาณประมาณแสน เหรียญคริสตัลระดับจักรพรรดิมากกว่า 500 และมีเหรียญคริสตัลระดับสวรรค์อยู่ 1 เหรียญ หากนับจากจำนวนคนของพวกเราทั้งหมด การพักในโรงแรมแห่งหนึ่งเราจะต้องใช้เหรียญคริสตัลระดับวิญญาณ 2,000-3,000 ชิ้นทุกวัน หากเราหาเรือนพักจะต้องเสียเหรียญคริสตัลระดับวิญญาณจำนวนหลายหมื่นชิ้นทุกวัน ดังนั้นจำนวนคริสตัลที่เรามีน่าจะอยู่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น”

หลิงตู้ฉิงถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ…ปัญหาของเราคือพวกเราไม่มีเงินงั้นสินะ? ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วการหาเงินยังคงเป็นหน้าที่ของข้า”

เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะ “ด้วยทักษะหลายอย่างของนายท่าน แค่การสร้างสมบัติวิเศษระดับราชวงศ์ มันก็หมายถึงเหรียญคริสตัลระดับวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นพวกเราคงได้แต่พึ่งพานายท่านเท่านั้น”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว ดูเหมือนว่าการเดินทางของเขาคงไม่สามารถไปถึงไหนได้โดยไม่มีเงิน

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ามีเงินพอที่จะเช่าเรือนขนาดย่อม ๆ สักระยะไหมใช่ไหม? ไปเช่าเรือนกันก่อนแล้วค่อยคิดหาทางหาเงินอีกที” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น