บทที่ 446 ทะเลาะ

บัลลังก์พญาหงส์

​พอเจียงอวี้เหลียนได้ยินกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า… นางรู้สึกว่าหลี่เย่กำลังโมโหอยู่ จึงไม่สนใจพวกนางสองแม่ลูกแล้ว

แต่ถาวจวินหลันกลับเข้าใจไปอีกแบบ นางรู้ว่าหลี่เย่พูดเพราะหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้การออกจากเมืองไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป อย่างไรก็ไม่รู้ว่าตอนที่เดินทางไปจะพบกับอะไรบ้าง? หากภายในวังหลวงไม่ได้รับเชื้อติดต่อโรคระบาด แต่ตอนที่เดินทางออกจากเมืองกลับติดโรคเข้า นั่นก็ถือว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

จะต้องรู้ว่า ตอนนี้หมอรวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงเต็มไปหมด และยังมีกรมหมอหลวง เรื่องหาเทียบยารักษาโรคนี้ได้คงเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว อีกทั้งในเมืองหลวงยังหาวัตถุดิบสมุนไพรได้ง่ายที่สุด ต่อให้เป็นอะไรไปก็ยังถือว่ามีความหวัง แต่นอกเมืองหลวงกลับไม่มีสิ่งเหล่านี้

ดังนั้นอยู่ในเมืองหลวง และปิดประตูใช้ชีวิตของตนเองจึงถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด

เจียงอวี้เหลียนกัดริมฝีปาก มองหลี่เย่อย่างร้าวราน แม้จะไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจ แต่กลับแสดงความน้อยใจไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างชัดเจน

หลี่เย่เห็นเจียงอวี้เหลียนมีท่าทีเช่นนี้ ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้น ย่อมไม่คิดจะพูดอะไรอีกแม้แต่น้อย

ถาวจวินหลันคิดถึงความปลอดภัยของเซิ่นเอ๋อร์ จึงเอ่ยปากพูด “จวนของพวกเรามีเรือนอยู่มากแต่มีคนไม่มากนัก หากเทียบกับที่อื่นแล้วก็ปลอดภัยกว่ามาก เจ้าปิดประตูเรือนไว้ย่อมปลอดภัยเป็นแน่ นอกจากโรคระบาดในเมืองหลวงจะควบคุมไม่อยู่ มิเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแน่นอน เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็กนัก ผ่านประตูเมืองไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่ถือเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งบ้านพักในพื้นที่ห่างไกลก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป”

ไม่ใช่เพราะว่าผู้ลี้ภัยทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่นอกประตูเมือง และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางควักไขว่พลุกพล่าน อย่างน้อยถาวจวินหลันก็ได้ยินคนที่อยู่เบื้องล่างมารายงานให้ฟังหลายครั้งแล้ว บอกว่าบ้านพักที่บรรดาผู้ประสบภัยเหล่านั้นเดินทางผ่านมีบางที่ถูกขโมยแย่งชิง ใครก็บอกไม่ได้ว่าจะบังเอิญเจอคนโหดร้ายพวกนั้นหรือไม่? อีกทั้งในจำนวนนั้นอาจมีที่ได้รับเชื้อโรคระบาดไปแล้วด้วย

ดังนั้นดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ข้อเสนอของหลี่เย่ถือว่าดีที่สุด ไม่ใช่เป็นการพูดให้จบๆ ไปเป็นพิธี หรือว่าอย่างอื่น

เจียงอวี้เหลียนยิ่งก้มหน้าต่ำลง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเชื่อท่านอ๋องเพคะ”

ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของนางก็รู้ว่านางยังไม่เข้าใจ จึงได้แต่ถอนหายใจ “เจ้ากลับไปคิดให้ดีเสียเถิด เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่มีทางละเลยเขาเป็นแน่ และยิ่งไม่มีทางให้เขาไปเสี่ยงอันตราย”

เจียงอวี้เหลียนกลับทำหูทวนลม ลุกขึ้นพลางพูดอ้างว่าจะต้องกลับไปดูแลเซิ่นเอ๋อร์ แล้วขอตัวลากลับไป

หลี่เย่เม้มริมฝีปาก วางถ้วยชาในมือลง ถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง พูดตามจริงเขาเริ่มปวดหัวแล้ว

ถาวจวินหลันรีบเกลี้ยกล่อมว่า “นางก็แค่ยังคิดไม่ได้ และรู้สึกตกใจเท่านั้น ท่านทำเพราะหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ ใครๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี”

หลี่เย่แค่นหัวเราะ “เจ้ายังเข้าใจและคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์มากกว่านางเสียอีก”

ถาวจวินหลันฝืนยิ้ม ส่ายหน้า “อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเซิ่นเอ๋อร์ คนอื่นไม่มีทางเทียบนางได้ เพียงแต่ต่างคนต่างความคิด นานไปเดี๋ยวนางก็จะเข้าใจเอง”

ไม่ว่าเจียงอวี้เหลียนจะคิดได้หรือไม่ เรื่องราวก็จบลงเช่นนี้แล้ว

วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันส่งคนออกไปถามสถานการณ์ของถาวซินหลัน เพิ่งจะส่งคนออกไปไม่นานก็มีคนของทางด้านตระกูลเฉินเข้ามาทำความเคารพนาง

ถาวจวินหลันเข้าใจได้ทันใดว่า ถาวซินหลันก็เป็นกังวลสถานการณ์ของตน นางจึงอดหัวเราะไม่ได้ ลอบคิดว่าที่บอกว่าเลือดข้นกว่าน้ำ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

รอจนทั้งสองฝ่ายส่งข่าวบอกอีกฝ่ายว่าปลอดภัยแล้ว ถาวจวินหลันจึงวางใจได้เสียที อย่างไรหากถาวซินหลันต้องลำบากเพราะนาง นางคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นแน่

ตอนหัวค่ำ ถาวจิ้งผิงก็มาหาอีก แต่ไม่ได้ส่งคนมาถาม ทว่ามาด้วยตนเอง

ถาวจวินหลันค่อนข้างแปลกใจ จนถอยหลังไปสองสามก้าวตามสันชาตญาณ พอได้สติกลับมา นางก็มองถาวจิ้งผิงที่มีท่าทีตื่นตะลึง แล้วถึงได้ยิ้มอย่างลุแก่โทษ “หลายวันมานี้เคยชินไปเสียแล้ว จึงยังตั้งตัวไม่ได้ในทันที”

ถาวจิ้งผินได้ยินเช่นนั้นก็เจ็บปวดใจ แล้วหัวเราะออกมา “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วขอรับ”

“ทำไมองค์หญิงเก้าไม่ตามมาด้วยเล่า?” ถาวจวินหลันอยากให้ถาวจิ้งผิงอยู่ร่วมโต๊ะอาหารก่อนแล้วค่อยกลับ แต่เมื่อคิดว่าองค์หญิงเก้าอยู่ที่บ้านลำพังคงไม่เหมาะสม จึงเอ่ยถาม

ถาวจิ้งผิงยิ้ม พูดว่า “ข้าตรงมาจากศาลาว่าการขอรับ คืนนี้ก็จะร่วมทานอาหารกับท่านพี่”

ในเมื่อถาวจิ้งผิงพูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่ปฏิเสธ รีบยิ้มและตอบรับทันที ก่อนพูดอีกว่า “เจ้าเองก็จะได้ดื่มกับท่านอ๋องสักหน่อย เหล้าข้าวหวานที่หมักใหม่ในปีนี้ยังไม่ได้เปิดไหเลย”

“ก็ดีน่ะซีขอรับ” ถาวจิ้งผิงหัวเราะฉับพลันทันที ท่าทีอยากกระหาย

ถาวจวินหลันมองดูอยู่ ก็อดหลุดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องนัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามถาวจิ้งผิงว่า “จะต้องไปแจ้งข่าวให้องค์หญิงเก้ารู้สักหน่อยหรือไม่?”

ถาวจิ้งผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่จำเป็นขอรับ อีกครู่หนึ่งก็จะกลับแล้ว อีกทั้งก่อนออกมาเมื่อเช้าก็บอกไปแล้ว คิดว่าต้องรู้เป็นแน่ขอรับ”

น้ำเสียงที่ถาวจิ้งผิงพูดถึงองค์หญิงเก้าดูแปลกอย่างบอกไม่ถูก ถาวจวินหลันฟังแล้วก็ยิ่งอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้

แต่เห็นชัดว่าถาวจิ้งผิงเหมือนไม่อยากพูด ถาวจวินหลันจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ พอทานอาหารเสร็จแล้ว นางก็เห็นถาวจิ้งผิงไม่ได้มีท่าทีจะกลับ นางจึงอดพูดเร่งไม่ได้ “นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบกลับไปเถิด อย่าทำให้องค์หญิงเก้าไม่สบายใจเลย”

พอส่งถาวจิ้งผิงกลับไปแล้ว นางถึงได้หันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “ท่านว่าจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้าทะเลาะกันหรือไม่เพคะ?”

หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “จะทะเลาะกันก็เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา ไม่เกี่ยวกับพวกเรา เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ระวังเข้าไปยุ่งแล้วจะแย่กว่าเดิม”

ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริง จึงขมวดคิ้วและพยักหน้า พูดว่า “จริงด้วยเพคะ แต่ข้าก็ยังเป็นห่วง”

พี่สาวมีที่ไหนบ้างจะไม่ห่วงน้องชาย? โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาควรต้องมีความสุขสมัครสมานสามัคคีกัน อีกทั้งพวกเขาเพิ่งจะแต่งงานกันไม่นาน ควรที่จะอยู่ในช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ไฉนถึงได้ทะเลาะกันเล่า?

หลี่เย่มองดูท่าทางของถาวจวินหลัน ก็รู้ว่านางยังต้องคิดมากอยู่แน่นอน จึงยิ้มและพูดว่า “มีคำพูดที่ว่าสามีภรรยาทะเลาะกันที่หัวเตียง ดีกันที่ปลายเตียง เจ้าคอยดู อีกสองสามวันต้องไม่มีปัญหาเป็นแน่ หากเจ้าเป็นกังวลก็หาเวลาเชิญพวกเขามาเป็นแขกก็ได้แล้ว ถึงเวลานั้นคอยดูสถานการณ์ก็จะรู้แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?”

ถาวจวินหลันพยักหน้า คิดว่าความคิดนี้ใช้ได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็พูดอีกว่า “อย่างไรก็ต้องรออีกสองสามวัน ตอนนี้จวนตวนชินอ๋องจะต้องหลบข้อสงสัยเสียหน่อย”

หลี่เย่ยิ้ม “ตามใจเจ้าเถิด”

ถาวจวินหลันเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน แต่ที่นางไม่รู้คือขณะที่นางกำลังคาดเดา บ้านตระกูลถาวกลับตกอยู่ในสภาพสงครามเย็น ถาวจิ้งผิงกลับไปยังบ้านตระกูลถาว ก็ตรงไปที่ห้องหนังสือ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้าไปที่เรือนในเลยแม้แต่น้อย

พอองค์หญิงเก้าได้ยินบ่าวมารายงาน นางก็ฉีกผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอย่างโกรธแค้น แล้วขึ้นเตียงไปพร้อมกับตาแดงก่ำ

บรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่วันนั้น แต่ยังมีต่อมาอีกหลายวัน

ผ่านไปอีกห้าวัน ถาวจวินหลันคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงคิดจะเข้าวังหลวงไปสักครั้ง…ครั้งนี้นางพาหมอหลวงมาอยู่ข้างกายด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของไทเฮาไฉนเลยจะทำเช่นนี้ได้?

อีกทั้งนางเองก็คิดอยากจะไปสืบสถานการณ์ของหลี่ว์หลิ่ว

เพื่อไม่ให้ตนเองประหม่าจนเกินไป นางคิดแล้วก็เชิญองค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้าเข้าไปพร้อมกัน

องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าตกลงอย่างว่าง่าย นัดวันกันแล้วก็เข้าไปในวังหลวงพร้อมกัน ตอนที่มาถึงหน้าประตูวัง ถาวจวินหลันกลับมาก่อนเป็นคนแรก องค์หญิงแปดมาเป็นคนที่สอง…หลายวันมานี้ไม่ได้พบหน้าองค์หญิงแปด สีหน้ากลับดีขึ้นไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าบำรุงมาพอดีแล้ว แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ

ถาวจวินหลันเห็นถึงความใส่ใจของสามีองค์หญิงแปด ก็อดเย้าแหย่ไม่ได้ “ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันกลับดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าสามีองค์หญิงแปดมีความสามารถเสียจริง”

ต่อให้องค์หญิงแปดจะไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา พูดอย่างออดอ้อนว่า “เหลวไหลเจ้าค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่งก็โจมตีกลับมา “เมื่อพูดเช่นนี้ ข้าเองก็ควรพูดกับพี่รองบ้าง ให้เขาเรียนจากสามีของข้าถึงจะถูก แต่ว่าข้ากลับได้ยินมาว่าพี่รองโปรดปรานเอ็นดูอยู่คนเดียว แล้วยังอ่อนโยนอ่อนหวานอีกต่างหาก”

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ช่างเถิดๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย”

องค์หญิงแปดหัวเราะทันที “ไม่ชนะข้าก็บอกว่าไม่น่าสนใจ จิ๊ๆ” หยุดไปครู่หนึ่งก็หันมามองถาวจวินหลันอย่างเป็นห่วง “ดูท่านเถิด ผ่านผอมไปตั้งเยอะ เห็นได้ว่าพี่รองทำงานไม่สมหน้าที่เลย”

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าป่วยมิใช่หรืออย่างไร? ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เสียหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอะไร บำรุงไปอีกสักช่วงหนึ่งก็ดีขึ้น ต้องขอบใจเจ้าที่เป็นกังวลแล้ว”

องค์หญิงแปดพยักหน้าแล้วพูดถึงเรื่องอื่นต่อ

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน องค์หญิงเก้าก็มาถึงแล้ว

หลังจากองค์หญิงเก้าสังเกตเห็นถาวจวินหลัน นางก็ยิ้มให้ถาวจวินหลันก่อน “เห็นได้ว่าพี่หญิงหายดีแล้ว เดิมข้ายังคิดว่าอีกสองสามวันจะไปเยี่ยมท่าน แต่ด้วยเรื่องในจวนเยอะเกินไปจึงหาเวลาไปไม่ได้เสียที”

ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ข้ารับไว้แค่น้ำใจก็พอแล้ว เจ้าจัดการเรื่องในบ้านตระกูลถาวก็เหนื่อยมากพอแล้ว แต่ข้ากลับต้องเตือนเจ้าบางอย่าง อย่าเสียสุขภาพเพราะเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรร่างกายก็สำคัญที่สุด”

องค์หญิงแปดส่งเสียงจิ๊ปากอยู่ข้างๆ จงใจพูดด้วยท่าทีปลิ้นปล้อน “ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ดูความสนิทสนมนี้ซี เกรงว่าคงลืมไปแล้วว่าข้าอยู่ข้างๆ ใช่หรือไม่? เจ้าเก้าเองก็เหมือนกัน พี่แปดของเจ้ายืนอยู่ข้างๆ เจ้ากลับสังเกตเห็นแต่พี่สะใภ้รองของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้

องค์หญิงเก้ารีบยิ้มปลอบองค์หญิงแปดทันที “พี่แปดที่แสนดีของข้า อย่าพูดเช่นนี้เลย ข้าจะไม่สังเกตเห็นท่านได้อย่างไร? กำลังจะพูดคุยกับท่านอยู่เลย ท่านเป็นใหญ่ใจย่อมกว้าง ยกโทษให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันกลับจงใจพูดว่า “ที่องค์หญิงแปดพูดก็ไม่ผิด ตอนนี้นางอิจฉาที่พวกเราสองคนสนิทกัน”

จู่ๆ บรรยากาศก็ดูสมัครสมานสามัคคีอย่างพูดไม่ถูก ทั้งสามคนพูดคุยสัพเพเหระ จากนั้นก็เดินเข้าวังหลวงไป คราวนี้ก็ยังคงไปที่วังหย่งโซ่วก่อน

องค์หญิงแปดแอบมาสะกิดถาวจวินหลัน ยิ้มและพูดว่า “อีกครู่หนึ่งพี่สะใภ้รองจะต้องปากหวานสักหน่อยนะเจ้าคะ คราวนี้ไทเฮาลำเอียงเอ็นดูท่านแล้ว”