บทที่ 447 ยุติธรรม

บัลลังก์พญาหงส์

​ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจความหมายขององค์หญิงแปด จึงพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มและพูดว่า “ข้าเข้าใจ”

องค์หญิงเก้าหันกลับมามองสองคนที่เดินตามหลังมา ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็นีบเก็บอาการ แต่รอยยิ้มกลับจางลงไปกว่าสองส่วน

เดินทางตรงไปที่วังหย่งโซ่วเพื่อทำความเคารพไทเฮาพร้อมกัน

ไทเฮายิ้มพลางประทานที่นั่งให้ ถามอีกว่า “วันนี้ทำไมถึงว่างมาหาข้าพร้อมกันสามคนเล่า?”

องค์หญิงแปดยิ้มพลางตอบว่า “ไม่ใช่เพราะชายารองถาวหรอกหรือเพคะ นางอยากมาทำความเคารพไทเฮา แต่ก็รู้สึกประหม่า จำต้องลากพวกเราออกมาด้วยกัน หม่อมฉันเองก็ถือโอกาสเข้าวังหลวงมาหาเสด็จแม่ด้วยเลยเพคะ”

องค์หญิงแปดพูดให้ทุกเรื่องกระจ่าง ถาวจวินหลันเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก จึงยิ้มอย่างเขินอาย ก้มหน้าลงพลางพูดเสียงอ่อนว่า “คราวนี้หม่อมฉันผ่านพ้นภัยอันตรายมาได้อย่างปลอดภัย ก็ยังต้องขอบพระทัยไทเฮาที่สั่งให้หมอหลวงไปที่จวนเพคะ”

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะ “เรื่องใหญ่ที่ไหนกัน เป็นเรื่องที่เจ้าสมควรได้รับอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องที่เจ้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านั้น และยังน้ำใจบริจาคอาหารและยาเหล่านั้นก็สมควรแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นก็ต้องเรียกคนทั่วทั้งใต้หล้าว่าใจไม้ไส้ระกำแล้ว แน่นอนว่าคนอื่นเองก็ยอมให้หมดใจเช่นกัน”

คำพูดนี้บอกถาวจวินหลันกลายๆ ว่านางแค่ยอมรับไปก็พอแล้ว อย่าได้คิดว่าตนเองเอาเปรียบผู้อื่นหรือได้รับความโปรดปราณมากกว่าผู้อื่น หากมีคนอิจฉาหรือโมโห ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ

แน่นอนว่าพูดถึงชายาเอกอู่อ๋อง ด้วยจวนจวงอ๋องมีจวงอ๋องอยู่ด้วย ดังนั้นจึงยังมีหมอหลวงฝีมือดีไป มีเพียงแค่ชายาเอกอู่อ๋อง ด้วยไม่มีคนขอแทนนาง ย่อมต้องไม่มีหมอหลวงฝีมือดีชื่อดังไปเป็นแน่ เกรงว่านางคงจะไม่พอใจอยู่บ้าง

แต่พอถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของไทเฮาแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนจะรีบล้างข้อสงสัยมากเกินไป และยิ่งแสดงความห่างไกลออกไปเล็กน้อย

ถาวจวินหลันเม้มปาก รับคำและไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เพียงแค่ถามสุขภาพของไทเฮาอย่างใส่ใจอีกเล็กน้อยเท่านั้น

องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็พูดคุยกับไทเฮากันอีกครู่หนึ่ง บรรยากาศก็ไม่ได้ถึงขั้นเย็นชาอะไร แต่ก็ไม่ถือว่าครึกครื้น แต่ความกระตือรือร้นของไทเฮาไม่ได้เยอะ ดังนั้นต่อให้หาหัวข้อมาพูดอีกมากมายก็ยังมีช่วงที่ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าไทเฮาสนใจถาวจวินหลันมากกว่า ฉับพลันก็เอ่ยปากถามว่า “ได้ยินว่าตอนนั้นตัวเจ้าปิดประตูเรือนเอง? กลัวหรือไม่?”

ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ไฉนเลยจะไม่กลัวเล่าเพคะ  หม่อมฉันกลัวมาก แม้แต่เวลาพูดคุยก็ยังสั่นสะท้าน กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ต้องนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว แม้แต่ยืนก็ยังยืนไม่ไหวเลยเพคะ”

“ในเมื่อกลัวถึงขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังกักตัวเองอยู่ในเรือนอีก?” ไทเฮาหัวเราะ แปลกใจเล็กน้อย แม้แต่องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็ยังหันมามอง

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ก็เพราะไม่มีวิธีอื่นเพคะ คงไม่อาจไปลากให้คนอื่นมาลำบากด้วยได้ บ่าวรับใช้ทั้งเรือนก็ตระหนกตกใจไปหมด แค่นี้ก็ลากคนอื่นมามากแล้ว อีกทั้งท่านอ๋องเป็นคนอ่อนไหว ถ้าได้ยินเรื่องนี้แล้ววิ่งกลับมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หม่อมฉันก็คงทำผิดมหันต์ อีกทั้งคนอื่นภายในจวน ผู้ใหญ่ยังพอทน แต่เซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ไม่กล้าให้เขาเจออันตรายแม้เพียงน้อยเพคะ”

ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง และหันไปมององค์หญิงเก้าและองค์หญิงแปด “พวกเจ้าควรเรียนรู้ความใจเย็นและรู้ความเช่นชายารอง” นี่ถือว่าเป็นการชื่นชมถาวจวินหลันกลายๆ แล้ว

เมื่อถาวจวินหลันได้รับคำชมเช่นนี้ นางก็รู้สึกตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง รีบพูดถ่อมตัว “เป็นใครก็ต้องทำเช่นนี้เพคะ”

ไทเฮาหลุดหัวเราะ  “นั่นก็ไม่แน่ แต่เป็นอย่างเจ้านี่ถือว่าดี ต่อจากนี้ไปก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร พวกผู้ชายก็สำคัญที่สุด ผู้หญิงอย่างพวกเราอย่าได้ทำให้พวกผู้ชายเสียเรื่อง”

ไทเฮาพูดแฝงนัย ถาวจวินหลันก็พยักหน้ารับรู้ “หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ”

พอออกมาจากวังของไทเฮา องค์หญิงแปดก็ยิ้มพลางเชิญถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้า “ไปนั่งอยู่ที่วังของเสด็จแม่ข้าก่อนดีหรือไม่ แล้วอีกครู่ค่อยออกจากวังหลวงไปพร้อมกัน”

องค์หญิงเก้ากลับส่ายหัว “ช่างเถิด ข้ายังมีธุระอื่นในจวน ข้ากลับก่อนก็แล้วกัน”

ถาวจวินหลันตั้งใจจะกลับออกไปพร้อมองค์หญิงเก้า แต่เมื่อมองไปยังองค์หญิงแปดก็เปลี่ยนใจ นางจำได้ว่าอิงผินเป็นคนมีข่าวสารว่องไว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้เรื่องของหลี่ว์หลิ่วอยู่บ้าง

ถาวจวินหลันจึงรับคำองค์หญิงแปด ยิ้มพลางกำชับองค์หญิงเก้าว่า “เดินทางกลับก็ระวังด้วย ช่วงนี้ดูประตูหน้าต่างภายในจวนให้ดี อย่าได้ติดต่อกับคนนอกเมืองโดยเด็ดขาด”

องค์หญิงเก้ารับคำ ไม่ได้พูดอะไรมากก็ขอตัวกลับไปก่อน

ถาวจวินหลันมองแผ่นหลังขององค์หญิงเก้า รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เป็นอะไรไป? รู้สึกเหมือนว่าองค์หญิงเก้ามีท่าทีแตกต่างไปจากตอนปกติ

แต่นางเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าองค์หญิงแปดยิ้มแล้วพูดเร่ง “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบไปเถิดเจ้าค่ะ เร่งออกจากวังหลวงไปให้ทันก่อนถึงเวลาอาหารกลางวัน มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องอยู่ร่วมสำรับกลางวันในวังหลวงแล้ว”

รับประทานอาหารกลางวันในวังหลวงย่อมไม่เหมาะสม หากไม่พูดเรื่องกฎเกณฑ์ พูดแค่ว่าจะกินลงหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ตอนเป็นนางกำนัล ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกเช่นนี้ แต่หลังจากหลี่เย่โดนพิษโดยไม่มีเหตุผล นางก็ฝังความรู้สึกไม่ปลอดภัยมาโดยตลอด อีกทั้งยามนี้มีคนอิจฉาหลี่เย่มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ่งไม่กล้าทานอาหารภายในวังหลวง แม้แต่ชาในวังของไทเฮา นางก็พยายามดื่มให้น้อย

ด้วยวังของอิงผินต้องเดินไปอีกระยะหนึ่ง องค์หญิงแปดจึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับถาวจวินหลัน “ท่านอยู่ในเรือนมาช่วงหนึ่ง ไม่รู้ตอนนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านรู้จักเฝินหยางโหวใช่หรือไม่? อยู่ๆ เขาก็เกิดถูกใจคุณหนูจากภรรยาเอกของจวนเหิงกั๋วกงที่เพิ่งผ่านพิธีเป็นผู้ใหญ่มาคนนั้น ยังขาดแค่ส่งคนไปสู่ขอเท่านั้นเอง”

ถาวจวินหลันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงส่งเสียงร้องแปลกใจ แล้วพูดสิ่งที่สงสัย “จวนเหิงกั๋วกงจะยินยอมให้คุณหนูจากภรรยาเอกแต่งกับเฝินหยางโหวได้อย่างไร?”

“ก็เพราะอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดหัวเราะออกมา นิ้วมือเรียวยาวก็เด็ดดอกชบาที่ยื่นออกมา หมุนเล่นอยู่รอบหนึ่ง แล้วถึงได้เบะปากพูดว่า “แล้วก็ไม่ดูตัวเองว่าเป็นใคร คิดจะเป็นหมาวัดเด็ดดอกฟ้า จวนเหิงกั๋วกงไม่มีทางยินยอม ย่อมปฏิเสธเด็ดขาดทันที ไม่เหลือทางเลือกให้อีก”

ถาวจวินหลันยิ้ม หยิบดอกชบามาแล้วพูดว่า “ดอกนี้สวยดี เจ้าอย่าทำมันแบบนี้ซี เจ้าก้มหัวลงมา ข้าจะทัดดอกไม้ให้ สีนี้ขับสีผิวเจ้าดี” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “ดูท่าเฝินหยางโหวคงจะเสียหน้ามากเป็นแน่ ในใจคงรู้สึกไม่ดี” ชนกำแพงติดต่อกันขนาดนี้เป็นใครก็ต้องรู้สึกอับอาย

“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ตอนนั้นสีหน้าของเฝินหยางโหวเปลี่ยนไป แล้วยังพูดเสียงดัง บอกว่าจวนเหิงกั๋วกงคิดจะเอาคุณหนูคนนั้นเข้าวังไปรับใช้องค์รัชทายาท ถึงได้ไม่ยอม” องค์หญิงแปดก้มหัวลง ให้ถาวจวินหลันช่วยทัดดอกไม้ลงบนผมอย่างเรียบร้อย ปากก็ส่งเสียงทอดถอนใจ “ต้องมาเจอกับคนอย่างเฝินหยางโหว ก็ถือว่าเป็นดวงซวยแปดชาติของหญิงสาวคนนั้นแล้ว และเพราะว่าบรรพบุรุษของจวนเหิงกั๋วกงไม่สั่งสมบุญ ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้”

เห็นองค์หญิงแปดพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ถาวจวินหลันก็หลุดหัวเราะ จึงตีองค์หญิงแปดเบาๆ “เจ้าก็พูดไป เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเข้าชื่อเสียงของเจ้าได้เสียหายกันพอดี”

องค์หญิงแปดไม่สนใจ “วางใจเถิดเจ้าค่ะ ถนนเส้นนี้โล่งโปร่ง มองไปแล้วไม่มีใครสักคน ใครจะไปได้ยินเจ้าคะ?”

ถาวจวินหลันเหลือบมองทีหนึ่ง เป็นไปอย่างที่พูดจริง จึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่คิดในใจว่า สุดท้ายแล้วก็สมกับที่โตมาในวังหลวง นางเองยังไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่องค์หญิงแปดกลับใส่ใจเรื่องพวกนี้

“แต่วุ่นวายเช่นนี้หญิงสาวคนนั้นคงพูดเรื่องแต่งงานต่อไปยากแล้ว” ถาวจวินหลันส่ายหน้า แม้จะสงสารแต่ก็คิดว่าไม่มีทาง ใครใช้ให้นางเกิดในจวนเหิงกั๋วกงเล่า? ในเมื่อได้เสวยสุขกับเกียรติยศของจวนเหิงกั๋วกง ก็ย่อมเสียสละของที่ควรค่า และทนรับสิ่งเหล่านี้

พูดไม่น่าฟังก็คือ ขอแค่ในอนาคตคนที่ครองบัลลังก์ต่อไม่ใช้องค์รัชทายาท จุดจบของจวนเหิงกั๋วกงก็ถูกบัญญัติไว้แล้ว ชะตาชีวิตของคนในจวนเหิงกั๋วกงเองก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน

จากการกระทำทุกสิ่งอย่างของจวนเหิงกั๋วกงและฮองเฮา ถาวจวินหลันคิดว่าตัวเองไม่สมน้ำหน้าก็ถือว่ามีเมตตามากพอแล้ว

องค์หญิงแปดแค่นหัวเราะ “แต่งงานหรือ? ถ้าไม่ใช่เฝินหยางโหว ก็ต้ององค์รัชทายาท นอกจากสองคนนี้แล้วยังจะมีใครกล้าอีก? พูดไม่น่าฟังก็คือ คนอื่นไปสู่ขอ เกรงว่าเฝินหยางโหวคงเข้ามายุ่ง ผู้หญิงในใต้หล้านี้ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว ใครจะกล้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพราะนางกัน?” ตระกูลใหญ่โตเก่าแก่แต่ละตระกูลละเอียดอ่อนมากเพียงใดกัน ปกติแล้วเรื่องการแต่งงานต้องพิจารณาอย่างละเอียด ไม่อาจให้มีเรื่องผิดพลาดได้

ถาวจวินหลันครุ่นคิด กลับรู้สึกว่าคำพูดขององค์หญิงแปดไม่ผิดแม้แต่น้อย

“แต่อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” ถาวจวินหลันพูดสรุป “ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเหนื่อยเรื่องเหล่านี้”

องค์หญิงแปดพยักหน้า ถอนหายใจเอียงคอมองถาวจวินหลัน “ต่อจากนี้ไปท่านจะต้องระวังเสียหน่อย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นครั้งหนึ่ง ก็อาจจะมีครั้งที่สอง”

องค์หญิงแปดพูดเตือนนางก็เพราะหวังดี ถาวจวินหลันจึงพยักหน้ารับเสียงเบา “ใจของข้ารู้ดี แต่ครั้งนี้ข้าคิดดูแล้วก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันถึงได้…”

“ผลกระทบอะไรกัน ตอนที่นางกำนัลคนนั้นเอาจดหมายไปส่ง ก็อยู่ที่จวนตวนชินอ๋องนานที่สุด” องค์หญิงแปดพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน “พูดไปแล้วก็ถือว่าท่านโชคดี ได้ยินว่านางกำนัลคนนั้นล้มป่วยแล้ว ตอนวันที่สี่ ตอนนั้นข้ายังคิดว่าท่านจะ…คิดไม่ถึงว่าท่านจะไม่เป็นอะไร สวรรค์คุ้มครอง ท่านเองก็อย่าคิดว่าไม่มีอะไร จะต้องหาเวลาไปไหว้พระ สวดมนต์ล้างชำระจิตใจถึงจะดี แต่ตอนนี้กลับออกนอกเมืองไปไหว้พระไม่ได้ ท่านเองก็ควรไปวัดสักครั้ง”

องค์หญิงแปดพูดอย่างจริงจัง ถาวจวินหลันเองก็ไม่กล้าเย้าแหย่ เพราะหลังจากที่ได้ยินว่าฉ่ายยวนมีอาการป่วย นางก็รีบถามด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้าจะต้องไปวัดสักครั้ง พอออกจากเมืองหลวงได้ คงต้องไปทำบุญจุดธูป และทำพิธีเสียหน่อย”

องค์หญิงแปดคิดแล้วก็หัวเราะอีก “แต่ท่านก็ทำเรื่องๆ เหล่านั้นแล้ว ได้รับบุญเช่นนี้ก็ถือว่าสมควร ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนี้บรรดาผู้ลี้ภัยเหล่านั้นเทิดทูนท่านเพียงใด ไม่รู้ว่าใครกระจายเรื่องที่เกิดกับท่านออกไป จึงมีคนจำนวนมากไปโขกหัวขอพรให้”

ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว “ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยเล่า? หากเป็นเช่นนี้จริง ก็เด่นเกินไปแล้ว…”

จะต้องรู้ว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้น ตอนนี้ออกหน้าบ่อยเกินไป ถ้ายิ่งบวกเรื่องเหล่านี้ไปอีกก็จะดูไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเกินไปหน่อย ถึงตอนนั้นจะให้คนอื่นคิดอย่างไร?

หากมีคนคิดจะใช้เรื่องนี้มาหาเรื่อง เกรงว่านางคงจะกลายเป็นคนมีใจทะเยอทะยานแล้ว