ส่วนที่ 4 ตอนที่ 15

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เคล็ดลับที่ถึงแก่ชีวิต

 

ไฉเซ่าอยู่ในค่ายทหารเสริมตลอดทั้งช่วงบ่าย ดูทุกมาตรการปฐมพยาบาลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก เขาชอบการใช้ผ้าสามเหลี่ยมพันแผล ทั้งยังทำการทดลองด้วยตัวเอง หลังจากผูกเสร็จแล้ว เขายังขอให้ทหารที่ถูกเขามัดเหมือนบ๊ะจ่างทั้งวิ่งทั้งกระโดด ท้ายที่สุดยังโยนดาบให้เขาด้วย ให้เขาลองฟันหลายๆ ครั้งดูว่าการพันผ้าแบบมัมมี่จะหลุดออกมาหรือไม่ ดีมาก ไม่มีปัญหา ไม่หลุด ทหารตัวน้อยนั้นยิ่งชอบกว่าบอกว่าอบอุ่นดี แม้อากาศหนาวกว่านี้ก็ไม่กลัว

 

ไฉเซ่าเองก็ยังชอบการเย็บแผลด้วยเส้นไหม ชายคนหนึ่งที่ถูกฟันปากแผลยาวหนึ่งฉื่อ[1] เลือดไหลออกจากแผลไม่หยุด ดูแล้วไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก มีทหารเสริมที่ดูโรคจิตคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วหยิบด้ายและเข็มออกมา เย็บบาดแผลของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งเย็บอย่างละเอียด เย็บเสร็จแล้วและใส่ยา ใช้ผ้าพันแผลไว้ ชายที่เมื่อครู่กำลังจะตายก็หยิบดาบขึ้นอีกครั้งและฟาดฟันต่อไป แม้ว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงจินตนาการของไฉเซ่าก็ยังคงไม่สามารถหยุดยั้งเขาให้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพิสูจน์สักเล็กน้อย ไม่มีคนบาดเจ็บช่างชวนให้ปวดหัวนัก ทันใดนั้นก็มีเจ้ าโง่กระโดดออกมา หยิบมีดเล็กกรีดตัวเอง เพื่อให้ท่านผู้บัญชาการได้ทำการเย็บคนให้สาแก่ใจดั่งที่ต้องการ

 

ซุนซือเหมี่ยวออกจากสนามฝึกซ้อมด้วยความอาลัยอาวรณ์ นำเหล่าทหารมาที่ห้องด้านในซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ภายในเต็มไปด้วยไอน้ำลอยอบอวลไปทั่ว ล้วนแล้วแต่เป็นถังขนาดใหญ่ซึ่งด้านในบรรจุน้ำร้อนไว้ อวิ๋นเยี่ยให้คนรักษาอุณหภูมิของน้ำไว้ที่สี่สิบกว่าองศาตลอดเวลา ในถังแต่ละใบจะมีคนสองคนแช่อยู่ ทุกคนล้วนเป็นทหารลาดตระเวนที่กลับมาจากนอกเมือง แม้ว่าเรื่องแผลจากอากาศหนาวจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในมุมมองอวิ๋นเยี่ย อาการแผลจากอากาศหนาวขั้นที่สองนั้นร้ายแรงมาก เป็นแผลไปถึงชั้นหนังแท้ ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าบางส่วนของพวกเขาอุณหภูมิลดลงแล้ว จึงได้แต่พึ่งน้ำอุ่นค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย จากนั้นจึงห่มผ้าห่มและปล่อยให้ค่อยๆ ฟื้นตัวจากแคร่ที่สุมไฟไว้ด้านล่าง

 

เมื่อเห็นว่าขั้นตอนนั้นยุ่งยาก มีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นทันทีว่า วิธีนี้ยุ่งยากและยากต่อการใช้จริง มีน้ำร้อนในสนามรบเสียที่ไหน ตนมีวิธีที่ดีซึ่งทั้งง่ายและปฏิบัติได้จริง วัสดุหาได้แค่ปลายนิ้ว เมื่อนำมารักษาแผลจากอากาศหนาวแล้วเรียกว่าเร็ว

 

เรื่องนี้จะต้องขอคำชี้แนะให้ดีๆ เสียหน่อย ต้องขอคำชี้แนะ อย่างที่กล่าวกันว่าผู้สูงส่งมักแฝงกายอยู่ในฝูงชน ซุนซือเหมี่ยวและอวิ๋นเยี่ยจึงรีบเข้าไปขอคำชี้แนะทันทีด้วยมารยาทอย่างเต็มที่

 

“เมื่อปีก่อนในค่ายของมีคนที่ได้รับบาดเจ็บจากอากาศเย็นสิบกว่าคน กำลังใกล้จะตาย ตอนนี้ไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังโชคดีที่ข้ายังพอจำวิธีโบราณวิธีหนึ่งได้จึงช่วยชีวิตเอาไว้ได้” ชายท่านนี้พูดอย่างอวดดี วางตนเสมือนหนึ่งว่าตัวเองคือเปี่ยนเชวี่ย[2]ฟื้นคืนชีพ ฮั่วถัว[3]กลับชาติมาเกิด ทำให้ทุกคนที่อยู่สนามฝึกซ้อมรู้สึกซาบซึ้งและนับถือ

 

จึงได้รับผลประโยชน์มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออวิ๋นเยี่ยสัญญาว่าจะทำให้อาหารอร่อยๆ หนึ่งมื้อให้แก่เขาคนเดียว เขาจึงยอมบอกเคล็ดลับประจำตระกูลด้วยสีหน้าไม่พอใจมากออกมา คำเดียวคือ ถู และอีกคำสามคือ ถูด้วยหิมะ ถูให้แดงทั่วทั้งร่างกายแล้วก็จะรอดชีวิตได้ หากวันนี้ไม่เห็นแก่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของอวิ๋นโหว แม้ฆ่าให้ตายก็จะไม่บอกอย่างเด็ดขาด

 

เมื่อได้ฟังเคล็ดลับแล้ว อวิ๋นเยี่ยสองมือกุมขมับนั่งยองๆ ลงบนพื้น ซุนซือเหมี่ยวสั่นเทาไปทั้งร่าง

 

“คราวที่แล้วใช้เคล็ดลับที่สืบทอดมานี้ช่วยไว้ได้กี่คน” อวิ๋นเยี่ยระงับความปวดร้าวในใจแล้วเอ่ยถาม

 

“ทั้งหมดสิบสองคนช่วยได้แค่สามคนเท่านั้น ที่เหลือนั้นถูกไอเย็นรุนแรงมากเกินไปจึงไม่มีชีวิตรอด เด็กทั้งสามคนก็ดวงแข็งจึงได้พบข้าเข้า ไม่เช่นนั้นคงจบเห่กันทั้งหมดแน่ สำหรับเรื่องนี้แล้ว ข้าเฉลิมฉลองในค่ายใหญ่เป็นเวลาสามวัน เจ้าเด็กนอกคอกพวกนั้นจับข้ามอมเหล้าจนเมาไปสามวัน” ตาเฒ่านี่ดูเหมือนจะยังคงดื่มด่ำอยู่กับความมีเกียรติเมื่อปีที่แล้ว

 

“ข้าจะฆ่าเจ้าจอมสารเลวนี่!” ในที่สุดซุนซือเหมี่ยวก็เดินจากไปด้วยความโกรธ เตะคนเลวนั่นล้มลงกับพื้นด้วยเท้าเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าพละกำลังของเหล่าซุนยังคงเหลืออยู่ค่อนข้างมาก ทหารที่ต่อสู้มานานหลายปีถูกเขาเตะจนเกือบบินได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่สนใจแล้ว พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าต่อยลงไปแรงๆ หนึ่งหมัด ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย ทั้งหมดเพื่อชีวิตเก้าคนนั้น

 

รู้สึกปวดใจจริงๆ ฆ่าคนจนถึงจุดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขอบคุณ ปีศาจเช่นนี้หากมีหนึ่งตัวต้องฆ่าหนึ่งตัว มิฉะนั้นทหารซั่งฟางห้าหมื่นชีวิตก็ไม่มากพอที่จะให้เขาทำลาย

 

ทหารคนอื่นต่างมองหน้ากันพูดอะไรไม่ออก คนเขาเพิ่งจะบอกเคล็ดลับให้พวกเจ้ารู้ ก็จะฆ่าปิดปากแล้วหรือ ขณะที่กำลังจะเข้าไปห้ามก็ถูกเหล่าหนิวที่ยิ้มหน้าแหยๆ ลากออกไป ไฉเซ่าที่อยู่ข้างๆ ก็หน้าเขียวปั้ด บนหน้าผากเส้นเลือดปูดแทบจะระเบิด เขาสองคนเป็นคนแรกที่เข้าใจ หากพูดถึงวิชาแพทย์ ซุนซือเหมี่ยวคือที่หนึ่งแห่งต้าถัง หากพูดถึงวิธีพิสดาร อวิ๋นเยี่ยคือที่หนึ่งแห่งต้าถัง ตอนนี้ทั้งสองคนยังสติไม่อยู่พร้อมกันก็ระบุได้ว่าเจ้าสารเลวนั้นไม่ได้ช่วยชีวิตผู้คนแต่กำลังฆ่าคน ให้ตายสิ

 

เมื่อต่อยคนเสร็จ เหล่าซุนก็ไม่ใส่ใจผมที่กระจัดกระจาย ผมยาวปกคลุมบนใบหน้าเหมือนวิญญาณร้าย ดวงตาสีแดง ตะโกนเสียงดังใส่เหล่าแม่ทัพนายพัน “พวกเจ้าใครยังมีเคล็ดลับในการฆ่าคนเช่นนี้อีก บอกออกมา ยังมีใครอีก”

 

น้ำเสียงที่ถูกลากยาว น่ากลัวดุดันหาใครเทียบได้ หมอที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งยุคก็ถึงกับมีกิริยาท่าทางเหมือนหัวหน้ามาเฟียเช่นกัน

 

ล้วนแล้วแต่เป็นยอดนักฆ่าในสนามรบ รู้หลักการที่ว่าหากศัตรูบุกเราควรถอยเป็นอย่างดี จึงพากันถอยหลังอย่างพร้อมเพรียง หลบรัศมีอันมุ่งมั่นของเหล่าซุน

 

“แม่ทัพทุกท่าน การแพทย์เป็นวิชาที่เข้มงวดแขนงหนึ่ง สำนักศึกษาอวี้ซันของเราเพื่อวิชาการแพทย์สามารถกล่าวได้ว่าได้ใช้มันสมองกันอย่างเต็มที่ เก็บรวบรวมเคล็ดลับทั่วหล้า สามารถกล่าวได้ว่ามีมากมายหลากหลาย แต่ส่วนมากก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนิด เช่น การใช้หิมะถูร่างกายที่บาดเจ็บเพราะอากาศเย็น ไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้เพียงนิดรังแต่จะทำให้อาการทรุดหนักลง ถ้าหากทุกคนรู้ถึงเหตุผลข้อนี้ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์โปรดสัตว์ได้บาป ทหารสิบสองนายมีชีวิตรอดเพียงสามนาย นี่เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุด ถ้าหากแช่ในน้ำอุ่นแล้ว หลังจากนั้นใช้ผ้าห่มห่อให้แน่นแล้ววางไว้บนสถานที่อุ่นๆ เพื่อให้เขานอนพัก ทั้งสิบสองคนก็จะมีชีวิตรอดทั้งหมด ขอความกรุณาแม่ทัพทุกท่าน อย่าใช้วิธีการรักษาที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อย่างมั่วๆ เพราะอาจทำให้ถึงตายได้”

 

“ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ” คนที่ถูกต่อยจนคนไม่เหมือนคนผีไม่เหมือนผีถามขึ้นต่อ

 

“จริงแท้แน่นอน เจ้าโปรดสัตว์ได้บาป หากทหารสิบสองคนนั้นเจ้าไม่ใช้หิมะถูเขา เพียงแค่หาสถานที่ที่อบอุ่นแล้วเอามือถูให้ทั่วร่าง ข้ารับประกันได้ว่าทหารสิบสองคนของเจ้าจะมีชีวิตรอดอย่างน้อยสิบคน หากผิดละก็ เจ้ามาหาต่อยข้าได้เลย ข้าจะไม่ตอบโต้อย่างแน่นอน” เดิมทีอวิ๋นเยี่ยอยากจะบอกว่าถ้าผิดละก็ เจ้ามาตัดศีรษะข้าได้เลย เพียงแต่เมื่อคิดถึงความมีหัวการค้าของหมอนี่แล้วเลยเปลี่ยนความคิดในทันใด หากมีเจ้าโง่คนไหนใช้วิธีใหม่แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไว้ได้ แล้วถือดาบมาไล่ตัดศีรษะ เจ้าว่าอย่างนี้แล้วต้องหลบหรือไม่

 

ตั้งแต่พบกับคนประเภทซีถง ต่อให้ฆ่าให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่พูดอะไรที่ไร้ทางถอยเด็ดขาด เจ็บหนึ่งครั้งย่อมต้องเกิดปัญญา คำโบราณว่าไว้ไม่มีผิดจริงๆ

 

“นักพรตซุน อวิ๋นโหว ดูเหมือนว่าจะต้องเผยแพร่ความรู้ทั่วไปเหล่านี้ให้แก่คนในกองทัพ ไม่เช่นนั้นแล้วทหารไม่ได้ตายในสนามรบ แต่กลับตายด้วยมือของพวกตัวเอง น่าอดสูจริงๆ เรื่องนี้ต้องรบกวนท่านทั้งสองแล้ว” ไฉเซ่าค่อนข้างเหนื่อยหน่าย แต่ก็รู้สึกโชคดีอยู่บ้าง สรุปคือดูแล้วเขามีท่าทีที่สับสนมาก

 

ทหารที่โดนต่อยหมอบกับพื้นตะโกนเรียกชื่อพี่น้องร้องไห้เสียงหลง ต่อยลงไปทีละหมัดๆ บนดินที่ถูกแช่แข็งจนแข็งเหมือนแผ่นเหล็ก อวิ๋นเยี่ยทนดูไม่ไหวตั้งใจจะพยุงเขาขึ้นมา แต่ถูกทหารข้างๆ ห้ามไว้ กระซิบกับอวิ๋นเยี่ย  พี่ชายและน้องชายแท้ๆ ของเขาก็เป็นหนึ่งในเก้าคนที่เสียชีวิต

 

เมื่อได้ยินความคับแค้นใจนี้ อวิ๋นเยี่ยก็พูดอะไรไม่ออก

 

อวิ๋นเยี่ยใช้พู่กันเขียนหนังสือได้ช้ามากและยังน่าเกลียดอีกด้วย การถูกครอบครัวของหลี่ซื่อหมินดูถูกก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดวันสองวันแล้ว หลังจากที่ถูกหลี่ซื่อหมินวิพากวิจารณ์เกี่ยวกับตัวอักษรของอวิ๋นเยี่ยว่าเป็น “ร่องรอยอักขระโบราณ” แล้ว เขาสาบานว่าจะไม่ใช้พู่กันเขียนหนังสืออีกแล้ว ช่างบาดใจยิ่งนัก อักษรที่ฉันเขียนอย่างจริงจังนั้นกลับถูกคุณบอกว่ามันเป็นรอยพิมพ์เท้าไก่ป่าที่หลงเหลืออยู่บนหิมะ เนื้อหาที่มีประโยชน์มากมายพวกนั้นคุณไม่อ่าน มาดูตัวอักษรของฉันทำไม เวลาที่ฉันจับพู่กันสองชาติภพรวมกันยังไม่มากเท่าที่คุณจับพู่กันในหนึ่งเดือนเลย ถ้าแน่จริงมาแข่งพิมพ์คีย์บอร์ดกับฉันสิ!

 

เหล่าซุนไม่มีเวลา เขาต้องสอนทหารเสริมเหล่านั้นให้ฝึกกู้ภัยในสนามรบ อวิ๋นเยี่ยตั้งป้ายขนาดใหญ่จำนวนมาก บนนั้นปล่อยเอาไว้ให้ว่างเปล่า เมื่อหยิบพู่กันแล้วเพิ่งเขียนอักษรได้เพียงตัวเดียว เหล่าจวงก็เอามือปิดหน้าวิ่งหนีออกไป หาว่าเดี๋ยวจะขายหน้าคนอื่น

 

จะขายหน้าใครกัน ในยุคปัจจุบันคำประกาศในบริษัทล้วนแล้วแต่ฉันเป็นคนเขียน ยังมีแฟนๆ มารุมล้อม ทั้งยังบอกว่าเขียนได้ดี เหล่าจวงนี่มีรสนิยมแบบไหนกัน ไม่รู้เรื่องก็อย่าดู

 

ขณะที่กำลังเขียนได้ที่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกัดฟันอยู่ข้างหลัง เมื่อหันกลับไปมอง ที่แท้เป็นสวี่จิ้งจง ใบหน้าอ้วนๆ นั้นยู่ยี่ยับเยินเหมือนดอกเบญจมาศแล้ว ปากก็สูดหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันกรามด้วยท่าทีราวกับอุจจาระไม่ออก กอดหนังสือหลายเล่มไว้ในมือ ดูเหมือนว่ามีปัญหาอยากถามอวิ๋นเยี่ย

 

“โหวเหยียท่านกำลังทำอะไรอยู่ นึกสนุกอยากเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่หรือ อักษรนี้เขียนได้มีเอกลักษณ์ดี เหมือนนิสัยใจคอของโหวเหยียที่อธิบายไม่ถูก” ยากนักที่จะจับจุดอ่อนของอวิ๋นเยี่ยได้ แน่นอนว่าต้องเยาะเย้ยให้สนุกสักรอบหนึ่ง คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์ ได้มองอวิ๋นเยี่ยออกอย่างทะลุปรุโปร่มานานแล้ว หลานเถียนโหวที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนมีใจคอกว้างขวาง แต่แท้จริงแล้วเป็นคนใจแคบนั้นไม่ใช่คนดี ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องใจคอคับแคบมีแค้นต้องชำระของเขา ยังมีนิสัยที่ถูกตามใจจนเคยตัว ไม่ยอมลำบาก ไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย และสิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ยอมถูกรังแก นอกจากไท่ซั่งหวง ฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว ก็มีผู้อาวุโสอีกไม่กี่คนที่สามารถทำให้เขาก้มศีรษะให้ได้ ในความเห็นของเขา นี่เป็นเกียรติที่หาได้ยากยิ่ง เจ้าหนุ่มนี่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ในรายงานกองทัพเมื่อวานนี้กล่าวว่า ฝ่าบาททรงลดฐานนันดรศักดิ์ทั้งหมดสี่สิบหกคน เขารอดูตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีข่าวดีที่ว่าหลานเถียนโหวถูกลดฐานันดรศักดิ์เป็นหลานเถียนปั๋ว แม้ว่าจะค่อนข้างผิดหวัง แต่คำถามหลายๆ ข้อในเรื่องวิชาความรู้แล้วก็จำเป็นต้องมาขอคำชี้แนะจากโหวเหยียท่านนี้ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ทนทรมานอยู่หนึ่งคืนกว่าที่จะเข้าใจความรู้เบื้องต้นที่ง่ายๆ เหล่านั้น แต่ก็ถูกสูตรแปลกๆ เหล่านั้นทำให้สับสน ด้วยความร้อนวิชาอยากจะทดสอบ จึงยอมละทิ้งความเกลียดแค้นในทิ้งและมาขอคำชี้แนะถึงที่ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นลายมือไก่เขี่ยของอวิ๋นเยี่ย จึงรู้สึกสบายอกสบายใจ

 

“เหลาสวี่ ข้าลืมเจ้าได้อย่างไรกัน การเขียนอักษรเป็นจุดเด่นของเจ้า เจ้าลองมาดูหน่อยว่าป้ายเหล่านี้ควรจะเขียนอย่างไร” ขอเพียงสามารถแก้ปัญหาได้ ก็ต้องรีบคว้าไว้ จะสนใจทำไมว่าเป็นใคร ใช้ประโยชน์ได้ก็พอแล้ว นี่คือแนวความคิดของอวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด คำพูดอันโด่งดังในยุคปัจจุบันของไท่จงเราจะต้องประจักษ์ด้วยตัวเองและนำไปปฏิบัติ การมอบหมายงานให้กับมืออาชีพจัดการ เป็นคำพูดของใครที่เคยพูดไว้กัน

 

สวี่จิ้งจงหยิบพู่กันขึ้น จากนั้นก็ฉีกอักษรที่น่าเกลียดที่สุดที่อวิ๋นเยี่ยเขียนออก ขยำมันเป็นก้อนและปามันไปให้ไกลๆ จึงค่อยทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง เมื่อครู่เหมือนกับกลืนกินแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัว

 

ตัวอักษรแถวหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งและทรงพลังปรากฏขึ้นบนป้ายกระดาษของอวิ๋นเยี่ย สีขาวและสีดำตัดกัน ดูแล้วรู้สึกสบายตา สวี่จิ้งจงแอบตาเหล่ตามองอวิ๋นเยี่ยอย่างดูถูกแวบหนึ่ง จากนั้นเขียนอักษรบนป้ายกระดาษตามในสมุดเล่มเล็กๆ บนมือของเขาต่อไป

 

“เหลาสวี่ ตัวอักษรของเจ้า ชาตินี้ข้าคงไม่มีความหวังที่จะไล่ตามได้ทันแล้ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!” อวิ๋นเยี่ยยืนชื่นชมอยู่ด้านหลังไม่ขาดปาก สวี่จิ้งจงจึงยิ่งเขียนอย่างทุ่มเทมากขึ้น ปลายพู่กันดั่งหงส์ร่ายมังกรรำ ตัวอักษรจึงยิ่งสวยงามมากขึ้น ภาพพื้นหลังจึงยิ่งดูสง่างามขึ้น

 

“เหลาสวี่ เจ้าเขียนต่อไป เขียนป้ายกระดาษให้เสร็จทั้งยี่สิบใบเลย ข้าจะเข้าไปพักในห้องเสียหน่อย เมื่อคืนนี้ไม่ได้นอนเลย” อวิ๋นเยี่ยปากก็พึมพำแล้วกลับไปนอนที่ห้อง เหลือสวี่จิ้งจงผู้น่าสงสารที่ต้องยืนเขียนอักษรอยู่ท่ามกลางลมหนาวเพียงลำพัง

 

มือแข็งเป็นท่อนไม้แล้ว ป้ายแผ่นใหญ่มากไม่สามารถนำเข้าไปไว้ในห้องได้ ทำให้สวี่จ้งจงมีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาจากจมูก ความโกรธแค้นในใจของสวี่จิ้งจงนั้นเหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุออกมา คำเตือนทางการแพทย์บ้าบอเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เขาเขียนได้น่าเกลียดเขียนก็ปล่อยให้น่าเกลียดไป คนที่ขายหน้าก็คือเขา มันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ

 

อ๊ะ แย่แล้ว เมื่อครู่ตรงนี้เขียนเสียไป มือชาไปหมดแล้ว ตวัดตรงนี้ยาวเกินไป ตัวอักษรทั้งตัวก็จะสูญเสียเสน่ห์ไป ไม่ได้ ต้องเขียนมันใหม่ ตอนนี้คนที่ขายหน้าไม่ใช่เขาแต่เป็นข้า ตัวอักษรของข้าสวี่จิ้งจงจะปรากฏความด่างพร้อยได้อย่างไร

 

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว คนรับใช้ชราตระกูลสวี่คอยมองด้านนอกไม่เลิกว่า ทำไมเจ้านายไม่กลับมากินข้าวเสียที

 

 

——

 

[1] ฉื่อ มาตรวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อเท่ากับประมาณ 0.33 เมตร

 

[2] เปี่ยนเชวี่ย คือ หมอผู้โด่งดังในสมัยชุนชิวและจั้นกั๋ว

 

[3] ฮั่วถัว หรือ ฮัวโต๋ว เป็นหมอผู้มีชื่อเสียงในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น