ส่วนที่ 4 ตอนที่ 11

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

กงซูปัน (2)

 

 

 

อาหารอร่อยถูกปากมาก กงซูมู่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย กับแกล้มคำใหญ่กับเหล้าคำโต เหล้ายังไม่ทันได้เข้าปากก็ส่งเสียงชื่นชมออกมาก่อนแล้ว “เลิศรสที่สุดในใต้หล้า”

 

 

 เมื่อเหล้าตกถึงท้อง ก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขยายวงกว้างสูงขึ้นมาจากหน้าอก รอยย่นบนใบหน้าดูเหมือนจะกำลังเปล่งประกายสีแดง เขาไม่ได้สนใจและหนีบผักอีกคำใส่เข้าปากเคี้ยวอย่างละเอียด อยากที่จะเอารสชาติที่อยู่ข้างในออกมาทั้งหมด กงซูเจี่ยค่อนข้างระมัดระวัง ทานอาหารคำเล็กๆ เป็นเพื่อนบิดาเขา เขามองบิดาของเขาเป็นครั้งคราวราวกับกำลังต่อว่าว่าบิดาเสียมารยาท

 

 

 อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ เขาถือกาเหล้าไว้ในมือเมื่อเห็นว่าจอกเหล้าของกงซูเฒ่าหมดแล้วก็จะรินให้เต็ม ทั้งยังคอยแนะนำว่าอาหารจานนี้ค่อนข้างอร่อย อาหารจานนั้นเหมาะสำหรับกงซูเฒ่าให้ทานให้มากๆ แต่เขากลับไม่กินอะไรเลย ระหว่างรอรินเหล้ายังมีเวลาที่จะให้คีบอาหารให้กงซูน้อยอีกด้วย เทคนิคบนโต๊ะอาหารในยุคปัจจุบันได้ถูกเขานำมาใช้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

 

 

 หลังจากคายกระดูกไก่ออกมา กงซูเฒ่าก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่ข้าได้กินในชีวิตนี้ เสียดายที่ต่อลงไปคงไม่มีโอกาสได้กินอีก ช่างน่าเศร้าใจนัก”

 

 

 “เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้ ขอเพียงอยากทานก็สามารถมาหาข้าได้ตลอด แม้ว่าตระกูลอวิ๋นจะไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย แต่เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง”

 

 

 “อวิ๋นโหว ในเมื่อข้าทานอาหารแล้วก็จะไม่ปล่อยให้ต้องเสียแรงเปล่า ตระกูลกงซูสามารถช่วยอะไรได้บ้างคิดว่าท่านคงรู้อย่างชัดแจ้งอยู่เต็มอก หากเป็นได้เพียงแค่ช่างฝีมือ ก็ขอให้ท่านอย่าได้เอ่ยปากเลย ตระกูลกงซูอดกลั้นมาเป็นเวลานับพันปี ไม่ได้ต้องการกลับออกมาเป็นเพียงช่างฝีมือ”

 

 

 กงซูเฒ่าเป็นฝ่ายเปิดประเด้นให้ชัดเจน การที่ร้องขอเช่นนี้เขาเองก็มีขอบเขตอยู่ในใจ หนึ่งพันปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของตระกูลกงซูยังคงไม่ตกต่ำ มีเรื่องราวมากมายที่ได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว

 

 

 อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับเขาว่า “หากต้องการหัวหน้าช่างฝีมือ เหตุใดผู้เยาว์จำเป็นต้องลงทุนมากมายเพียงนี้ ผู้เยาว์มีความฝันอย่างหนึ่งว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นความจริง”

 

 

 กงซูเฒ่าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของอวิ๋นเยี่ย แต่ก็ไม่พูดอะไร รอเขาอธิบาย

 

 

อวิ๋นเยี่ยสั่งให้ทหารยามเก็บทำความสะอาดโต๊ะและชงชากาใหญ่มา รินน้ำชาให้สองพ่อลูก แล้วจึงนำภาพจากห้องด้านในมากางออกที่เบื้องหน้าของทั้งสองคน

 

 

 ดวงตาของกงซูมู่ตาโตเท่าไข่เป็ดในชั่วพริบตา ตกตะลึงจนอึ้งไป กงซูเจี่ยเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร ทั้งสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมโยธา มีหรือที่จะไม่เข้าใจ เมื่อเห็นตรงศูนย์กลางของภาพแบบแปลนในตอนนี้ที่อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งบนภาพแบบแปลนก็คือสำนักศึกษาอวี้ซัน รอบๆ ยอดเขาเต็มไปด้วยอาคารอย่างหนาแน่น มีสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาหลายหลังตั้งอยู่ด้านหน้าภูเขา แม่น้ำตงหยางจึงกลายเป็นแม่น้ำภายใน น้ำตกก็กลายเป็นทัศนียภาพในของสำนักศึกษาไป ทั้งสี่ด้านล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นลูกคลื่นสูงต่ำอยู่บริเวณภูเขาเหมือนงูเหลือมยักษ์

 

 

 “นี่เป็นเมืองหรือสำนักศึกษา จะมีฮ่องเต้พระองค์ไหนจะพระราชทานราชานุญาตให้เจ้าสร้างสำนักศึกษาแบบนี้กัน อวิ๋นโหวเจ้าบ้าไปแล้วหรือ”

 

 

 ทำไมทุกคนที่เห็นภาพแบบแปลนนี้จะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ หากรู้ว่าในยุคปัจจุบันเจาะถ้ำบนเทือกเขาหิมาลัย ต้องลำเลียงน้ำจากทางใต้ไปทางเหนือ คนเหล่านี้คงไม่ต้องเอาศีรษะชนเสาตายหรือ หากได้รู้ว่ามีความคิดในอินเทอร์เน็ตที่ว่าต้องการทำหลังคาครอบแม่น้ำหวงเหอ ปูกระเบื้องบนกำแพงเมืองจีน พวกเขาจะไม่เลือดออกเจ็ดทวาร ลมปราณแตกซ่านจนตายหรือ

 

 

 “กล่าวกันว่าตระกูลกงซูเป็นตระกูลที่มีจินตนาการมากที่สุดในใต้หล้านี้ ทำไมเมื่อได้เห็นภาพสำนักศึกษาเล็กๆ แห่งนี้ถึงกับเสียกิริยาเช่นนี้” คำพูดของอวิ๋นเยี่ยเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

 

 

 กงซูเฒ่าละสายตาออกจากภาพอย่างลังเลมากและพูดด้วยเสียงอึกอักว่า “ความฝันเฟื่องที่ใหญ่โตที่สุดของข้าก็ยังไม่ใหญ่เท่ากับเมืองนี้ เขาไม่เพียงแต่ต้องการใช้เงินจำนวนมากมายมหาศาล แต่ยังต้องการช่างฝีมือที่เก่งที่สุด ต้องการวัสดุต่างๆ ที่มากมายจนไม่สามารถคำนวณได้ และยิ่งต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ตามความคิดของข้า ต้าถังไม่มีความสามารถในการสร้างเมืองแห่งสำนักศึกษาแห่งนี้ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ อวิ๋นโหวเจ้าไม่สามารถทำได้สำเร็จในขณะที่เจ้ายังชีวิตอยู่แน่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบรูปแบบแปลนออกมากางบนโต๊ะอีกเพื่อให้พ่อลูกคู่นี้ดู

 

 

อาคารบนแบบแปลนนี้จำเป็นต้องรวบรวมคนงานสองหมื่นคน เสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนก้วน ใช้เวลาสร้างสองปียังมีความหวังว่าจะสามารถสร้างเสร็จได้ กงซูเฒ่าคิดว่าอวิ๋นเยี่ยยอมแพ้ความคิดที่เพ้อฝันของภาพแบบแปลนแรกและเปลี่ยนความคิดมาเพื่อสร้างสำนักศึกษาที่ค่อนข้างธรรมดาทั่วไปขึ้น

 

 

 “อาจารย์กงซูภาพแบบแปลนนี้ได้เริ่มดำเนินการสร้างแล้ว ค่าใช้จ่ายของมันไม่ได้มากถึงหนึ่งแสนก้วนอย่างที่ท่านคิด แต่ยังใช้ไม่ถึงสองหมื่นก้วน ซึ่งรวมถึงบ้านแบบใหม่หลายสิบหลังริมแม่น้ำตงหยาง ซึ่งนี่ไม่รวมเวลาของการขุดเจาะหินก่อนหน้านี้ ระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมดใช้เพียงสามเดือนและกำลังแรงงานเพียงห้าพันคนเท่านั้น ในเวลานี้สภาพอากาศในฉางอันน่าจะยังอบอุ่น ดังนั้นโครงการยังคงดำเนินต่อไป เขาจะทำงานให้เสร็จก่อนที่หิมะจะตกในฉางอันได้อย่างแน่นอน”

 

 

 “นี่เป็นไปไม่ได้ ลำพังแค่การแปรรูปไม้ให้เป็นชิ้นตามต้องการก็ใช้เวลานานกว่าสามเดือนแล้ว ข้าว่าต้องใช้เวลาสองปี นี่คือระดับความเร็วของตระกูลกงซูเรา ข้าไม่เชื่อว่าในใต้หล้านี้จะมีช่างฝีมือดีเช่นนี้อยู่ นี่ไม่ใช่ระดับความเร็วที่คนสามารถทำได้ เว้นแต่ว่าเจ้ามีผีสางเทวดาคอยช่วยเหลืออยู่”

 

 

 กงซูมู่แทบจะบ้าแล้ว เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังพูดเรื่องไร้สาระหลอกลวงเขา นับตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นเก่าแก่ก็เริ่มทำการสร้างบ้านแล้ว กระบวนการทุกเขารู้อย่างชัดเจนดี เวลาที่ต้องใช้เขาก็รู้อย่างชัดเจน เขาไม่เชื่อว่ายังมี เรื่องเหลือเชื่อเกินจริงเช่นนี้ในใต้หล้านี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่เขาถนัดที่สุด เขามีความรู้สึกที่ถูกดูถูกอย่างรุนแรง

 

 

 “ฮ่าๆ อาจารย์กงซูไม่ต้องร้อนใจไปและไม่จำเป็นต้องโกรธด้วย ความเป็นจริงนั้นชัดเจนกว่าข้อถกเถียงที่มีทฤษฎีรองรับ ตอนนี้หิมะตกหนักปิดถนนพวกเราไม่สามารถไปที่ฉางอันเพื่อพิสูจน์หลักฐานได้ ขอเพียงรออย่างอดทนให้ถึงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า พวกเราไปฉางอันด้วยกันก็จะได้รู้แน่ชัดแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

 ในใจอวิ๋นเยี่ยมีความสุขมากที่สามารถทำให้ลูกหลานของหลู่ปันหวั่นไหวจนแทบคลั่ง เขารู้สึกว่าประสบความสำเร็จจริงๆ

 

 

 กงซูเฒ่าสองตาแดงก่ำแล้ว เขายังคงไม่เชื่อว่ามีสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ในใต้หล้านี้ ถ้าหากเป็นจริง ความอดทนของตระกูลกงซูนับพันปีจะกลายเป็นเรื่องตลก

 

 

 “ใครบอกว่าหิมะปกคลุมเขาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปฉางอัน ตระกูลกงซูข้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเล็กๆ ข้อนี้ได้ ยังจะมีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นลูกหลานของหลู่ปันอีกหรือ ข้าจะไปฉางอันประเดี๋ยวนี้เพื่อดูผลงานชั้นเลิศของอวิ๋นโหว”

 

 

 “เอ๋ ในเวลาที่หิมะหนาปกคลุมถนนท่านก็สามารถไปฉางอันได้หรือ มีแผนการเช่นไร” อวิ๋นเยี่ยกระตือรือร้นขึ้นทันใด คำพูดไร้สาระเมื่อครู่เขาพูดไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ถวายฎีกาอธิบายต่อหลี่ซื่อหมินในฎีกา เขียนจดหมายอธิบายต่อเฉิงเฉียน อธิบายต่อฝางเสวียนหลิงในสถานที่ก่อสร้าง สรุปแล้ว เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ เขาไม่มีกะจิตกะใจจะพูดเลย ทันทีที่ได้ยินว่ามีเครื่องมือใหม่เกิดขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นจนลืมไปหมด เลยว่าตอนนี้อยู่ในสมัยโบราณ การแอบดูเป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่

 

 

“มันเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปิดบังดวงตาของคนเรา เมื่อจิ้มมันทะลุแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก การเดินทางบนหิมะหนานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเดินทางทางเรือบนบก มันจะไปยากอะไร” ในที่สุดกงซูเฒ่าก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยความมั่นใจ แน่นอนว่าจะต้องโอ้อวดกันเล็กน้อย ตั้งใจเต็มที่ที่จะใช้ของสิ่งนี้เกทับอวิ๋นเยี่ยสักครั้ง ด้วยสิ่งนี้กองทัพสามารถต่อสู้ในฤดูหนาวได้ เหล่าพ่อค้าก็ไม่ต้องนั่งอยู่เฉยๆ รอบเตาไฟในฤดูหนาวทนดูโอกาสในการแสวงหาความร่ำรวยต่างๆ หลุดลอยไปจากตัวเอง นี่คือต้นทุนในการสร้างตัวของตระกูลกงซูได้เตรียมการไว้ กงซูเฒ่าพูดสิ่งนี้กับอวิ๋นเยี่ยก็เพราะเขาอยากเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก

 

 

 “เดินเรือบนบก เดินเรือบนบก” นี่คืออะไร เรืออะไรสามารถแล่นบนบกได้ เรือโฮเวอร์คราฟต์ หากตระกูลกงซูสามารถประดิษฐ์ของสิ่งนั้นออกมาได้ อวิ๋นเยี่ยก็จะยินดีที่จะยกสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นเทพเจ้า แต่ในฤดูหนาวสิ่งของที่แล่นบนพื้นหิมะได้นอกจากสโนว์บอร์ดแล้วยังจะมีอะไรอีก สุนัขลากเลื่อน แล้วฉันจะไปหาสุนัขลากเลื่อนที่เหมาะๆ ได้จากไหน

 

 

 “ตอนที่ข้ากับเจ้าลูกไม่เอาไหนมาที่นี่ก็นั่งของสิ่งนั้นมา อวิ๋นโหวสามารถไปชมได้” กงซูเฒ่าค่อนข้างได้ใจ

 

 

 อวิ๋นเยี่ยออกมาที่ด้านนอกลานบ้านโดยคาดหวังที่จะได้เห็นเรือโอเวอร์คราฟต์ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม ขณะที่สิ่งที่กงซูเฒ่าโดยสารมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นเยี่ยนั้น เขาเกือบจะหยิบดาบฆ่าคน มันกลับเป็นรถเลื่อนหิมะที่ใช้กันทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มันคือม้าหนึ่งตัวลากโครงไม้เตี้ยๆ ที่ด้านล่างมีแถบไม้เนื้อแข็งที่ขัดจนลื่นเงาสองแผ่น หัวทั้งสองด้านยกกระดกสูงขึ้นซึ่งแทบจะไม่ต่างอะไรจากม้าลากเลื่อนในยุคปัจจุบันเลย อวิ๋นเยี่ยอยากจะฟันตัวเองสักหนึ่งดาบ ของสิ่งนี้ไม่มีความลึกลับอะไรเลยสำหรับเขา ทำไมตอนที่ต้องใช้มันเขาจึงนึกไม่ถึง ทั้งยังต้องให้คนโบราณมาเตือนตัวเองด้วย ขายหน้าจริง!

 

 

 “ของสิ่งนี้ช่างลึกซึ้งจริงๆ การพึ่งพาแผ่นไม้สองแผ่นก็สามารถเดินเหินบนหิมะราวกับบินได้ ช่างเป็นแนวคิดที่ลึกล้ำสุดหยั่งจริงๆ อวิ๋นเยี่ยนับถือ”

 

 

 ไม่มีทางเลือก ตามกฎหมายสิทธิบัตรของยุคปัจจุบัน กงซูมู่คือผู้ที่มีสิทธิ์ทั้งหมดในอุปกรณ์สุนัขลากเลื่อน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เสนอแนวคิดอะไร จึงได้แต่ต้องยอมเสียค่าตอบแทนออกไปกับสิ่งที่เขารู้จักมานานแล้ว หวังว่ากงซูเฒ่าจะไม่เป็นสิงโตที่หิวกระหาย มิฉะนั้นในฤดูหนาวเรื่องที่กองทัพจะลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิงได้อย่างราบรื่น แม้เป็นราคาที่สูงลิบลิ่วอวิ๋นเยี่ยก็จำเป็นต้องจ่ายเช่นกัน

 

 

 “ในวันนี้อวิ๋นโหวได้มอบตัวต่อไม้สิบห้าชิ้นให้แก่ข้า ตระกูลข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดาษข้อความแผ่นนั้นที่ได้ปลดปล่อยความสับสนในใจของข้ามานานหลายทศวรรษ เรือบกลำนี้ก็ขอมอบให้อวิ๋นโหวแล้ว หวังว่าจะไม่รังเกียจ”

 

 

กงซูเฒ่านั้นมีน้ำใสใจจริง อวิ๋นเยี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา เพียงแค่คำพูดของเขาเพียงประโยคเดียวสามารถแก้ปมในใจของเขาได้จริงๆ หรือ

 

 

 ในตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะกระตุ้นให้คู่ต่อสู้โกรธ หวังว่าคู่ต่อสู้จะโกรธเพราะคำพูดของตัวเองจนถึงกับมาหาถึงถิ่นเพื่อถกทฤษฎีกัน ใครจะรู้ว่าด้วยความผิดพลาดพลิกผลันที่เกิดขึ้น เหตุการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ไป

 

 

 “อวิ๋นโหวเรื่องของไป๋อวี้จิงนั้นมีสภาพการณ์เหมือนกับที่เจ้าพูดใช่ไหม ไม่มีทางแยกแยะข้อแตกต่างแล้วใช่หรือไม่”

 

 

 “อาจารย์กงซู มีใครเคยพบเห็นเทพเซียนกันบ้าง เรื่องเล่าลือเหลวไหลไร้ความจริงพรรค์นั้นเคยหลอกให้ข้าต้องดั้นด้นไปจนเข่าอ่อนแล้ว สระมรกตของเจ้าแม่ซีหวังหมู่น่ะหรือ ก็เป็นเพียงแค่สระน้ำเก่าๆ แตกๆ ไม่มีดอกไม้ใบหญ้า ไม่ได้มียาเซียนตันที่กินแล้วเป็นอมตะ อาจารย์ข้าเคยไปยังสถานที่แปลกๆ แห่งหนึ่ง ทั่วทุกหัวระแหงป็นหินไปหมด อาจารย์เองก็เกือบจะถูกหลอมรวมเข้าไปด้วย แต่โชคดีที่รอดพ้นออกมาได้แต่ก็สูญเสียลมปราณไปมาก อาจารย์จึงเรียกสถานที่นั้นว่า ไป๋อวี้จิง ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้เยาว์เอ่ยถึงอีก ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้เดินเส้นทางที่ไม่มีวันกลับเส้นนี้ด้วย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าความละโมภของกงซูเฒ่ายังคงเหลืออยู่ ยังคงคาดหวังในวิถีแห่งความเป็นอมตะ ขณะที่กำลังจะเกลี้ยกล่อมกงซูเฒ่ากลับพูดว่า

 

 

 “ที่ตระกูลได้ตั้งกฎไว้แล้ว นั่นก็คือหากมีคนที่กล้าพูดถึงเรื่องชีวิตอมตะอีก จะถูกขับไล่ออกจากตระกูลโดยไม่มีการรอมชอม ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้า ข้ามีความเจ็บแค้นใจกับเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะมากกว่าอวิ๋นโหวเสียอีก เพียงแต่สาเหตุภายในนั้นมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงบิดาข้า แต่ลูกจะไม่กล่าวถึงความผิดของบิดาตน จึงขอไม่กล่าวรายละเอียดให้อวิ๋นโหวฟัง”

 

 

 “ทุกคนมีความลับของตัวเอง ผู้เยาว์ก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมาก ตระกูลกงซูตั้งกฎประจำตระกูลเช่นนี้ขึ้นช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยขอแสดงความยินดีกับท่านไว้ในโอกาสนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอัจฉริยบุคคลท่านใดของตระกูลกงซูที่สามารถปลดล็อคตัวต่อไม้สิบห้าชิ้นได้ หวังว่าจะกรุณาให้อวิ๋นเยี่ยมีโอกาสได้พบ”

 

 

 เมื่อคำพูดของอวิ๋นเยี่ยจบลง ก็ทำให้สองพ่อลูกเอามือกุมท้อง ส่งเสียงหัวเราะดังขึ้น

 

 

 เสียงหัวเราะนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าเพียงแค่สามารถปลดล็อกตัวต่อไม้ได้มีอะไรน่าขำถึงเพียงนี้ ซึ่งอันนั้นเป็นของที่ตัวเองเพิ่มวัสดุเข้าไป ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถปลดล็อกได้

 

 

 “ผู้ที่ปลดล็อคผลงานชิ้นเอกของอวิ๋นโหวได้ คือ กงซูเหยียน ของตระกูลกงซูเรา ซึ่งใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว” ดูเหมือนว่ากงซูเฒ่าจะพูดถึงจุดที่ชวนให้ขบขันมากที่สุด แววตาเต็มไปด้วยการหยอกล้อ

 

 

 “ผู้ที่เก่งกล้าเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยต้องขอพบด้วยตนเอง”

 

 

 “ไม่ต้องแล้ว เกรงว่าในเวลานี้เขาจะเข้านอนไปนานแล้ว”

 

 

 “ไม่ทราบว่าอาจารย์เหยียนปัจจุบันนี้อายุเท่าไร”

 

 

 “ปีนี้เขาอายุหนึ่งขวบแล้ว…”