ส่วนที่ 4 ตอนที่ 14

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

กองกำลังหนุน

 

 

 

ตอนนี้วันหนึ่งๆ สวี่จิ้งจงไม่ค่อยพูดอะไรนัก และมักจะไม่พูดอะไรเลยทั้งวัน การที่เขาต้องมาเมืองซั่วฟางนั้นเป็นการฉุกละหุกมาก นอกเหนือจากเสื้อผ้าสองสามชุดแล้ว ก็ไม่มีของติดตัวอะไรมาอีก เขาอยากอ่านหนังสือและอยากอ่านมาก แต่ทว่าทั้งเมืองซั่วฟางมีแต่ทหารเต็มไปหมด แน่นอนว่ามีหนังสือไม่มากนักที่จะสามารถให้เขายืมอ่านฆ่าเวลาได้ โชคดีที่คนรับใช้ชราของเขาได้หยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งเก็บไว้ที่อกเสื้อก่อนที่จะเดินทางมาเมืองซั่วฟาง นี่เป็นงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของคนรับใช้ชรา หนังสือเก่าที่มุมหนังสือม้วนงอขึ้นมา สวี่จิ้งจงนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่างแล้วอ่านอย่างสนุกสนาน

 

 

ในค่ายทหารเขาไม่มีเพื่อนสักเท่าไร และไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเหล่าแม่ทัพนายพัน ไฉเซ่าดูถูกเขา เหล่าหนิวไม่สนใจเขา เซวียว่านเช่ออยากจะต่อยเขาอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยออกไปข้างนอก หลังจากที่หิมะตกรอบแรกผ่านไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยบอกว่าโรคระบาดนั้นไม่มีนัยสำคัญ เขาจึงว่างงานอย่างแท้จริง

 

 

หิมะนอกหน้าต่างค่อยๆ ร่วงโปรยปรายลงมา หิมะเก่ายังไม่ละลายก็มีหิมะใหม่เพิ่มทับ หากอยู่ที่ฉางอันสภาพอากาศแบบนี้คงจะมีเรื่องดีๆ มากมายให้เขาได้เลือกทำ สามารถดื่มสุราร่ายบทกวี ถ้าหากแย่ไปกว่านั้นก็สามารถนั่งจิบเหล้าเพียงลำพังได้ ในใจนั่งรำลึกถึงช่วงวัยเยาว์ของตัวเองที่ต้องปล่อยล่วงเลยไปอย่างเป็นทุกข์

 

 

ตอนนี้มีเพียงหิมะ ไม่มีเหล้า ในมือมีเพียงหนังสือประวัติศาสตร์เก่าๆ ขาดๆ เล่มหนึ่ง เขาพบว่าการว่างงานไม่ทำอะไรเลยจะก็สามารถฆ่าคนทั้งเป็นได้เช่นกัน ทั้งยังเป็นวิธีการตายที่เจ็บปวดที่สุด สวี่จิ้งจงรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเน่าเปื่อยแล้ว

 

 

คนรับใช้คนชราผลักประตูเข้ามาอย่างเงียบๆ ในมือถือถาดไม้เคลือบแลกเกอร์สีแดง บนถาดไม่ใช่เนื้อวัวและเนื้อแพะที่ทำให้เขาต้องอาเจียนอีก แต่เป็นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ชามใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นอ่อนกระเทียมสีเขียว กลิ่นหอมชวนดม ทำให้อยากอาหารเป็นอย่างมาก

 

 

ยกชามขึ้นเริ่มกินโดยไม่พูดอะไร จนกระทั่งกินกระเทียมชิ้นเล็กๆ ชิ้นสุดท้ายแล้ว สวี่จิ้งจงจึงถามคนรับใช้ชราว่านำอาหารอร่อยเช่นนี้กลับมาจากไหนกัน

 

 

คนรับใช้ชราชี้ไปที่ลานบ้านข้างๆ บอกว่าอวิ๋นโหวสั่งให้คนส่งมาให้และยังเหล้ากาเล็กๆ หนึ่งกาและหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง

 

 

ล้วนแล้วแต่เป็นตำราเรียนของสำนักศึกษา สวี่จิ้งจงต้องพยายามอ่านทำความเข้าใจเป็นอย่างมาก เพียงแค่อ่านหน้าแรกๆ ไม่กี่หน้า เขาก็รู้ว่าตัวเองยังต้องศึกษาบทนำก่อนหน้านี้อย่างจริงจัง จึงจะสามารถเข้าใจสัญลักษณ์และตัวเลขแปลกๆ เหล่านั้นได้

 

 

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนขยันศึกษาเล่าเรียน เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้เขาดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง  ในที่สุดก็มีสิ่งที่สามารถทำได้แล้ว ทั้งยังเป็นเรื่องที่ตัวเองเต็มใจที่จะทำอีกด้วย จึงยกกาเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ลิ้มรสเหล้าที่กำลังไหลอยู่ในปาก ประสาทสัมผัสทั้งห้าดูเหมือนจะเริ่มตื่นตัวขึ้น กลับมามีชีวิตชีวาพร้อมกันอีกครั้ง

 

 

“เจ้าหนุ่ม ทำไมเจ้ายังต้องสนใจคนคนนั้นด้วย บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือเขาไม่ใช่คนดี” ซุนซือเหมี่ยวหนีบบะหมี่คำโตกินพลางถามพลาง

 

 

“คนที่รู้น่าเบื่ออย่างที่สุดแต่แล้วทันใดนั้นกลับมีบางสิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อเกิดขึ้น ท่านว่าเขาจะมองสิ่งนี้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยค่อยๆ ดึงแป้งบนมือของเขาจากก้อนหนึ่งดึงออกเป็นเส้นเล็กๆ หลายร้อยเส้น จากนั้นโยนลงในหม้อใบใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แล้วจึงตอบคำถามของเหล่าซุน

 

 

“หากมองจากประสบการณ์เก่า แม้ว่าปกติจะเป็นสิ่งของที่ไร้ค่าเพียงไหน ตอนนี้ก็กลายเป็นของล้ำค่าที่ยากจะวางมือ”

 

 

“บางทีท่านอาจไม่รู้ว่าฟิสิกส์มีคุณลักษณะพิเศษที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความปรารถนาใคร่รู้ของนักพัฒนา แต่ถ้าหากคนคนหนึ่งยิ่งรู้มากเท่าไรเขาก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งไม่มีความรู้มากเท่านั้น เมื่อแก้ปัญหาได้หนึ่งข้อก็จะมีคำถามใหม่นับไม่ถ้วนรออยู่ ทำให้คนเรายากจะถอนตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสวี่จิ้งจงซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถสูง เมื่อทดสอบย่อมได้คำตอบ”

 

 

เหล่าหนิววางชามข้าวลงบนโต๊ะและพูดกับไฉเซ่าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ว่า “เจ้าดูสิ เมืองฉางอันไม่ใช่สถานที่ที่ดีเลย เด็กดีๆ คนหนึ่งไม่ถึงหนึ่งปีเรียนรู้จนกลายเป็นอะไรไปแล้ว หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นข้าไม่ควรส่งเขาไปที่ฉางอันให้เขาอยู่หล่งโย่วต่อก็จะไม่เกิดเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ขึ้น”

 

 

หลังจากดื่มน้ำซุปชามใหญ่ ไฉเซ่าพูดกับเหล่าหนิวด้วยความหงุดหงิดใจว่า “เด็กแบบนี้ มีหรือที่เมืองหล่งโย่วเล็กๆ จะรั้งเขาไว้ได้ ภายในเวลาหนึ่งปีก็สร้างชื่ออันโด่งดังได้แล้ว ท่านคิดว่าสามเภทภัยแห่งฉางอันเป็นแค่ฉายาลอยๆ หรือ ใครจะก่อเภทภัยให้ใครก็ยังไม่แน่นะ กินข้าวอย่างสบายใจ พูดให้น้อยลงอีกนิด ข้าขออีกชาม”

 

 

ในวันที่หิมะตกหนักบะหมี่เนื้อวัวชามใหญ่ใส่น้ำพริกเผาและโรยด้วยกระเทียม แม้เป็นเทพเจ้าก็ไม่ยอมแลกอย่างแน่นอน

 

 

วันนี้มีแขกนักทานมากมายทั้งยังฐานะค่อนข้างสูงส่ง เหล่าเหอถือชามเปล่ายืนมองบะหมี่ที่เดือดปุดๆ อยู่ในหม้อตาปริบๆ รอเพิ่มอีกชาม เขาไม่มีโอกาสได้นั่งร่วมโต๊ะ ได้แค่นั่งยองๆ อยู่ที่ธรณีประตู ซึ่งดูท่าทางน่าสงสาร ไม่มีทางเลือก เหล่าหนิวอยากกินก๋วยเตี๋ยว ทั้งยังต้องการกินที่อร่อยกว่าครั้งก่อนที่เขากินที่หล่งโย่วอีก เขาเรียกทหารระดับสูงทุกคนในกองทัพที่ไม่ได้เข้าเวรมาทั้งหมดซึ่งมีสิบกว่าคน ซึ่งมีโหวเหยียสามท่านและยังมีผู้ที่ใหญ่กว่าโหวเหยียอย่างซุนซือเหมี่ยวอีกหนึ่งคน ด้วยตำแหน่งเซี่ยนหนานของเหล่าเหอจึงไม่ค่อยเหมาะที่จะไปร่วมโต๊ะด้วย

 

 

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวนั้นแตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวประเภทอื่น จำเป็นที่จะต้องเพิ่มขี้เถ้าเพื่อทำให้แป้งก้อนโตถ้าสามารถถูกดึงออกเป็นเส้นแบบต่างๆ ได้ พ่อครัวในกองทัพยังไม่สามารถทำได้ อวิ๋นเยี่ยต้องทำด้วยตัวเอง ซึ่งในนี้มีความพิถีพิถันอยู่อย่างหนึ่ง โดยเน้นน้ำแกงที่ใส ผักใบเขียว พริกสีแดงสด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของแท้เป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมากที่สุดอย่างหนึ่ง ในยุคปัจจุบันเป็นตัวเลือกแรกสำหรับอาหารเช้าของชาวเมืองหลานโจว ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาว การนั่งยองๆ กินบะหมี่ชามใหญ่อยู่ริมถนนเหมือนจะเป็นฉากปกติฉากหนึ่งของหลานโจว เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ว่าเมื่ออาหารรสเลิศนี้ต้องสูญเสียรสชาติดั้งเดิมไปเมื่อเผยแพร่เข้าแถบซีเป่ย[1]และเมื่อยิ่งห่างจากซีเป่ยมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อร่อยมากขึ้นเท่านั้น เมื่อออกเดินทางไปทำงานที่กวางโจว ไม่เคยชินกับการกินข้าวทั้งยังต้องฝืนกินซาลาเปาที่หวานเลี่ยนหลายๆ แบบจนแทบตายทั้งเป็น ไม่ใช่ง่ายเลยที่ได้เจอร้านหนึ่งที่เขียนว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของแท้ซึ่งเสมือนได้พบผู้ช่วยชีวิต จึงรีบเดินเข้าไปในร้านแล้วตะโกนว่า “ขอเส้นเล็กสองชาม” ใครจะรู้ว่าพนักงานในร้านไม่เข้าใจว่าอะไรคือเส้นเล็ก จึงเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เมื่อฟังสำเนียงของพนักงานซึ่งเป็นคนตงเป่ย[2]อีกครั้งก็เริ่มรู้สึกหมดหวัง ด้วยความคาดหวังครั้งสุดท้ายว่าจะโชคดีจึงสั่งก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม มันมีลักษณะเด่นของคนตงเป่ยจริงๆ ด้วย เส้นเยอะ เนื้อเยอะและชามขนาดใหญ่ เพียงแต่มีใครเคยได้ยินบ้างว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวใช้ลวกเส้นแล้วจุ่มน้ำเย็นกัน ก๋วยเตี๋ยวชามมหึมากินเพียงแค่คำเดียวก็รีบออกจากร้านไป ทั้งยังไม่กล้าที่จะบอกว่าไม่กินแล้ว เพียงแค่บอกว่าปวดปัสสาวะ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวสูตรคนตงเป่ยที่ใจดียังชี้ทางไปห้องสุขาให้อีกด้วย ตั้งแต่นั้นมานอกเหนือจากก๋วยเตี๋ยวของกานซู อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมกินก๋วยเตี๋ยวที่บอกว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของแท้อีกเลย เพราะกลัวเสียใจ

 

 

หลังจากนำเสนอก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัววิชาสุดวิเศษแล้ว ก็เป็นจริงดังคาด ไม่ว่าจะเป็นน้องเขยฮ่องเต้หรือโหวเหยียแต่ละตำแหน่ง แล้วก็ปั๋วเจวี๋ยอะไรนั่นต่างก็กินกันจนหาตัวจับไม่ได้แล้ว นั่งถอนหายใจอยู่บนม้านั่งไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เหล่าเซวียฝืนกินบะหมี่เส้นสุดท้ายอย่างทรมาน จากนั้นก็นั่งเหม่ออยู่บนม้านั่ง เห็นได้ชัดว่ากินจนจุกแล้ว

 

 

เหล่าหนิวหัวเราะตาหยีพลางแคะฟัน มองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาที่ประหลาดๆ ดูค่อนข้างเป็นการปลอบใจแต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ว่าเจ็บใจที่เขาไม่เอาไหน

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าเขาต้องการสร้างสัมพันธ์กับคนในกองทัพให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ การคบค้าสมาคมทั่วไปนั้นไม่เป็นไร หากต้องการให้สนิทมากยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการ เขาไม่อยากมีส่วนร่วมในกองทัพมากเกินไป มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนดื่มกินกันก็พอแล้ว

 

 

วันนี้ตัวเองที่เป็นถึงโหวเยี่ยลงมือทำอาหารเองก็ถือว่าให้เกียรติเหล่าแม่ทัพนายพันในกองทัพมากพอแล้ว  พวกชอบใช้กำลังรักหน้าตามากกว่าพวกจับพู่กันมากนัก พวกเขาไม่มีสิ่งอื่นที่จะโอ้อวดได้อีก การมีชีวิตอยู่เพื่อหน้าตาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น หากให้เกียรติอย่างเพียงพอทุกอย่างก็คุยกันได้

 

 

เพียงแค่คิดถึงเรื่องข้อพิพาทระหว่างอวี้ฉือกงและหลี่เต้าจง ก็รู้ได้ว่าพวกแม่ทัพเหล่านี้เป็นบุคคลประเภทไหนแล้ว นอกจากนี้เหตุการณ์ก่อกบฏที่ไม่จบไม่สิ้นที่จะเกิดในอนาคตใครจะรู้ว่ามีคนเหล่านี้ปะปนอยู่ข้างในบ้างหรือไม่ ทางที่ดีอยู่ให้ห่างไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร

 

 

“อวิ๋นโหวได้ยินว่าเจ้าได้สร้างบ้านเป็นจำนวนมากไว้ที่เขาอวี้ซัน ถ้าหากยังมีสถานที่ว่างก็เหลือให้พี่ชายสักหลัง เมื่อทำสงครามเสร็จได้กลับฉางอันและไม่มีงานอะไรจะได้ไปพักร้อน ชื่นชมทิวทัศน์อย่างอิสรเสรีหลายๆ วัน” เซวียว่านเช่อเป็นคนตรงๆ รู้สึกว่าถ้ากินอาหารของผู้อื่นแล้วก็ต้องช่วยเขาแก้วิกฤตบ้าง ได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยได้ สร้างบ้านอย่างมั่วซั่วบนเขาอวี้ซัน ส่วนมากก็ไม่สามารถขายได่เหล่าเซวียก็ตั้งใจจะรับผิดเองอย่างกล้าหาญ

 

 

อวิ๋นเยี่ยมองชายที่ไร้มันสมองคนนี้ด้วยความตกตะลึง หรือประโยคที่ว่าเด็กที่ไร้มารดาเลี้ยงดูถือเป็นความโชคร้ายจะเป็นจริง เหล่าเซวียไม่น่ารู้แผนการสร้างที่พักอาศัยอันเลิศหรูของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าหลังจากนี้อีกสองปีบ้านเหล่านี้ราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้บอกว่าต้องการซื้อบ้านก็เพราะต้องการเกาะอวิ๋นเยี่ย ความคิดเพียงชั่ววูบทำให้เขาได้ผลประโยชน์ก้อนโตไป คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่จริงๆ วาสนาที่ขัดต่อกฎสวรรค์เช่นนี้อย่าได้ไปขัดขวางอย่างไม่ลืมหูลืมตาจะดีกว่า

 

 

“น้องชายพลั้งเผลอเหลวไหลไปทำให้พี่ชายต้องเป็นห่วงแล้ว แน่นอนจะต้องมีบ้านหลังหนึ่งของพี่ชาย เมื่อสงครามทุ่งหญ้าสิ้นสุดลง บ้านก็จะสร้างเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นขอพี่ชายแวะไปเยี่ยมดู”

 

 

“น้องชายไม่ถือสาก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ถึงตอนนั้นพวกเรามากินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวกันอีกสักมื้อ พี่ชายชอบรสชาตินี้ วันนี้อาศัยใบบุญของผู้บัญชาการใหญ่และแม่ทัพหนิว พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดี ไม่อย่างนั้นจะมีโหวเหยียคนไหนเข้าครัวเองบ้าง

 

 

เมื่ออิ่มกันแล้วก็เป็นเรื่องปกติที่จะเดินออกกำลังกายเพื่อการย่อย ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถทนได้ ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงค่ายพักของทหารเสริมโดยไม่รู้ตัว

 

 

ไฉเซ่ารู้สึกประหลาดใจมาก ค่ายพักทหารเสริมที่ปกติส่งเสียงคึกคักวันนี้กลับเงียบสงัด บ้านเรือนก็สะอาดเรียบร้อยขึ้นมาก เมื่อเข้าไปดูข้างในจึงได้เห็นว่าทหารเสริมกำลังฝึกอยู่ที่สนามฝึกซ้อม ที่แปลกคือพวกเขาไม่ได้ฝึกวิธีฆ่าศัตรู มีชายคนหนึ่งแสร้งทำเป็นบาดเจ็บและหมอบอยู่บนพื้นส่งเสียงครวญคราง จากนั้นทหารสองคนก็จะรีบวิ่งเข้าไปข้างหน้าพร้อมด้วยไม้สองท่อนในทันที กางผ้ากระสอบหนึ่งผืนไว้บนพื้นและเคลื่อนย้ายชายที่แกล้งบาดเจ็บไปไว้บนผ้า ใส่ไม้สองท่อนไว้ทั้งสองข้างของผ้า จากนั้นยกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป

 

 

นอกจากนี้ยังมีคนสอนให้คนรู้จักวิธีช่วยคนบาดเจ็บที่ขาหัก วิธีที่จะห้ามเลือดให้ผู้บาดเจ็บ มีบางคนกดมั่วๆ ที่บริเวณหน้าอกของผู้บาดเจ็บและยังมีการเป่าลมแบบปากต่อปาก ไฉเซ่ากำลังจะก้าวเข้าไปห้ามการกระทำที่ไม่น่าดูนี้ แต่กลับเห็นซุนซือเหมี่ยวก้าวออกมาแล้วพูดกับไฉเซ่าว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องแปลกใจไป นี่เป็นวิธีในการรักษาบาดแผลในสมรภูมิรบ ตามที่ข้าคำนวณ หากมีทหารเสริมเหล่านี้ที่รู้ว่าต้องรักษาเพื่อนของพวกเขาอย่างไร การตายของผู้บาดเจ็บจะลดลงจนเหลือในระดับต่ำมาก อย่างน้อยก็สามส่วน

 

 

คนที่เคยผ่านสนามรบ ทหารที่ได้เคยเห็นเลือดจึงจะถือเป็นทหารที่แท้จริง ไฉเซ่าที่คลุกคลีกับการศึกมาเป็นเวลานานมีหรือที่จะไม่เข้าใจเหตุผลนี้

 

 

เขาคว้าแขนของซุนซือเหมี่ยวและถามว่า “ท่านนักพรตพูดจริงหรือ ความเสียหายจากสงครามของกองทัพเราจะลดลงถึงสามส่วนจริงๆ หรือ”

 

 

ขอเพียงเป็นแม่ทัพ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่คาดหวังให้ผู้ใต้บัญชาเสียชีวิตลดน้อยลง จึงทยอยเข้ามาล้อมรอบซุนซือเหมี่ยวและถามกันคนละปากคนละคำ

 

 

 “ข้าและอวิ๋นโหววิเคราะห์กันอยู่เป็นเวลาหลายวันจึงได้กำหนดวิธีการรักษา หากไม่เห็นผลเช่นนี้ เราสองคนก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่จะนำมาออกมา แต่อวิ๋นโหวเป็นผู้มีเมตตา ทนดูทหารเสริมต้องลำบากไร้ที่พึ่งไม่ได้ จึงอยากให้พวกเขามีวิธีการเอาชีวิตรอดเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้พวกเขามีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกหน่อย คิดไม่ถึงว่า เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถทำความเข้าใจขั้นตอนการปฐมพยาบาลได้ไม่น้อย ต่อลงไปจะสอนพวกเขาถึงวิธีการป้องกันและวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บเพราะอากาศหนาว ถ้าหากกองทัพต้องต่อสู้ในฤดูหนาว สิ่งเหล่านี้ต้องรู้ไว้ ไม่เช่นนั้นทหารต้าถังเราจะไม่ได้ตายในสนามรบ แต่จะถูกแช่แข็งตายจากสภาพอากาศหนาวเย็น ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลย”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ซีเป่ย คือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

 

 

[2] ตงเป่ย คือ ภาคตะวันออกเฉียเหนือของจีน