ส่วนที่ 4 ตอนที่ 10

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

กงซูปัน

 

 

 

ชาวนาเฒ่าซุกสองมือไว้ในแขนเสื้อ นั่งอยู่บนแท่นโม่คิดอะไรบางอย่าง เอนหลังพิงลูกกลิ้งบนหินก้อนใหญ่ ยิ่งทำให้ดูผอมมากขึ้นเรื่อยๆ แขกที่บ้านแยกย้ายกันไปแล้ว ความสุขของชาวนานั้นเป็นช่วงสั้นๆ แต่อบอุ่น สามารถมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์เพียงหนึ่งมื้อก็ถือว่ามีความสุขอย่างยิ่งแล้ว เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วต่างฝ่ายต่างต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือแต่เพียงเหล่าฮูหยินช่วยเจ้าบ้านเก็บล้างจานชาม พวกนางจงใจหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ชาวนาเฒ่านั่งอยู่ แม้ว่าตรงนั้นจะมีชามใบหนึ่งที่เด็กซุกซนวางไว้บนพื้นก็ตาม

 

 

ทั้งครอบครัวซ่อนตัวอยู่ในบ้านแอบมองชาวนาเฒ่า พยายามเดาว่าโหวเหยียหนุ่มคนนั้นเขียนสิ่งใดไว้ในกระดาษใบนั้น เหตุใดเมื่อนายผู้เฒ่าอ่านแล้วจึงโศกเศร้าเสียใจ นั่งอยู่บนแท่นโม่หินเพียงลำพังเป็นเวลาสองชั่วยามแล้ว เหตุใดน้ำตาไหลจึงยังไหลออกมา

 

 

นายผู้เฒ่าเข้มแข็งมาตลอดชีวิต อย่าว่าแต่เด็กรุ่นหลานไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ แม้แต่พี่น้องรุ่นเดียวกับเขาก็ไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ มาวันนี้เจ้าบ้านหัวแข็งดั่งก้อนหินร้องไห้เหมือนเด็กที่โดนรังแก อึดอัดสุดจะบรรยาย

 

 

หลายวันก่อนนายผู้เฒ่าได้รับจดหมาย ซึ่งจดหมายฉบับนั้นที่ทำให้เขาใช้สายลับของตระกูลที่ไม่เคยใช้มาก่อนเพียงเพื่อส่งกล่องไม้ให้กับโหวเหยียหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของโหวเหยียท่านนั้นทุกย่างก้าว สิ่งนี้เป็นอันตรายสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องไปมาหาสู่กับขุนนางทางการ ตระกูลกงซูทนทุกข์ทรมานเพราะอำนาจมามากพอแล้ว ทำไมต้องไปรนหาที่เองด้วย ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านอย่างเงียบๆ และให้การศึกษาแก่ลูกหลานไม่ดีกว่าหรือ

 

 

อวิ๋นตี้พ่ายแพ้ด้วยมือของมั่วจื่อ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้พ่ายแพ้ด้วยมือฉินหัวหลี ทุกครั้งที่ตระกูลกงซูล้มเหลวจะต้องมีคนหัวขาดทุกครั้ง ดังนั้นจึงเลิกคิดที่จะเติบโตในวงการราชการมานานแล้ว เพียงแต่ซ่อนไว้และถ่ายทอดวิชากันสู่รุ่นหลังเท่านั้น แม้จะประสบความโชคร้ายในช่วงปีต้าเยี่ย[1] จำนวนคนในตระกูลก็สูญเสียมากกว่าครึ่ง หลายปีมานี้ก็ทนจนผ่านพ้นมาได้แล้วไม่ใช่หรือ

 

 

มือของชาวนาเฒ่าที่ซุกในแขนเสื้อกำกระดาษที่อวิ๋นเยี่ยเขียนไว้อย่างแน่น เนื้อหาบนนั้นง่ายมากมีเพียงแค่สิบคำ

 

 

“เป็นคนโง่อีกคนที่อยากสร้างก้อนหิน” นี่คือคำตอบจากอวิ๋นเยี่ย ซึ่งน้ำเสียงนั้นหยาบคายเป็นอย่างยิ่ง

 

 

นายผู้เฒ่าเห็นคำสิบคำนี้ ในใจกลับเกิดคลื่นแห่งความบ้าคลั่งสูงนับหมื่นจั้ง

 

 

กลายเป็นก้อนหินแล้วจริงๆ กลายเป็นก้อนหินแล้วจริงๆ มีเพียงก้อนหินเท่านั้นถึงได้ยอมทิ้งภรรยาและลูก มีเพียงก้อนหินเท่านั้นที่สามารถทนดูความทุกข์ทรมานของตระกูลแต่กลับไม่สนใจใยดี มีเพียงก้อนหินเท่านั้นที่เมื่อตระกูลเจอวิกฤตที่อันตรายที่สุดแต่พูดเพียงประโยคเดียวว่าข้าอยากมีชีวิตอมตะ เมื่อจากไปก็จะไม่ต้องเห็นภาพเด็กๆ ที่อดอยากหิวโหย ไม่ต้องเห็นบิดาที่ชราภาพจนมีผมขาวโพลน ไม่สนใจคำวิงวอนของภรรยา ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มและเตะลูกที่เกาะขาอยู่ให้ออกไป จากไปได้อย่างหมดพันธะ

 

 

เมื่อก่อนไม่เคยรู้ คำพูดสิบคำของอวิ๋นโหวคนนั้นได้ช่วยคลายข้อสงสัยของชายชราที่สับสนมาเป็นเวลาหกสิบปีอย่างสิ้นเชิง ท่านพ่อตอนที่ท่านจากไป ท่านก็คงเป็นก้อนหินไปแล้วกระมัง

 

 

ชาวนาเฒ่าเดินกลับห้อง ยิ้มแล้วพูดกับคนในครอบครัวว่า “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่แก้ปมในใจได้แล้ว รู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”

 

 

“ท่านพ่อ บนกระดาษนั่นเขียนอะไรไว้กันแน่” ชาวนาวัยสี่ห้าสิบปีถามเขา

 

 

ชาวนาเฒ่ายื่นกระดาษให้ลูกชายของเขาและให้เขาอ่านเอง

 

 

เมื่อกวาดตามองคำพูดสิบคำ ชาวนาโกรธมาก

 

 

“ท่านพ่อเจ้าสุนัขทางการนั่นกล้าดูถูกตระกูลกงซูของเรา ลูกจะไปเอาธนูหวงกงแล้วยิงโจรสุนัขนี้ทิ้งเสียเพื่อระบายความโกรธในใจ”

 

 

ชาวนาเฒ่าโบกมือ บอกให้ลูกชายอย่าได้กระวนกระวายไป มองไปที่พี่น้องสองคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาแล้วพูดว่า “น้องสามยังเด็กอยู่ในขณะนั้น จะอะไรไม่ได้เลย พี่ใหญ่ท่านก็คิดว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการดูถูกตระกูลกงซูของเราอย่างนั้นหรือ”

 

 

ชาวนาเฒ่าที่ดูชราภาพกว่าอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กระถางเตาไฟมองดูกระดาษในมือของเขา พลางพูดกับเจ้าบ้านว่า “ถ้าหากทำตามพฤติกรรมของท่านอาเมื่อครั้งอดีต คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง”

 

 

“พี่ใหญ่ เมื่อครั้งที่ทานพ่อยังเยาวัย สติปัญญาเหนือล้ำกว่าข้าเป็นร้อยเท่า ถ้าหากมีคนมรรคผลเป็นเซียนได้จริง ท่านพ่อคงจะเป็นบุคคลที่มีแนวโน้มมากที่สุด อวิ๋นโหวบอกว่าเซียนทุกคนจะต้องกลายเป็นหิน หากดูเพียงพฤติกรรมที่ท่านพ่อทำทั้งหมด คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง”

 

 

ท่านพ่อ ท่านเคยบอกว่าท่านปู่เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่หรือ

 

 

“เจี่ยเอ๋อร์ นี่เป็นความอัปยศช่วงหนึ่งของตระกูลกงซู พ่อไม่ต้องการให้ลูกหลานรุ่นหลังต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นเดียวกับเขา ดังนั้นจึงปิดบังอดีตนี้ไว้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ควรจะให้พวกเจ้าต้องรู้แล้ว”

 

 

ชาวนาเฒ่านั่งลงข้างกระถามเตาไฟ เริ่มเล่าให้เด็กรุ่นหลังทุกคนในครอบครัวฟังว่า ในตอนนั้นพ่อของเขาเพื่อแสวงหาวิถีแห่งเซียนได้ตัดสิ้นเยื่อใยอย่างไร เรื่องราวก็ไม่ยาวแต่กลับทำให้ผู้คนขนลุกขนพอง เมื่อรวมกับเสียงที่ขาดตอนของชาวนาเฒ่าแล้ว ผู้ใหญ่และเด็กทั้งครอบครัวต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญ

 

 

“หากใครในตระกูลยังกล้าพูดถึงเรื่องชีวิตอมตะอีก จะต้องถูกขับไล่ออกไป”

 

 

นี่คือกฎประจำตระกูลใหม่ของตระกูลกงซู ทุกคนในครอบครัวตะโกนอย่างพร้อมเพรียง “หากยังกล้าพูดถึงเรื่องชีวิตอมตะอีก จะต้องถูกขับไล่ออกไป”

 

 

อวิ๋นเยี่ยเก็บตัวอยู่ในบ้านร้อนรนเหมือนมดบนหม้อไฟ ประเดี๋ยวก็วิ่งออกมาที่ลานบ้านมองไปข้างนอก น่าเสียดายที่มีเพียงถนนอันว่างเปล่าและหิมะขาวโพลนบนพื้นดิน เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วก็ยังไม่มีใครมา เหล้าในห้องนั้นได้อุ่นถึงแปดครั้งจนไม่เหลือกลิ่นเหล้าแล้ว

 

 

เหล่าจวงไม่รู้ว่าแขกในวันนี้เป็นใคร รู้เพียงว่าโหวเหยียให้ความสำคัญมาก ไม่เพียงแต่เข้าครัวด้วยตัวเอง ทั้งยังนำเหล้าที่ดีที่สุดของที่บ้านมาต้อนรับแขกผู้สู่งส่ง ไม่รู้ว่าแขกท่านนี้มีฐานะสูงส่งเพียงใดกัน คราวก่อนผู้บัญชาการไฉเส้ามาที่บ้าน โหวเหยียก็ไม่ได้เข้าครัวด้วยตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล้าเลิศรสสองไหนั้นเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในเมืองซั่วฟางนี้ยังมีใครทำให้โหวเหยียให้ความสำคัญได้ถึงเพียงนี้

 

 

อวิ๋นเยี่ยมั่นใจว่าวันนี้จะมีแขกมาเยือนอีกทั้งยังเป็นผู้สูงส่งที่มีความสามารถสูงอย่างแท้จริง ถ้าหากสามารถชักจูงให้ผู้สูงส่งไปที่สำนักศึกษาได้ ความแข็งแกร่งของสำนักศึกษาอวี้ซันจะเพิ่มเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเลิกเกียจคร้านเหมือนปกติ ไม่เพียงแต่เข้าครัวเองและใช้เหล้ารสเลิศ แม้แต่ต้นอ่อนของผักกาดขาวในห้องของเขาก็ไม่ปล่อยไว้ เขาตั้งใจที่จะสร้างความประทับใจที่ดีที่สุดให้กับผู้สูงส่งท่านนั้น

 

 

แสงสีส้มแดงของขอบฟ้าค่อยๆ มืดลง กลางคืนได้มาเยือนแล้ว เหล่าจวงหยิบโคมไฟออกมาสองใบแขวนส่องสว่างไว้ที่หน้าประตู หวังว่าเมื่อแขกได้เห็นโคมไฟก็จะรู้ว่าเจ้าบ้านยังคงรออยู่

 

 

อวิ๋นเยี่ยตั้งใจโยกย้ายยามที่หน้าประตูออกเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกที่มาเยือน แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้ได้ทำเสียเปล่าแล้ว

 

 

ขณะที่กำลังจะบอกเหล่าจวงให้นำอาหารเหล่านี้ไปกิน ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

 

 

ข้อความในเทียบเยี่ยมคารวะนั้นได้เขียนอย่างชัดเจนว่ากงซูมู่และลูกชายกงซูเจี่ยมาขอพบ หัวใจของอวิ๋นเยี่ยแทบจะหลุดออกมา เดิมคิดว่าเป็นแค่ปลาตัวใหญ่ ไม่คิดว่าจะเป็นวาฬยักษ์ ทั้งยังเป็นปลาวาฬยักษ์ที่มีลูกน้อยมาด้วย ลูกหลานของหลู่ปัน อวิ๋นเยี่ยรู้ดีถึงความสำคัญของคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ใช่ช่างฝีมือที่มีความชำนาญมานาน หากแต่เป็นนักฟิสิกส์ตัวเป็นๆ ในตอนนี้และวิศวกรที่ดีที่สุด แม้ว่าจะต้องทุ่มเทมากกว่านี้ก็ต้องรั้งเอาไว้ให้ได้ หากไม่ยอมจริงๆ ก็ทำการลักพาตัวเสียเลย อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจแล้ว

 

 

จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย สั่งการให้ทุกคนออกไปต้อนรับ ลูกหลานของหลู่ปันคู่ควรที่จะให้เขาจัดพิธีต้อนรับให้สมฐานะโหวเจวี๋ย

 

 

ชาวนาเฒ่าเองก็ไม่ได้แต่งกายเป็นชาวนาแล้ว ชุดแต่งกายแบบชาวฮั่นสีน้ำตาลทำให้ผู้เฒ่าดูเชยมาก เขาจงใจไม่สวมเสื้อคอกลม สวมรองเท้าเกี๊ยะ เกล้ามวยผมและยึดด้วยกิ่งเถาวัลย์ ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังเองก็แต่งกายแบบชาวฮั่น สองตาเหลือบมองการออกมาต้อนรับของตระกูลอวิ๋นโดยไม่ตั้งใจ ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างพอใจ

 

 

อวิ๋นเยี่ยแต่งกายในชุดเต็มยศ ซึ่งก็คือชุดที่ใส่เข้าประชุมเช้า ยืนรออยู่ที่ประตู ยิ้มและคารวะเมื่อเห็นแต่ไกลๆ “อาจารย์กงซูให้เกียรติมาเยือน นับว่าเป็นเกียรติแก่บ้านโทรมๆ ของข้าจริงๆ อวิ๋นเยี่ยผู้ด้อยปัญญาขอคารวะ”

 

 

“ฮ่าๆๆ อวิ๋นโหวเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากนัก ข้าโชคดีที่ได้พบ นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”

 

 

เดิมทีอวิ๋นเยี่ยมักคิดเสมอว่าพวกตาเฒ่ายุคโบราณเป็นพวกชอบหัวเราะก่อนพูด ยังนึกว่าพวกนักเขียนนิยายเพิ่มเติมขึ้นเอง หลังจากมาอยู่ในราชวงศ์ถังเป็นเวลานานแล้วถึงได้พบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริง เวลาพวกตาเฒ่าพูดคุยไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าหัวเราะหรือไม่ ก็มักจะหัวเราะฮ่าๆ ไว้ก่อนด้วยความเคยชิน อย่างเช่น หลี่หยวน หลี่เซี่ยวกง ฝางเสวียนหลิง คนที่เด่นชัดที่สุดก็คือจั่งซุนอู๋จี้ ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าซื่อบื้อๆ อันอ้วนกลม ภายนอกช่างดูใจดีกับทุกคน สำหรับส่วนลึกแล้วจะมีการทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ของ ผู้อื่นบ้างหรือไม่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ เมื่อต้องทักทายกับคนที่หัวเราะฮ่าๆ ก่อนพูด อวิ๋นเยี่ยมักจะหวาดระแวงอยู่เสมอ ท่านที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ดูเหมือนจะเป็นสุนัขจิ้งจอกพันปี ภารกิจคืนนี้สำคัญมากและอวิ๋นเยี่ยแอบกลุ้มอยู่ในใจ

 

 

“ท่านผู้เฒ่าล้อเล่นแล้ว ผู้ที่ไร้คนเทียบเทียมคือท่านอาจารย์ ข้าน้อยปีนี้อายุเพียงสิบหกปี ไหนเลยจะกล้าใช้คำว่าอัจฉริยะสองคำนี้ ท่านน่าจะชื่นชมจนข้าเหลิงไปเลย” คำพูดนี้สำหรับตาเฒ่าแล้วไม่ว่าจะเป็นฐานะหรืออายุ เขาก็คู่ควรและรับได้ ใครใช้ให้บรรพบุรุษเขาคือหลู่ปันกันล่ะ

 

 

“เอ๋ อวิ๋นโหวกล่าวผิดไปแล้ว วัยรุ่นผู้ชาญฉลาดชวนให้คนอิจฉา อายุน้อยๆ ก็ได้เป็นถึงโหวเจวี๋ยช่างชวนให้คนรอบข้างอิจฉา ฮ่าๆๆ”

 

 

เป็นเสียงหัวเราะอีกแล้ว ตาเฒ่าคนนี้ตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ไม่ยอมพูดถึงวัตถุประสงค์ ไม่พูดเกี่ยวกับเนื้อหาที่แท้จริง คำพูดเรื่อยเปื่อยกับคำพูดเกรงอกเกรงใจมากมายก่ายกองจนทำให้อวิ๋นเยี่ยร้อนใจ พวกตาเฒ่าในสำนักศึกษายังจะดีเสียกว่า ไม่ว่าคำพูดน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็จะพูดอออกมาตรงๆ ไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระ

 

 

 “ท่านนี้คงเป็นอาจารย์เจี่ย ข้าน้อยขอคารวะ” อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเอ่ยปากต่อสุนัขจิ้งจอกเฒ่านั้นยาก จึงอยากลองดูว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ที่ไม่แก่และไม่หนุ่มเกินไปจะเปิดโอกาสให้ได้เอ่ยปากหรือไม่

 

 

“อวิ๋นโหวเกรงใจแล้ว ต่อหน้าท่านพ่อ ข้าไหนเลยจะกล้ารับคำเรียกว่าอาจารย์ได้” กงซูเจี่ยยิ้มและคารวะกลับ

 

 

มีทางอยู่ จิ้งจอกเฒ่าไหลลื่นเหมือนปลาเลนหนีชิว จิ้งจอกตัวน้อยเมื่อครู่จ้องมองพิธีการต้อนรับของตระกูลอวิ๋นและพยักหน้าดูท่าแล้วยังมีทางอยู่

 

 

“อาจารย์กงซูมาได้ถูกจังหวะพอดี ข้าได้เข้าครัวปรุงอาหารสองสามอย่างไว้ด้วยตัวเอง หวังว่าผู้อาวุโสจะได้มีความสุข”

 

 

“อวิ๋นโหวคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าจะมา จึงได้เตรียมเหล้ายาปลาปิ้งไว้นานแล้ว ด้วยน้ำใสใจจริงเช่นนี้ ข้าจะกล้าไม่รบกวนได้อย่างไร”

 

 

อาหารได้จัดวางอยู่ในห้องรับแขกของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ชุดรับประทานอาหารอวิ๋นเยี่ยตั้งใจยืมมาจากไฉเส้าโดยเฉพาะ ในฉางอันอาจจะยังไม่ใช่ของดีแต่เมื่ออยู่ในเมืองซั่วฟางถือเป็นของที่เลิศที่สุดอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ไม่มีสาวรับใช้ คนที่ยกอาหารออกมาล้วนแล้วแต่เป็นชายร่างใหญ่ผู้สูงวัย

 

 

“เนื่องจากอยู่ในค่ายทหาร อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง หวังว่าอาจารย์จะไม่ถือสา” หากอยู่ที่ฉางอัน อวิ๋นเยี่ยจะจัดอาหารมื้อนี้ให้หรูหราไร้ที่ติอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่อยู่ในเมืองซั่วฟางจึงได้พยายามให้ดีที่สุด กงซูเฒ่าไม่ได้ตอบอะไร แต่กำลังศึกษาเก้าอี้หลายตัวนั้นทั้งยังลองนั่งดูด้วย จากนั้นจึงไปดูโต๊ะอาหารแล้วจึงพยักหน้าดูเหมือนจะค่อนข้างพอใจมาก

 

 

อวิ๋นโหวล้อเล่นแล้ว ชุดรับประทานอาหารที่ประณีตเช่นนี้เมื่อรวมกับอาหารรสเลิศ จะบอกว่าขาดตกบกพร่องได้อย่างไร อีกทั้งในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้ยังมีผักใบเขียวให้ได้ทาน ยิ่งหายากขึ้นไปอีก ข้าก็แค่ชาวป่าชาวดอยคนหนึ่งได้รับการต้อนรับพิเศษนี้ ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากแล้ว ฮ่าๆๆ”

 

 

ตาเฒ่าเริ่มหัวเราะอีกแล้ว เกรงว่าเขาอาจมีความคิดว่าที่จะก้าวเข้าสู่โลกคาวโลกีย์ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เขาไม่สามารถหาโอกาสที่เหมาะสมได้ เขาเป็นยอดคนด้านเทคนิค หากอยู่ในวงราชการคงไม่ค่อยมีโอกาสได้ก้าวหน้าสักเท่าไร ถ้าไม่มีใครแนะนำ ดิ้นรนจนตายก็เป็นได้แค่เพียงหัวหน้าช่างฝีมือคนหนึ่ง เขาศึกษาอวิ๋นเยี่ยมาโดยละเอียดและรู้ว่าเป็นคนประเภทเดียวกับตัวเอง ดังนั้นจึงกล้าหาญพอที่จะมาเยี่ยมถึงถิ่น อย่างไรเสียตระกูลใดตระกูลหนึ่งก็ไม่ควรเก็บตัวนานเกินไป มิเช่นนั้นจะถูกประวัติศาสตร์ลืมตั้งแต่ต้น เมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาตระกูลไว้ให้คงอยู่ยืนยาวก็ไม่มีค่าอะไร เขารู้ อวิ๋นเยี่ยเองก็รู้ เพียงแต่ทั้งสองคนไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนเหมือนเป็นคนโง่สองคน

 

 

 

 

——

 

 

[1] ปีต้าเยี่ย คือ ปีการปกครองในสมัยสุยหยางตี้แห่งราชวงศ์สุย