สิ่งแรกที่ซูจิ่นซีเห็นคือชายเสื้อที่คุ้นเคย ลวดลายสีดำสนิท งดงามดั่งท้องฟ้ายามรุ่งอรุณและยามอาทิตย์อัสดงบนเรือนชิงโยว ซึ่งมันทำร้ายหัวใจนางเสียเหลือเกิน
ซูจิ่นซีพยายามอดกลั้นไม่หันไปมอง ทว่าสุดท้ายก็อดใจไม่ได้ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบตาเยี่ยโยวเหยาพอดี
ดวงตาดำขลับลุ่มลึกนั้นยังคงเหมือนเดิม เป็นดวงตาเย็นชาที่ซูจิ่นซีไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
ซูจิ่นซีจิตใจสั่นไหว นางมองใบหน้าเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาเปล่งประกาย มุมปากสั่นเทาเล็กน้อย นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอันใดออกมา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับเหลือบตามองไปทางอื่น
“หากเจ้าเป็นสตรีของข้า ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้”
เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง ทิ้งแผ่นหลังคุ้นเคยและแววตาที่ยากคาดเดาให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มแห่งความเจ็บปวด
นางใช้แววตาเปล่งประกายจ้องมองด้านหลังศีรษะของเยี่ยโยวเหยา และพูดด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“เยี่ยโยวเหยา คำพูดนี้ ท่านเป็นคนพูดเองนะ! ”
เสียงของนางดังมาก เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยิน
พวกเขาอดถอนหายใจไม่ได้
ท่านหมอซูผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้าอวดดีต่อเบื้องพระพักตร์ฉีอ๋อง กล้าแทงท่านแม่ทัพใหญ่จงจนได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังกล้าโต้เถียงกับมหาอุปราช
บัดนี้ นางยังกล้าเรียกพระนามของโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงอย่างไร้ความเคารพ
โยวอ๋องแคว้นจงหนิงมีสถานะเยี่ยงไร?
เขาเป็นบุคคลที่มีอำนาจและมีชื่อเสียงกึกก้องไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ พระนามของโยวอ๋อง สามารถทำให้เด็กทารกหยุดร้องไห้ เขาเป็นเทพสังหารที่มาจากขุมนรก โหดเหี้ยมเลือดเย็น ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างอกสั่นขวัญแขวน
กระทั่งมหาอุปราช เมื่ออยู่ต่อหน้าโยวอ๋องยังต้องไว้หน้าถึงสามส่วน
คนแซ่ซูผู้นี้ ช่างใจกล้ายิ่งนัก รนหาที่ตายจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีในตอนนี้ ไม่มีทางสนใจแววตาและความคิดของผู้อื่น
ต่อให้สนใจ นางก็ไม่มีใจที่จะพะวงถึงมัน
ดวงตาและหัวใจทั้งสี่ห้องของนางจับจ้องไปที่เยี่ยโยวเหยา เฝ้ารอเขาให้คำตอบแก่นาง
เมื่อเยี่ยโยวเหยาได้ยินคำพูดนี้ของซูจิ่นซี ร่างกายของเขาสั่นไหวเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น เขาหันหลังกลับมา แววตายังคงสงบนิ่งเย็นชา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังแสดงท่าทางเหินห่างอย่างที่ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นมาก่อน
“เป็นคำพูดของข้า แล้วจะเป็นเช่นไร? ”
ซูจิ่นซีพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ภายในใจ พลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ดี ท่านอ๋องจดจำคำพูดนี้ไว้ด้วย! ”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็หันหลังกลับและไม่มองเยี่ยโยวเหยาอีกเลย “มีนางกำนัลที่ดูแลเครื่องอาภรณ์หรือไม่? พาข้าไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้? ”
อวดดียิ่งนัก หยิ่งยโสเป็นที่สุด
นางบ้าไปแล้ว บ้าจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
ทุกคนต่างจนปัญญาและไร้คำพูดกับท่าทีของซูจิ่นซี พวกเขาทำได้เพียงถอนหายใจและส่ายศีรษะด้วยสีหน้าอับจนหนทาง
อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะคิดเช่นไร ก็ไม่เกี่ยวกับซูจิ่นซี
นางรู้แต่เพียงว่า การประลองในวันนี้ยังไม่จบ อีกทั้งตนเองยังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ นางควรรีบเปลี่ยนชุดที่เปรอะเปื้อนอย่างรวดเร็ว และกลับมาเข้าร่วมการประลองในรอบถัดไป เพื่อแย่งชิงดอกไม้ปีศาจมาให้ได้
จะกล่าวอย่างไร ซูจิ่นซีก็ยังเป็นคนของฉีอ๋อง นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ในสวนดอกไม้จึงไม่กล้าชักช้า และรีบเดินตามซูจิ่นซีไป
เวลานี้ ในมุมหนึ่งที่ทุกคนต่างมองข้ามและไม่ให้ความสนใจมากนัก นางกำนัลข้างกายหลิงเซียวจวิ้นจู่ชูคอมองไปทางหลิงเซียวจวิ้นจู่ และหันไปมองซูจิ่นซี แววตาเย็นชาของนางแฝงไว้ด้วยเลศนัยลึกซึ้ง ก่อนที่นางจะรีบออกจากสวนดอกไม้เพื่อไปปรนนิบัติซูจิ่นซี
เหล่านางกำนัลพาซูจิ่นซีเดินวกไปวนมาจนไม่รู้ว่าจะไปที่ใด จากนั้น นางกำนัลผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงและดูคล่องแคล่วก็เชิญซูจิ่นซีเข้าไปในตำหนัก
“ท่านหมอซู เชิญทางนี้”
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปและกำลังจะเลี้ยวไปทางด้านซ้ายของตำหนัก ทว่านางกำนัลผู้นั้นกลับรีบเข้ามาขวางทางและผายมือไปทางด้านขวา
“ท่านหมอซู ทางนี้จึงจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของสตรีเจ้าค่ะ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางลืมไปเสียสนิท ตอนนี้นางได้เปิดเผยความจริงต่อหน้าทุกคนแล้วว่านางคือสตรี
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงเดินไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของสตรี ตามคำพูดของนางกำนัลผู้นั้น
นางกำนัลเหล่านั้นมือไม้คล่องแคล่วกระฉับกระเฉง พวกนางไม่เพียงเก็บเสื้อผ้าสกปรกของซูจิ่นซีเท่านั้น ทว่ายังเตรียมน้ำร้อนให้ซูจิ่นซี เพื่อให้นางได้ชำระร่างกาย
ทว่าตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ซูจิ่นซีกลับรู้สึกลำบากใจ เนื่องจากชุดที่นางกำนัลเตรียมมาเป็นชุดของสตรี
“ไม่มีชุดของบุรุษหรือ? ไปเตรียมชุดของบุรุษมาเถิด! ”
นางกำนัลที่ค่อนข้างมีอายุรีบพูดขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “แม่นางซู ชุดของบุรุษมีไม่น้อย ชุดเครื่องแบบก็มีเช่นกัน ทว่าพวกบ่าวควานหาหลายรอบแล้ว ไม่พบชุดที่เหมาะสมกับแม่นางซูเลยเจ้าค่ะ”
เนื่องจากเสื้อผ้าบุรุษที่ซูจิ่นซีใส่ก่อนหน้านี้ล้วนตัดเย็บให้พอดีกับสัดส่วนของนางโดยเฉพาะ นางเป็นสตรี อีกทั้งยังมีรูปร่างเล็กและเพรียวบาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเสื้อผ้าบุรุษที่เหมาะสมกับรูปร่างของนาง
ทว่า นางไม่อาจสวมชุดของสตรีออกไปได้!
ก่อนหน้านี้นางสวมชุดของบุรุษ หากตอนนี้นางสวมชุดของสตรีและออกไปปรากฏตัว จะไม่เป็นจุดสนใจมากเกินไปหรอกหรือ?
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีใช้เวลาตัดสินใจอยู่นาน นางกำนัลผู้นั้นจึงกระซิบว่า “แม่นางซู ท่านอ๋องกับทุกคนกำลังรอท่านอยู่นะเจ้าคะ! ท่านอ๋องมีรับสั่งว่าฉีอ๋องบาดเจ็บ ไม่สามารถเข้าร่วมการประลองได้ ท่านต้องเป็นตัวแทนของท่านอ๋อง หากท่านไม่ออกไป การแข่งขันก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ท่านตัดสินใจเอาเองเถิด”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วพลางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ฟ้าใกล้จะมืดแล้วจริงๆ
หากภายในคืนนี้ นางไม่สามารถนำดอกไม้ปีศาจมาได้ ดอกไม้ปีศาจก็จะเปลี่ยนจากโอสถเป็นพิษ ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้แล้ว
ซูจิ่นซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ช่างเถิด ชุดสตรีก็ได้! หาชุดที่มีสีพื้นสะอาดตา ไม่โดดเด่นมากนัก! ”
“เจ้าค่ะ! ”
นางกำนัลตอบรับ ก่อนจะรีบเข้าไปเลือกชุดสตรีลวดลายธรรมดาและไม่ฉูดฉาดมาให้ซูจิ่นซีเลือก
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีคิดมากเกินไปหรืออย่างไร ขณะที่นางกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่นั้น นางพบว่านางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านข้างมีท่าทางผิดปกติ
เสื้อผ้าทั้งหมดมีสองชุด เมื่อซูจิ่นซีจับชุดทางซ้ายมือ ท่าทางของนางกำนัลก็ดูลุกลี้ลุกลน เมื่อซูจิ่นซีจับชุดที่อยู่ทางขวามือซึ่งเป็นสีฟ้าอ่อน มีลวดลายดอกฉุ่ยฮวา นางกำนัลก็เปลี่ยนท่าทีเป็นดีใจ
ซูจิ่นซีเข้าใจความหมายของนางกำนัลอย่างรวดเร็ว นางชี้ไปที่ชุดทางขวามือ
“เจ้าคาดหวังให้ข้าเลือกชุดนี้ใช่หรือไม่? ”
นางกำนัลผู้นั้นตื่นตระหนกอย่างมาก นางไม่ทันได้ตั้งตัวจากคำถามกะทันหันของซูจิ่นซี จึงพยักหน้ารับคำโดยไม่รู้ตัว ทว่าหลังจากตั้งสติได้ก็ส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีตบโต๊ะอย่างแรง
“พูดมา ผู้ใดส่งเจ้ามากันแน่? ”
นางกำนัลผู้นั้นตัวสั่นด้วยความตกใจ และรีบคุกเข่า “ท่านหมอซู ไม่… ไม่มีเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ทำอันใดเลย บ่าวไม่ได้ทำอันใดเลยจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านให้อภัยบ่าวด้วยเถิด! ”
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปหานางกำนัลผู้นั้นด้วยแววตาดุดัน พลางใช้นิ้วเชยปลายคางของนางกำนัลขึ้นมา บังคับให้นางกำนัลผู้นั้นสบตาตนเอง
“พูด ผู้ใดส่งเจ้ามาจัดแจงการเปลี่ยนเสื้อผ้าของข้า เจ้ามีแผนร้ายอันใดกันแน่? ขอเพียงเจ้าพูดออกมาอย่างละเอียด ข้ารับรองว่าวันนี้จะไม่ตีเจ้าจนตาย”
ตีจนตาย?
นั่นคือโบยจนตายมิใช่หรือ?
มันเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยในวังหลวง
นางกำนัลผู้นั้นตกใจกลัวจนหน้าถอดสี แทบเป็นลมหมดสติ