ส่วนที่ 4 ตอนที่ 12

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ความทะเยอทะยานของไฉเซ่า  

อวิ๋นเยี่ยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภรรยาของหลู่ปันแซ่อวิ๋น แต่ทว่านี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ขณะที่กงซูมู่ได้เจรจากับอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับสวัสดิการในอนาคต ได้กล่าวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า เขาและอวิ๋นเยี่ยก็เป็นญาติกัน เมื่อเป็นญาติกันก็ไม่ควรทำร้ายญาติตัวเอง อวิ๋นเยี่ยไม่มีการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย เมื่อเผชิญกับคนที่แม้แต่บรรพบุรุษก็ยังยกเอามาพูด

เฒ่ากงซูได้เตรียมที่จะส่งคนเดินทางไปฉางอันเพื่อดูสำนักศึกษาที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงนั้น ที่จริงแล้วถูกสร้างขึ้นอย่างไรกันแน่ แต่นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ในเมื่อตระกูลกงซูพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกคาวโลกีย์ ก็จะไม่สนใจว่าจะสามารถสร้างอาคารในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนั้นได้เสร็จภายในสามเดือนหรือไม่ เพียงแต่ทำไปตามความภาคภูมิใจของลูกหลานตระกูลแห่งสถาปัตยกรรมเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงสักหน่อยเท่านั้นเอง

กงซูเจี่ยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะเดินตามอาชีพอันสูงส่งนี้ของอาจารย์ สองมือที่ถือจอบมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดเขาก็สามารถจับพู่กันได้อย่างเชิดหน้าชูตาแล้ว เขาตื่นเต้นมาก สอบถามจากอวิ๋นเยี่ยว่านักเรียนที่เขาต้องสอนเป็นบุคคลแบบไหนอยู่เป็นระยะๆ หลังจากได้รู้ถึงข่าวดีอันน่าตกใจว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคุณชายของขุนนางที่สร้างความดีความชอบ ก็นั่งตื่นเต้นละเมอเพ้อพบอยู่เพียงคนเดียวบนเก้าอี้

เฒ่ากงซูและอวิ๋นเยี่ยถือถ้วยชาหอมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวทั่วไป ตั้งแต่เรื่องนกไม้ของหลู่ปันจนถึงเรื่องเทพเจ้าที่เหาะเหินเดินอากาศได้ ไม่มีอะไรที่ไม่นำมาสนทนากัน ความรู้ทั่วไปที่วิจิตรพิสดารแต่ละอย่างของทุกยุคทุกสมัยที่ซ่อนอยู่ในใต้หล้านี้ ได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยเปิดหูเปิดตามากขึ้น ที่แท้ไม่ได้มีแค่เรื่องคำกล่าวที่ว่าฟ้ากลมดินเหลี่ยมเท่านั้น ยังมีทฤษฎีของจางเหิงที่ว่าฟ้ากลมแผ่นดินลอยได้อยู่อีกด้วย ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหลือเชื่อที่ว่าทฤษฎีนี้อยู่ใกล้กับความจริงมากแล้ว ลองจินตนาการดูว่า จางเหิงกล่าวว่าสวรรค์นั้นกลมและห่อหุ้มโลกใบนี้ไว้ พื้นดินลอยอยู่เหนือน้ำ ก็เหมือนไข่ไก่ฟองหนึ่ง เปลือกไข่คือท้องฟ้า ไข่แดงคือพื้นดินที่ลอยอยู่บนไข่ขาว เพียงแค่เปลี่ยนไข่ขาวให้เป็นอวกาศก็ไม่แตกต่างจากหลักทฤษฎีสมัยปัจจุบันแล้ว

ภายใต้วัตถุที่มีข้อกำหนดนั้นสามารถแบ่งภาคส่วนย่อยได้ไม่มีที่สิ้นสุด แนวคิดด้านจุลภาคที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยเหงื่อออกเต็มหลัง ถ้าหากตัดเรื่องที่พ่อแม่ชอบจู้จี้ขี้บ่นในยุคปัจจุบันทิ้งไป ความรู้งูๆ ปลาๆ พวกนั้นที่ได้เรียนรู้มาภายใต้ไม้เรียวของอาจารย์ เขาไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนโบราณแล้วตัวเองยังจะมีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจได้สักเท่าไร

ต่อลงไปโอ้อวดตนให้น้อยลง พยายามทำงานให้หนักมากขึ้น ได้คนในตระกูลกงซูมาเพียงสี่คนรู้สึกค่อนข้างขาดทุน ไม่รู้ว่าเหล่าคนบ้าตามลัทธิต่างๆ ในตำนาน เช่น ลัทธิมั่วเจีย ลัทธิเต๋า ลัทธิหยินและหยางจะสามารถพาตัวมาอยู่ที่สำนักศึกษาให้หมดได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะตาร้อนผ่าวจนมาแย่งคนไปหรือไม่?

หลี่ซื่อหมินจัดการทดสอบห่วยๆ ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งยังกล่าวว่าผู้ที่เก่งกล้าใต้หล้าจะได้มารวมตัวกัน นับถือเลยว่าเขามีหน้าพูดคุยโวเช่นนี้ได้ อย่างเช่นตาเฒ่าที่อยู่เบื้องหน้านี้สามารถเป็นเจ้ากรมโยธาได้อย่างสบายๆ พวกไร้มันสมองที่อยู่ในราชสำนักนั้นอวิ๋นเยี่ยสามารถหลอกได้ตามอำเภอใจ หากเป็นเฒ่ากงซูจะไม่เกิดเหตุการณ์เงินหลายพันก้วนซื้อเหล็กเส้นสี่เส้นอย่างเด็ดขาด

เจ้าบ้านและแขกดื่มกินกันอย่างสนุกสนานแล้วจึงแยกย้ายกันไป อวิ๋นเยี่ยส่งสองพ่อลูกกลับบ้านด้วยรถม้า จากนั้นก็ลากตัวเลื่อนมายังด้านหน้ากระโจมแม่ทัพของไฉเซ่า

ไฉเซ่า เซวียว่านเช่อและหนิวจิ้นต๋ายืนล้อมรอบตัวเลื่อนและมองไปมา จุ๊ๆ ส่งเสียงชื่นชมอย่างประหลาดใจ ไม่สนใจว่าจะเป็นยามวิกาลได้สั่งให้ทหารเตรียมม้าหนึ่งตัวและรีบออกจากเมืองไป ภายใต้แสงจันทร์ ทหารนายนั้นขี่ม้าลากเลื่อนขึ้นเนินดิน เลาะลงคูน้ำและใส่ก้อนหินเพิ่มจากนั้นลองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าม้าที่แบกสิ่งของยังคงวิ่งอยู่บนหิมะได้อย่างรวดเร็ว ไฉเซ่าหัวเราะเสียงดังและเรียกทหารกลับค่าย

ไฉเซ่าเป็นคนเปิดเผยจริงใจ เขาไม่ได้ถามถึงที่มาของลากเลื่อน เพียงแต่สั่งช่างให้รีบเร่งผลิตทั้งวันทั้งคืน เขาต้องการผลิตของสิ่งนี้จำนวนหนึ่งพันตัว

“ผู้บัญชาการใหญ่ ดูเหมือนว่าแผนการของเราจะต้องเปลี่ยนไปด้วย ด้วยของสิ่งนี้กองทัพของเรายังคงสามารถปล้นชิงในทุ่งร้างได้อย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ข้าคำนวณแล้วหากมีของสิ่งนี้หนึ่งพันตัว สามารถขนทหารสามพันนายพร้อมเสบียงและอาวุธที่เพียงพอได้อย่างสบายๆ แผนการที่ข่านเจี๋ยลี่จะทำให้กองทัพเราล่าช้าเพราะหิมะที่หนาทึบ เกรงว่าคงเป็นเพียงความฝันที่สวยงามเท่านั้น”

แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าหนิวไม่เคยเห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นคนนอก เริ่มพูดคุยเรื่องความลับทางทหารต่อหน้าเขา ไฉเซ่าเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ นั่งยองๆ ลงแล้วเริ่มปรึกษาเกี่ยวกับเส้นทางเดินทัพกับเหล่าหนิวและเซวียว่านเช่อ อวิ๋นเยี่ยเอามือปิดหูไม่ต้องการฟัง แต่หลอดลมอันดีของเซวียว่านเช่อมีหรือใช้มือปิดแล้วจะสามารถช่วยได้?

ตอนนี้อยากจะจากไปก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินกลยุทธ์ทางทหาร จะไม่เข้าร่วมก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

“ฮ่าๆ อวิ๋นโหวมักจะสามารถนำของที่สำคัญที่สุดออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้เสมอ นี่คือวาสนาของชาวต้าถังเรา เพียงของสิ่งนี้อย่างเดียวเท่านั้นก็สามารถลดความเสียหายของกองทัพได้ถึงสามส่วน ระหว่างการเดินทัพทหารสามารถนั่งอยู่บนลากเลื่อน ทำให้ประหยัดพลังงานได้ เมื่อถึงสนามรบไม่จำเป็นต้องปรับแก้อะไรก็สามารถเข้าสู่การต่อสู้ได้เลย สามารถโจมตีจุดที่เขาคาดไม่ถึง ดี ดีจริงๆ! “

ไฉเซ่าชื่นชมทางวาจาเพียงอย่างเดียว แต่เซวียว่านเช่อแสดงความรู้สึกปีติยินดีของตัวเองด้วยการทั้งตบทั้งตี หลังจากต่อยเข้ามาที่หน้าอกหนึ่งหมัดแล้ว อวิ๋นเยี่ยทนจนทนไม่ไหวพูดเสียงดังขึ้นว่า “เหล่าเซวีย เจ้าจะพูดก็พูดสิ อย่าเห็นข้าเป็นกระสอบทราย หมัดนี้แทบจะทำให้กระอักเลือดออกมาแล้ว”

เหล่าเซวียหัวเราะเสียงดัง “น้องชาย ข้าเหล่าเซวียนำกองกำลังมั่วเตา[1]แต่ละคนต้องแบกสัมภาระหนักกว่าพันจิน ในสนามรบมีแต่แข็งปะทะแข็งเท่านั้น ด้วยของสิ่งนี้พวกเราก็น่าจะลองดูว่าอะไรที่เรียกว่าลอบโจมตีดู”

เจ้าหนุ่ม ข้ารู้ว่าที่เจ้ายังมีเหล้าดีๆ อยู่ ไม่ต้องเยอะเพียงแค่หนึ่งไห พวกเราสี่คนแบ่งกันดื่ม คิดว่าคงไม่เสียหายอะไร คืนนี้พวกเราไม่ต้องนอนแล้ว นั่งล้อมรอบเตาไฟพลางคุยงาน จัดการเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจน กองทัพเองก็จะได้มีแผนดำเนินงานใหม่”

“แม่ทัพหนิวพูดได้ดีมาก เช่นนั้นก็ทำตามนี้ หวังว่าอวิ๋นโหวจะไม่ตระหนี่มอบเหล้าดีออกมาเถอะ” ไฉเซ่าก็ตื่นเต้นมาก

เซวียว่านเช่อน้ำลายไหลมานานแล้ว ลากอวิ๋นเยี่ยเพื่อที่จะไปเอาเหล้า

ไหเหล้ากระเบื้องเคลือบสีดำขนาดเท่าศีรษะคนถูกปิดผนึกด้วยดินเหนียวอย่างแน่นหนา เซวียว่านเช่อฟาดฝ่ามือลงบนดินเหนียวที่ปิดปากไหออก จากนั้นฉีกกระดาษสาสีเหลืองที่อยู่บนปากไห กลิ่นหอมฉุนกระจายออกมา ไฉเซ่าแย่งไหเหล้าไปและสูดดมลึกๆ และชื่นชมว่า “เป็นเหล้าดีจริงๆ ด้วย” จากนั้นแหงนหน้าเทใส่ปากคำใหญ่โดยไม่ใช้ชามแล้วยื่นให้เหล่าหนิว เหล่าหนิวดื่มไปหนึ่งอึก ยิ้มแล้วให้เซวียว่านเช่อ เหล่าเซวียเป็นพวกจริงจัง ไหเหล้าแตะริมฝีปากไม่ยอมปล่อยจึงถูกไฉเซ่าเตะที่น่องเข้าให้หนึ่งฝ่าเท้า จึงยอมให้อวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังมีท่าทางพร้อมที่จะแย่งคืนมาได้ทุกเมื่อ ยังไม่ทันที่จะได้ดื่ม ไหเหล้าก็กลับเข้าไปอยู่ในมือไฉเซ่าอีกครั้ง

“อวิ๋นโหวอายุยังน้อยอย่าได้อาลัยอาวรณ์ของในถ้วยนี้เลย จะได้ไม่เป็นการทำร้ายร่างกาย ชายชราอย่างข้านี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว” เมื่อพูดจบก็ดื่มคำโตอีกหนึ่งคำ

ดูท่าทางที่ไฉเซ่ากอดไหเหล้าไว้ก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้เกรงว่าในช่วงวัยรุ่นของเขาก็คงไม่ใช่คนดีเสียเท่าไร

เหล้าน้อยแต่คนมาก หลังจากที่เซวียว่านเช่อเทเหล้าหยดสุดท้ายออกมาด้วยความเสียดายอย่างที่สุด ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ผ่านไป

แผนที่ขนาดใหญ่ในกองทัพถูกแผ่ออกมา ไฉเซ่าชี้ไปที่เมืองเซียงเฉิงที่ห่างออกไปไม่ถึงหกร้อยลี้และพูดว่า “ข่านเจี๋ยลี่จะตั้งค่ายจนพ้นฤดูหนาวที่เมืองเซียงเฉิง ตามที่ได้รับรายงานจากสายลับ ในเดือนห้าของปีนี้เขาได้กำจัดเผ่าเฮ่อมั่ว ในเดือนหกได้กำจัดเผ่าโหยวหรัน ชนเผ่าเซวียเอี๋ยนถัว หุยเกอ ป๋าเยี๋ยกู่และถงหลัวได้ลงนามก่อนตั้งพันธมิตรเพื่อต่อต้านข่านเจี๋ยลี่แล้ว ได้ยินว่ายังคงส่งกองกำลังไปก่อกวนเหอซี แต่ที่เหอซีของพวกเรามีกำลังทหารที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถรุกล้ำได้ง่ายๆ ตอนนี้ในกองทัพเขาไม่เพียงแต่ทหารบาดเจ็บเต็มค่าย เมื่อรวมกับการที่เขาแบ่งกองทัพไปจู่โจมเหอซีจนทำให้เกิดความว่างเปล่าในเมืองเซียงเฉิง หากมีทหารหาญสักสามพันนายก็จะสามารถบุกทลายได้สำเร็จในครั้งเดียวและสามารถจับข่านเจี๋ยลี่ได้ทั้งเป็นอีกด้วย โอกาสที่ดีเช่นนี้มักจะหายไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสดีๆ ที่หาได้ยากยิ่งหลุดลอยไป”

“ทูลี่น้องชายของข่านเจี๋ยลี่ได้บรรลุข้อสัญญากับต้าถังเราแล้ว เขาสามารถเป็นผู้นำทางให้กับกองทัพเราเพื่อสร้างความสับสนให้ข่านเจี๋ยลี่ แต่มีเพียงข้อหนึ่งเท่านั้น พวกข้าอยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่จิ้งผู้บัญชาการหลักกองกำลังทหารในเขตติ้งเซียงเต้า หากไม่มีคำสั่งแม่ทัพแล้วทำโดยพลการ เกรงว่า จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้” หนิวจิ้นต๋ายังค่อนข้างกังวลอยู่

“แม่ทัพหนิวกังวลเกินไปแล้ว ขอเพียงพวกเราสามารถจับข่านเจี๋ยลี่ได้ตัวเป็นๆ แม้เป็นหลี่จิ้งก็พูดอะไรไม่ออก” เซวียว่านเช่อพูดด้วยความมาดมั่นพลางตบหน้าอกของเขา

“ท่านแม่ทัพหนิวคงยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้ทรงแต่งตั้งเซวียว่านเช่อเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสู่เขตชั่งอู่เต้าแล้ว ข้าได้สั่งให้ทหารแจ้งให้เขาทราบแล้ว รอเพียงแค่เหล่าเซวียเข้ารับตำแหน่ง พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกำลังสำรอง ข้าคิดว่าครั้งนี้เรามีโอกาสชนะสูงมาก คุ้มค่าที่จะลงมือ” เมื่อเผชิญหน้ากับการสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ที่จับข่านเจี๋ยลี่ทั้งเป็นแล้วเขาก็ไม่สามารถควบคุมเปลวไฟอันร้อนแรงในใจของเขาได้

“ข้าไม่เข้าใจเรื่องการทหาร ได้ยินว่าหลี่จิ้งเข้าประจำการที่หม่าอี้แล้วซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเซียงเฉิงเพียงแค่หกเจ็ดร้อยลี้ เมื่อได้ยินท่านผู้บัญชาการใหญ่พูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าหลี่จิ้งเองเกรงว่าก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกันกระมัง” อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เขากลัวจริงๆ ว่าถ้าเขาพูดอะไรผิดไปแล้วจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่ดี

ไฉเซ่าจึงมองดูแผนที่อย่างละเอียดอีกครั้ง นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ต่อยหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง ชี้ไปที่ เทือกเขาเอ้อหยางทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซียงเฉิงแล้วพูดว่า “ถ้าหลี่จิ้งต้องการลอบจู่โจมเมืองเซียงเฉิง มีเพียงแต่ต้องยึดครองดินแดนตรงนี้ให้ได้ก่อนเท่านั้น จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ พวกเราเพียงแต่รอฟังข่าวเท่านั้นก็จะรู้ถึงแผนการของหลี่จิ้ง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บัญชาการหลักแต่กลับไม่ยอมแจ้งแผนดำเนินการรบให้เขาทราบ เขาคิดจะทำอะไร? หรือจะบอกว่าเขาต้องการจับข่านเจี๋ยลี่ตัวเป็นๆ ด้วยตัวคนเดียว?

“ท่านผู้บัญชาการใหญ่อย่าเพิ่งโกรธ ข้าคิดว่าหลี่จิ้งบางทีอาจคิดว่าเรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี ซึ่งไม่ใช่การแย่งชิงผลงาน” เหล่าหนิวพูดเกลี้ยกล่อมไฉเซ่าอยู่หลายคำ

“ตอนนี้กองทัพของเรามีข้อได้เปรียบในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลากเลื่อนที่อวิ๋นโหวนำมาให้ ซึ่งสามารถทำให้กองทัพของเราเข้าใกล้เมืองเซียงเฉิงได้อย่างเงียบๆ สวรรค์มอบโอกาสดีให้ หากไม่รับไว้คงต้องถูกลงโทษ พวกเรารออย่างเงียบๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือน รอจนถึงเดือนสิบเอ็ดแล้ว ถ้าหลี่จิ้งยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ พวกเราจะลงมือเอง!” ไฉเซ่าตัดสินใจแล้ว

“อวิ๋นโหว พวกเรามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบกันทุกคน จึงได้แต่ขอให้เจ้าช่วยจัดการเรื่องทหารเสริมให้พร้อม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกสู่แนวหน้า”

ไฉเซ่านั้นพูดด้วยความเกรงใจ ในกองทัพไม่มีโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยได้ปฏิเสธแม้เพียงเล็กน้อย จึงรีบลุกขึ้นรับคำสั่ง

เมื่อถึงยามดึกทั้งสี่คนจึงแยกย้ายกันไป เหล่าหนิวรั้งอวิ๋นเยี่ยไว้และกำชับเขาและส่งหัวหน้านายทหารคนสนิทของเขาไปช่วยอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงกลับไปพักผ่อนที่ค่ายทหาร

แสงจันทร์สาดส่องลงบนหิมะจึงยิ่งทำให้ดูสว่างไสวเป็นพิเศษ อวิ๋นเยี่ยเตะหิมะที่ใต้ฝ่าเท้าทิ้งเกิดเสียงตุบๆๆ ดังขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะหลงใหลกับเสียงนี้เข้าแล้ว จึงจงใจมองหาสถานที่ที่มีหิมะและเตะลงไป ทำให้เหล่าจวงที่เป็นองครักษ์ถึงกับส่ายศีรษะ อย่างไรเสียโหวเยี๋ยก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง

เขาไม่ได้สัมผัสถึงความสุขในใจของอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่ออกจากฉางอานมาจนถึงตอนนี้ มีเพียงคืนนี้ที่เขามีความสุขจริงๆ ไม่มีใครคิดร้ายใคร ไม่มีผลประโยชน์ที่น่ารำคาญเหล่านั้น ทั้งยังหาตระกูลกงซูพบแล้ว ได้ผลลัพธ์เกินคาดหมายจริงๆ การเดินทางมาเมืองซั่วฟางครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและได้กำไรด้วย ดูท่าว่าเขาก็ต้องมีผลงานบางส่วนติดตัวด้วยแน่ ความทะเยอทะยานของไฉเซ่าเป็นเพียงความคิดง่ายๆ อยากจะฝากชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งยังไม่เกี่ยวโยงไปถึงชีวิตของตัวเองและคนในครอบครัว

เขาเริ่มคิดถึงท่านย่า เสี่ยวยาและแน่นอนยังมีซินอวี้ด้วย เพียงแต่เมื่อเขาคิดถึงซินอวี้ใบหน้าของหลี่อันหลานก็จะปรากฏขึ้นและชวนให้หงุดหงิดจริงๆ

เขาไม่ได้คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในยุคปัจจุบันอีกแล้ว เงาของญาติสนิทค่อยๆ เลือนรางไป มีเพียงในความฝันที่ลึกที่สุดเท่านั้นที่พวกเขาจะได้พบกับอวิ๋นเยี่ย สิ่งของยังคงเดิมแต่คนนั้นเปลี่ยนไป มีคำพูดนับหมื่นนับพันคำแต่กลับยากที่จะเอ่ยปากออกมา

อีกเพียงหนึ่งเดือนก็จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ราชวงศ์ถังจะแสดงตัวตนอันดุร้ายของตัวเองออกมาให้เห็น อวิ๋นเยี่ยอยากจะเขียนชื่อของเขาลงในประวัติศาสตร์ท่อนนี้ ด้วยความหวังอันริบหรี่ที่สุด หวังว่าจะได้ส่งต่อบอกกล่าวให้ญาติมิตรของตัวเองได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเองผ่านหนังสือประวัติศาสตร์

เพียงแค่หวังว่าทุกสิ่งในโลกปัจจุบันของฉันจะยังคงอยู่

——

[1] มั่วเตา เป็นดาบด้ามยาวประเภทหนึ่งที่ใช้ในราชวงศ์ถังเพื่อรับมือกับชาวเผ่าทูเจวี๋ยโดยเฉพาะ