ส่วนที่ 4 ตอนที่ 13

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ดวงจันทร์ที่ชานเมือง

 

 

 

ทหารเสริมเป็นทหารที่ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนมากที่สุดในกองทัพต้าถัง ถ้าบอกว่าเป็นพลเรือน พวกเขาถืออาวุธ ถ้าบอกว่าพวกเขาเป็นทหาร พวกเขาไม่มีเงินไม่มีเสบียง อาวุธเป็นของตัวเอง เสื้อผ้าเป็นของตัวเองและแม้แต่เสบียงอาหารที่พวกเขากินก็เป็นของตัวเอง

 

 

เหตุผลก็คือพวกเขาควรจะเป็นกลุ่มทหารกล้าที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปซึ่งเป็นกำลังที่อ่อนแอจึงจะถูก ใครจะคิดว่าเมื่อเข้าสู่สนามรบแล้วพวกเขาดุร้ายกว่าหมาป่าเสียอีก แม้ว่าต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต ในสนามรบแม้ต้องสู้จนตัวตายก็ไม่ยอมถอยก็คือกำลังเสริมของต้าถัง ทหารหลวงอีกกองกำลังหนึ่งซึ่งเป็นทหารเหมือนกันแต่ต่างกับพวกเขา

 

 

แม้ว่าทหารหลวงจะต้องเตรียมอาวุธและชุดเกราะด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งก็คือทั้งครอบครัวไม่ต้องกังวลกับการปรับระบบภาษีของทางการ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีฐานะดี เสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของกำลังทางการทหาร

 

 

สิ่งที่ทหารเสริมแสวงหาก็เพียงแค่การสร้างผลงานทางการศึกเท่านั้น บางคนสมาชิกในครอบครัวก่ออาชญากรรมต้องใช้ผลงานทางการศึกจึงจะได้รับการยกเว้นโทษ บางคนก็เพียงแค่มีความหัวร้อนขึ้นในสมองเท่านั้นอยากจะพึ่งพาวรยุทธ์ที่มีติดตัวเพื่อสร้างเส้นทางที่ร่ำรวยขึ้น ผู้ที่ฐานะยากจนนั้นไม่สามารถเป็นทหารหลวงได้ พวกเขาไม่สามารถที่จะสั่งทำเสื้อเกราะที่มีราคาแพงลิบลิ่วได้และซื้อม้าศึกไม่ไหว ทำได้แต่เพียงอาศัยอยู่ในกองทัพฝันว่าสักวันหนึ่งจะสามารถตัดศีรษะของศัตรูเพื่อที่จะได้กลับบ้านอย่างร่ำรวย

 

 

พวกเขาอาศัยการยึดทรัพย์สินของมีค่าที่ได้มาจากศัตรูเพื่อทดแทน เมื่อไม่มีการต่อสู้ก็ไม่มีเงินและเสบียง แต่เมื่อมีการต่อสู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การล้อมเมืองไม่ยอมถอย การบุกเมือง พวกเขาเป็นตัวเลือกแรกที่ได้รับการพิจารณาจากแม่ทัพนายพัน ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดานี่คือมุมมองที่มีต่อชีวิตของตัวเอง จืดชืดและน่าเหนื่อยหน่าย

 

 

หลายปีแห่งสงครามได้ทำให้เกิดคนยากไร้จำนวนมากที่รู้จักแต่ถือดาบเท่านั้น ผลผลิตในทุ่งนาไม่สามารถเลี้ยงชีวิตคนทั้งครอบครัวใหญ่ได้ บางคนที่ปฏิเสธที่จะทนยากจนอยู่บ้าน จึงนำเสบียงอันน้อยนิดส่วนสุดท้ายเหลือไว้ให้กับน้องๆ ในครอบครัว ในตอนเช้ามืดตนเองดื่มน้ำในหมู่บ้านให้อิ่มท้อง สะพายดาบหนึ่งเล่มออกจากบ้านไป เริ่มเส้นทางชีวิตของทหารเสริมที่โหดร้ายที่สุดของเขา

 

 

อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็นึกถึงจางเฉิงซึ่งเป็นคนแรกที่เขาได้พบในต้าถัง คนกล้าหาญและเปิดเผยจริงใจ เข้มแข็งและมีเมตตา เขายังจำได้อย่างชัดเจน ขณะที่ทหารม้าบุกเข้ามา เหตุการณ์ที่เขาไล่ให้อวิ๋นเยี่ยกับหญิงสองคนเข้าไปในป่า แต่ตัวเองวิ่งออกไปที่กองกำลังตะโกนเสียงดังพร้อมสู้ตาย

 

 

ตอนนี้เขาคงได้เป็นขุนนางระดับต่ำสุดในต้าถังแล้ว เขาได้เจอฉันและสร้างผลงานเรื่องการสกัดเกลือ สร้างผลงานทีเดียวสามต่อ นี่คงเป็นสิ่งที่ขัดต่อมติสวรรค์ในการเป็นทหารเสริมอย่างที่สุดที่หลงเหลืออยู่ คิดถึงสิ่งที่เฉิงฉู่มั่วพูดกับตัวเอง เมื่อจางเฉิงได้รู้ข่าวดี จึงโขกศีรษะให้คุณทั้งครึ่งวันเช้าเลย โขกศีรษะอย่างจริงจังทุกครั้ง เลือดบนหน้าผากทำจนพื้นกลายเป็นสีแดง

 

 

ชาวนาผู้ซื่อสัตย์ที่แม้ก้อนเกลือที่ไม่สามารถกินได้หนึ่งก้อนในอกเสื้อก็ยังเห็นเป็นของล้ำค่า ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยเริ่มคิดถึงขึ้นมา

 

 

ตอนนี้มีผู้ชายสองร้อยสี่สิบเจ็ดคนยืนอยู่ต่อหน้าเขา บางคนอายุห้าสิบปีขึ้นไป คนที่อายุน้อยกว่าสิบห้าปีก็มี ที่ชราก็ถึงขั้นมีผมขาวโพลน ที่อายุน้อยยังมีรอยหนวดอ่อนๆ อยู่เลย พวกเขายืนตัวตรงสายลมพัดผ่านรูขาดเข้าไปในเสื้อผ้าของพวกเขา แต่กลับไม่มีใครสนใจเพราะเบื้องหน้าพวกเขามีโหวเหยียท่านหนึ่งยืนอยู่ ท่านหนึ่งที่พวกเขาเคยได้ยินมา แต่เป็นชนชั้นสูงที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน

 

 

เมื่อใดกันที่ทหารเสริมมีผู้บัญชาการเป็นโหวเหยีย ประสบการณ์ทำศึกมานานหลายปีได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเฉียบไวทำให้พวกเขารู้สึกว่าการค้าครั้งใหญ่กำลังจะมาแล้ว!

 

 

ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงมีโอกาสได้แย่งกันสร้างผลงานทางการศึก แค่ชีวิต ไม่สำคัญอะไร!

 

 

“นับตั้งแต่วันนี้ ข้าคือผู้บัญชาการของพวกเจ้า ข้าชื่ออวิ๋นเยี่ย ให้พวกเจ้ารู้จักชื่อ ไม่ใช่เพราะต้องการให้พวกเจ้าเคารพหวาดเกรงแต่ต้องการบอกพวกเจ้าว่า หากมีปัญหาอะไรให้มาหาข้า เพื่อความยุติธรรมเมื่อข้าพบปัญหาก็จะไปหาพวกเจ้าเพราะข้าทำศึกไม่เป็น ต้องพึ่งพาพวกเจ้าในสนามรบ ดังนั้นเมื่ออยู่นอกสนามรบพวกเจ้าสามารถพึ่งพาข้าได้ ข้าจะหาหัวหน้าหน่วยให้พวกเจ้า โดยปกติเขาจะทำหน้าที่ดูแลพวกเจ้า หากพวกเจ้าใครมีความกล้าพอก็สามารถไปท้าประลองเขาได้ เรื่องการประลองฝีมือข้าไม่ไหวแต่สามารถหาเขาได้”

 

 

อวิ๋นเยี่ยพูดโดยไม่รู้สึกอะไรเหมือนกับพูดคุยกับคนในบ้าน อีกทั้งยังพูดความจริงจึงทำให้เหล่าทหารเสริมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ในใจมีข้อสงสัย โหวเหยียเป็นเช่นนี้หรือ สวมใส่เสื้อเกราะหนังที่ประณีตมาก เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็หาวตลอดเวลาราวกับว่ายังนอนไม่ตื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอายุที่น้อยจนเหลือเชื่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในสนามฝึกซ้อม

 

 

หัวหน้าทหารของหนิวจิ้นต๋าก้าวออกมาแล้วตะโกนว่า “เงียบ! ใครเป็นหัวหน้าพวกเจ้า”

 

 

ทหารเสริมชราคนหนึ่งก้าวออกมาประสานมือแล้วพูดว่า “ข้าน้อย เนี่ยต้าหนิว เป็นผู้บังคับบัญชาทหารเสริมชั่วคราว”

 

 

“ดี ตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าหน่วย ตอนนี้เจ้าคือรองหัวหน้าหน่วย ตอนนี้ให้เลือกหัวหน้าหน่วยย่อยอีกยี่สิบห้าคน พวกเจ้าเลือกกันเอง ข้าให้เวลาหนึ่งก้านธูป” หัวหน้าหน่วยของเหล่าหนิวอยู่ในกองทัพอย่างไรก็เป็นถึงนายพันขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นหนึ่ง ซึ่งให้มาดูแลทหารเสริมหลายร้อยคนได้อย่างสบาย

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น อวิ๋นเยี่ยกำลังจะกลับบ้าน เมื่อคืนนี้คิดสัพเพเหระตลอดทั้งคืน ตอนนี้ง่วงนอนเจียนตายแล้ว เพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวทหารคนหนึ่งที่มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีก็แทรกเข้ามา ยังไม่ทันได้มาถึงด้านหน้าก็ถูกพวกเหล่าจวงกดลงบนพื้นจนขยับไม่ได้

 

 

“โหวเหยีย ข้าต้องการเพียงรองเท้าหนึ่งคู่เท่านั้น ต้องการเพียงรองเท้าหนึ่งคู่เท่านั้น” ศีรษะของเขาถูกกดลงบนหิมะแต่ก็ยังคงดิ้นรนที่จะพูดคำขอของเขาออกมา

 

 

อวิ๋นเยี่ยจึงให้เหล่าจวงปล่อยทหารคนนั้น เห็นเพียงเขาสวมชุดหลวมโคล่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าเต็มไปด้วยโคลนแต่เขาไม่เช็ด จ้องมองอวิ๋นเยี่ยไม่ละสายตา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวัง เขาสวมเพียงรองเท้าฟาง สีดำบนเท้าล้วนรอยแผลปริที่ถูกความเย็นกัดจนผิวแตกคล้ายรูปปากเล็กๆ หลายๆ ปาก เขารู้สึกเก้ๆ กังๆ อยากจะหดเท้ากลับเข้ามา ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งยังหน้าแดงก่ำทั่วทั้งใบหน้า

 

 

“เท้าของเจ้าใหญ่พอๆ เท่ากับเท้าข้า เช่นนั้นก็สวมรองเท้าข้าก็แล้วกัน”

 

 

อวิ๋นเยี่ยจะเตรียมรองเท้าไว้ในถุงย่ามบนหลังม้าสองคู่เสมอ รองเท้าของราชวงศ์ถังไม่ค่อยทนทาน สวมใส่ไม่นานนักนิ้วเท้าก็จะโผล่ออกมา ดังนั้นท่านย่าจึงเตรียมรองเท้าไว้สองคู่สำหรับอวิ๋นเยี่ยเป็นพิเศษ พร้อมนำมาเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

 

 

รองเท้าพื้นหนังวัวคู่หนึ่งวางอยู่เบื้องหน้าของทหารน้อย เขาเช็ดมือและกอดรองเท้าไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่า “ในสนามรบข้าจะช่วยเจ้าเอง!”

 

 

คำพูดของเขาทำให้ผู้คนจำนวนมากในสนามหัวเราะดังขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการความช่วยเหลือจากทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คำก่อนหน้าที่กล่าวมาก็เป็นแค่การล้อเล่น

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้หัวเราะ เขาพูดกับทหารตัวน้อยอย่างจริงจัง “ดี ตกลงตามนี้ ข้าจะให้รองเท้าแก่เจ้า ในสนามรบ เจ้าต้องช่วยข้า แต่ว่าเจ้าต้องรักษาเท้าให้หายก่อน เจ้าไปยังประตูทิศใต้หานักพรตซุนซือเหมี่ยว” ให้เขามอบสมุนไพรให้เจ้ากลับไปแช่เท้า เท้าเช่นนี้ของเจ้าไม่สามารถช่วยข้าในสนามรบได้หรอก”

 

 

ความปรารถนาดีของคนไม่มีการแบ่งชนชั้น แม้จะเป็นเพียงคนที่ต่ำต้อยมอบความปรารถนาดีให้ก็ควรที่จะรักษาไว้ให้ดี เพราะนี่เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้ามอบให้กับทุกคน การมีโอกาสได้รับความปรารถนาดีของผู้อื่นในชีวิตของคนเรานั้นมีไม่มาก เมื่อมีโอกาสเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยปล่อยให้พลาดไป

 

 

ทหารเสริมในสนามฝึกซ้อมยังคงหัวเราะเยาะอยู่ ทหารเสริมชราผู้หนึ่งเดินมาที่ด้านหน้าของชายฉกรรจ์ที่กำลังหัวเราะอย่างสะใจที่สุด ยกมือขึ้นแล้วฟาดบนใบหน้าจนเกิดเสียงดังขึ้น ผู้ที่ตบหน้านั้นยังคงค่อนข้างงงงวยไม่รู้ว่าทำไมทหารชราผู้นี้จึงต้องตบตนเองด้วย

 

 

“คราวหน้าหากพบเหตุการณ์เช่นนี้อีก ถ้าหากเจ้ายังคงหัวเราะ ข้าจะตัดศีรษะเจ้าทิ้งในดาบเดียว” เสียงของทหารชราผู้นั้นฟังดูหนาวเหน็บเหมือนลูกเห็บตก ทำให้ชายฉกรรจ์ได้แต่ทำสงครามเย็น รีบหดศีรษะเอามือกุมหน้าไม่พูดอะไรอีก

 

 

อวิ๋นเยี่ยกระแอมและพูดกับทหารเสริมว่า “พวกเขาทุกคนล้วนมีบิดามารดา อย่าได้ดูถูกใครเลย ข้าที่เป็นโหวเหยียก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า ในสมรภูมิทุกคนควรรักสามัคคีกันไว้จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ วันนี้เจ้าช่วยเขา บางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ก็เป็นได้ บัญชีประเภทนี้ไม่ควรคิดและคิดไม่ได้ด้วย ข้าหวังว่าทุกคนจะโกยเงินทองจำนวนมากไว้ในอ้อมกอดนำกลับบ้านอย่างเชิดหน้าชูตา อย่าได้ทิ้งชีวิตไว้ในทุ่งร้างแห่งนี้”

 

 

“ขอน้อมรับคำอวยพรของโหวเหยีย พวกข้าน้อยจะต้องพยายามมีชีวิตกลับไปให้ได้ ยังมีเด็กสองคนรอให้ข้ากลับไปพาพวกเขาไปกินขนมหวานอยู่อีก” ทหารชราโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงตอบคำ

 

 

“โอ้ ดูแล้วเจ้าน่าจะอายุไม่น้อยแล้ว ฟังจากที่เจ้าพูด ลูกของเจ้ายังเล็กมากใช่ไหม มีภรรยาอยู่ที่บ้าน ทำไมจึงยังต้องมาเสี่ยงหลั่งเลือดกับคมดาบด้วย” แปลกมาก หากเป็นโสดและครอบครัวไม่หิวโหยจึงเลือกถนนสายนี้ก็ยังพอให้อภัย คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวมาปะปนเป็นทหารเสริมฟังแล้วฟังไม่ขึ้น

 

 

“โหวเหยียท่านก็รู้ว่าภัยพิบัติจากแมลงในด่านปีนี้กินเสบียงของครอบครัวไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว แต่โชคดีที่ราชสำนักเปิดคลังหลวงแจกจ่ายเสบียง ครอบครัวของข้าน้อยจึงอยู่รอดมาได้ แต่เสบียงอาหารเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะกิน วันหนึ่งๆ ต้องนับเม็ดข้าวเพื่อหุงข้าว ซึ่งไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นนี้ได้อีกต่อไป ข้าน้อยเมื่อก่อนก็อาศัยดาบเพื่อเอาชีวิตรอด ตอนนี้แผ่นดินสงบ หากอยากอาศัยดาบทำมาหากิน ไม่มาเมืองซั่วฟางนี้จะให้ไปที่ไหนได้อีก”

 

 

ข้าเองก็เป็นชายชาติทหารของประเทศ เหลือเสบียงอาหารให้ภรรยาและลูก ตนเองถือดาบแล้วมุ่งหน้ามายังเมืองซั่วฟาง คิดไม่ถึงว่าช่วงนี้เมืองซั่วฟางจะเงียบสงบเหมือนเมืองฉางอัน หากไม่มีสงครามข้าก็ย่อมไม่มีทางหารายได้ได้ ดังนั้นจึงได้ผิดหวังอยู่อย่างนี้

 

 

มากกว่าครึ่งหนึ่งของทหารเสริมที่อยู่ที่นี่ถูกภัยพิบัติจากตั๊กแตนบีบคั้นมา เมื่อนึกถึงตั๊กแตนอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อหลี่ซื่อหมิน เพราะเขาปล่อยปละละเลยกับการภัยพิบัตินี้

 

 

ในกรณีของการบรรเทาภัยพิบัติ อวิ๋นเยี่ยมักรู้สึกเสมอว่าเขาเป็นหนี้ประชาชนทุกคนในโลก ดังนั้นจึงอยากชดเชยให้กับพวกเขาบ้าง ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใด เขาหวังเพียงว่าจะได้นอนให้สนิทอย่างปลอดภัยและมั่นคง

 

 

เซวียว่านเช่อเดินทางตรงไปยังเมืองหลิงโจว แต่สิ่งของต่างๆ กลับส่งคืนเมืองซั่วฟาง ทั้งยังมีจำนวนมากเพียงพอด้วย หนังลูกแกะสีม่วงมีมากกว่าสองร้อยผืนและได้หนิวหวงกลับมาห้าสิบกิโลกรัม ทั้งยังส่งวัวและแพะจำนวนมากกลับมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่เห็นทรัพย์สินเงินทองต่างๆ เหล่าเซวียจะต้องแอบเก็บไว้เป็นของตัวเองแน่ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้คาดเดาไปในทางที่ดีเลย

 

 

ตอนนี้ต้าถังมีสภาพการณ์ที่เลวร้ายมากซึ่งก็คือการเก็บฝังซ่อนทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไว้ บรรดาตระกูลใหญ่มีแต่เข้าไม่มีออก ครอบครัวเล็กๆ ก็จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย ลองคิดๆ ดูแล้วก็จริง ผ้าแพรต่วน ทรัพย์สินของตระกูลใหญ่อาจกองกันสูงเท่าภูเขาแล้ว ก็ซ่อนซุกผู้หญิงไว้จำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเก็บไว้ ผ้าแพรต่วนมีโอกาสราขึ้นได้ ผู้หญิงจะเริ่มแก่ตัวลง ทรัพย์สินจะราคาตก มีเพียงทองและเงินที่มีค่าอย่างมั่นคงถาวร ก็อย่างที่ว่ากันไม่ใช่หรือ โบราณวัตถุของยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง เงินทองในช่วงกลียุค แม้ว่าหลี่ซื่อหมินจะตอกย้ำและกำชับต่อข้าราชบริพารทั้งหลายไมอนุญาตให้เก็บซ่อนเงินทองไว้เป็นของส่วนตัว แต่ว่ามีกี่ตระกูลกันที่ฟังคำเขา สิ่งที่ควรซ่อนก็ซ่อนเอาไว้มากมาย อย่างเช่นตระกูลอวิ๋น

 

 

อวิ๋นเยี่ยมีโรคแห่งความหลงใหลในเรื่องทองคำซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัว แม้แต่เสี่ยวยาก็นำเศษเงินยี่สิบเหรียญทองแดงของตัวเองที่ได้รับทุกๆ เดือนมาหาพี่ชายเพื่อแลกทอง

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้วมองไปที่เหอเซ่าผู้ซึ่งสีหน้าขมขื่นอมทุกข์ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าน่าสนุก ด้านหนึ่งคนทั่วทั้งฉางอันไม่มีเหรียญทองแดงใช้ จึงได้แต่ใช้เงินทองที่เป็นของต้องห้ามแต่ที่เมืองซั่วฟางกลับตรงกันข้าม คนที่นี่ชอบเงินทองคำแต่ไม่ชอบเหรียญทองแดง

 

 

อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะไม่บอกเหอเซ่าผู้งี่เง่าคนนี้ ตั้งใจที่จะใช้ก้อนเงินแลกเหรียญทองแดงในมือเขาสักหลายๆ พันกก้วน จากนั้นเมื่อกลับไปถึงฉางอัน ก็นำเหรียญทองแดงเหล่านั้นไปแลกเป็นเงินและทอง เมื่อแลกสลับกันเช่นนี้ก็ได้กำไรขึ้นมาสามส่วน ยังมีอะไรไม่น่าพอใจกันอีก