ส่วนที่ 4 ตอนที่ 16

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ยืนกรานที่จะต่อต้าน

 

การเขียนป้ายโฆษณาคราวนี้มีผลกระทบกับสวี่จิ้งจงเป็นอย่างมาก ที่แท้แล้วคนเรายังสามารถไร้ยางอายได้จนถึงจุดนี้ เมื่อย้อนคิดถึงทุกสิ่งที่เขาทำมาก่อนหน้านี้ มันไม่ควรค่าให้พูดถึงเลย เขาจะไม่เสียใจอีกต่อไปและจะไม่สาปแช่งอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้แจ้งในเวลาอันสั้น แต่เพราะเขาเริ่มมีไข้ขึ้นสูง ร่างกายร้อนมากจนน่าตกใจ ทั้งยังมีตุ่มพองขึ้นที่ริมฝีปาก สวี่จิ้งจงที่หน้าแดงก่ำมุดอยู่ในผ้าห่มบ่นพึมพำ คนรับใช้ชราร้อนใจจนร้องไห้

 

ซุนซือเหมี่ยวมาแล้วและฝังเข็มให้เขาสองสามเข็ม จากนั้นเขียนใบยาให้สองสามเทียบ ให้คนรับใช้ชรานำมาให้เขาดื่ม จากนั้นนอนพักหนึ่งคืน ร่างกายไม่ร้อนอีก เมื่อตื่นขึ้นมาก็กินโจ๊กชามเล็กๆ ไปหนึ่งชามจากนั้นก็นอนหลับ สลบไสลไปอีก ระหว่างนี้อวิ๋นเยี่ยมาเยี่ยมเขาสองครั้ง ทั้งยังฝากยาบำรุงไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อเขาหลับแล้วจึงไม่ได้รบกวน เพียงแค่ให้เหล่าจวงนำผ้าห่มอีกสองผืนมาห่มให้สวี่จิ้งจง มอบเหล้ากาเล็กให้กับคนรับใช้ชรา ถ้าหากสวี่จิ้งจงตัวร้อนขึ้นอีกในตอนกลางคืน ก็ให้นำผ้าชุบเหล้าเช็ดร่างกายให้เขา เช่นนี้จะทำให้ไข้ลดอย่างรวดเร็ว

 

อวิ๋นเยี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการสอนความรู้เรื่องการปฐมพยายามให้กับทหารทุกระดับ สุดท้ายแม้แต่การใช้เฝือกก็สอนจนจบแล้ว จึงปล่อยให้พวกเขาได้หยุดพักบ้าง เหล่านักรบในค่ายทหารที่สามารถอ่านหนังสือได้มีไม่มาก ในอดีตถ้าให้พวกเขาอ่านหนังสือ ไม่สู้ฆ่าเขาให้ตายเลยในดาบเดียว ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องเรียนฟังบรรยายจนตาไม่กะพริบเลยสักนิด ฟังให้มากขึ้นอีกนิด เรียนให้มากขึ้นอีกหน่อย พี่น้องของพวกเขาก็จะตายในสนามรบน้อยลง แม้ว่าถ้าเมตตาไม่จับดาบ แต่จิตใจคนเราก็มีเลือดเนื้อ ย่อมมีจิตเมตตาสงสารต่อผู้คนรอบข้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่น้องที่อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ

 

เมื่อพูดถึงพี่น้อง เฉิงฉู่มั่วนั้นก็ออกจะทำเกินไปหน่อย เขาไม่มาด้วยตัวเอง กลับส่งรองผู้ช่วยมาเข้าชั้นเรียน ส่วนตัวเองฉวยโอกาสหนีไปนอนหลับในห้องอวิ๋นเยี่ย เขามักคิดว่าเขาไม่ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาพี่น้องของเขาจะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน

 

เมื่อเห็นเฉิงฉู่มั่วนอนกรนคร่อกๆ อวิ๋นเยี่ยก็โกรธจนควันออกหู เขาคือคนที่จะต้องเข้าสู่สนามรบ ควรต้องมีความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้บ้าง หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ตัวเองจะได้สามารถรักษาอาการเบื้องต้นให้ตัวเองด้วย บางทีมันอาจจะช่วยชีวิตไว้ได้เลย การเข่นฆ่าในสนามรบใครจะห่วงใครกัน นี่ไม่ใช่เวลาขี้เกียจ

 

อวิ๋นเยี่ยจึงลากเฉิงฉู่มั่วลงจากเตียง แล้วนำผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าให้เขาเพื่อขจัดความง่วงออกไป น้ำเย็นได้ผลจริงๆ เฉิงฉู่มั่วหนาวจนสั่นเทา ความง่วงหายไปจนหมดสิ้น มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห บ่นพึมพำอยู่ในปาก

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเขา เริ่มสอนเขาตัวต่อตัวว่าจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร ตอนนี้ลองทำบนตัวเขา เมื่อลองทำเสร็จแล้วให้เฉิงฉู่มั่วทำการทดลองกับร่างกายของเขาเอง เรียนได้ไม่นานนัก เฉิงฉู่มั่วก็รู้สึกรำคาญ เหวี่ยงผ้าพันแผลในมือทิ้ง เข้าหากำแพงและนอนพิงอีกแล้ว

 

เขาก็มักจะมีนิสัยเด็กๆ เช่นนี้ ความรู้สึกที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อเขาควรจะบอกว่าใกล้เคียงกับความรู้สึกของผู้ใหญ่เป็นห่วงผู้เยาว์มากกว่าความเป็นพี่น้อง จึงดึงหน้าเขาหันกลับมาและสอนต่อไป วันนี้ถ้าหากไม่เรียนให้รู้เรื่อง อวิ๋นเยี่ยก็ไม่คิดจะรามือ เฉิงฉู่มั่วดื้อรั้น ทว่าสู้อวิ๋นเยี่ยไม่ได้จึงได้แต่ต้องเรียนต่อไป

 

“เสี่ยวเยี่ย มีหมอเทพอย่างเจ้าอยู่ตรงหน้า ข้าจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยหรือ” หลังจากเรียนเสร็จ สองพี่น้องนั่งกินอาหารอยู่ข้างเตา กินพลางคุยกันพลาง

 

“มันจะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่สามารถไปสนามรบได้ ในสนามรบอันตรายมากเพียงใดเจ้ารู้ดีกว่าข้า สิ่งเดียวที่ไม่มีทางขาดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นก็คือเรื่องเหนือความคาดหมาย การรักษาบาดแผลยิ่งเร็วยิ่งดี เร็วขึ้นนิดหน่อยไม่แน่ว่าอาจจะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ไม่ควรมองข้าม ในหลุมฝังศพไม่จำเป็นต้องฝังคนชราเสมอไป เข้าใจไหม เมื่อหลายวันก่อนข้าทำสถิติ รู้ไหมว่าอายุขัยเฉลี่ยของชาวต้าถังนั้นน้อยกว่าสามสิบปี เมื่อได้ยินข้อมูลนี้แล้วยังกล้าประมาทอีกหรือ”

 

นี่เป็นคำถามข้อหนึ่งในศาสตร์การคำนวณ และยังเป็นข้อกำหนดสำหรับนักเรียนให้ทำสถิติ อวิ๋นเยี่ยจึงถือโอกาสจัดนักเรียนทำการตรวจสอบอายุขัยเฉลี่ยของคนในเขตฉางอันว่าอยู่ที่อายุเท่าไร คิดไม่ถึงว่าเมื่อการบ้านถูกส่งกลับมาอวิ๋นเยี่ยถึงกับตกตะลึง อายุเฉลี่ยเพียงสามสิบห้าปี จะเป็นไปได้อย่างไร

 

ถามนักเรียนซ้ำๆ หลายครั้งว่าคำนวณผิดพลาดหรือไม่ หรือว่าการรวบรวมข้อมูลไม่ถูก เป็นไปไม่ได้ว่าชาวฉางอันมีอายุขัยเพียงสามสิบห้าปี

 

ฝางอี๋อ้ายสีหน้าอมทุกข์ ตอบว่าเป็นเรื่องจริง เพราะการบ้านของเขาทำพร้อมกับบิดาของเขา ตั้งใจตรวจสอบและบันทึกลูกโทนของสามเขตใกล้เคียงกับฉางอันโดยเฉพาะจึงได้คำตอบนี้ ทั้งยังทำการตรวจสอบสามเขตที่ค่อนข้างห่างไกลเพื่อเปรียบเทียบ พบว่าแตกต่างกันเจ็ดแปดปีเต็ม จึงทำการสรุปสุดท้าย ได้ข้อสรุปที่ว่าอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่าสามสิบปี    

 

ตามที่ฝางอี๋อ้ายบอก บิดาเขานั่งอยู่ในห้องหนังสือถึงหนึ่งคืนเต็มๆ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปประชุมเช้าตั้งแต่เช้า ส่วนปฏิกิริยาของทางราชสำนักนั้นเขาก็ไม่รู้แล้ว แค่รู้ว่าหลายวันนั้นบิดาเขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ

 

“สามสิบปี เป็นไปไม่ได้กระมัง ทำไมข้ามักจะรู้สึกว่ารอบข้างมีแต่คนชรา” เฉิงฉู่มั่ววางชามข้าวอย่างตกตะลึง ตาโตมองหน้าอวิ๋นเยี่ย

 

“จะหลอกเจ้าทำไม รอจนเจ้าทำสงครามครั้งนี้จบสิ้น ทหารหลวงถอยกำลัง เจ้ายังต้องกลับไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาต่อ ถึงตอนนั้นเจ้าทำแบบสอบถามเองแล้วเจ้าจะเข้าใจ”

 

“ยังต้องเรียนอีกหรือ” เฉิงฉู่มั่วเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหางกระโดดลอยขึ้นกลางอากาศ

 

“จะตื่นเต้นอะไรหนักหนา ใครบอกว่าเจ้าไม่ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว โอกาสที่ดีแท้ๆ คนอื่นโขกจนศีรษะแตกยังไม่ได้เข้าเรียน เจ้ายังรังเกียจอีก”

 

“ดวงตาข้างไหนที่เจ้าเห็นว่าข้าตื่นเต้น ข้าตกใจต่างหาก เมื่อคิดว่าเหตุใดต้องไปใช้วัยอันแสนสดใสของข้าให้สิ้นเปลืองในสำนักศึกษานั้นด้วย มีเวลาถึงเพียงนั้น ข้าเลี้ยงลูกสองคนกับจิ่วอียังจะดีกว่ามาเรียนทุกวันเสียอีก ในสำนักศึกษาของเจ้ามีคนดีไม่กี่คน ที่เหลือทั้งหมดก็เป็นพวกอันธพาลของฉางอัน อย่าว่าแต่ข้าเข้าไปแล้วเสียคน หากเป็นอะไรขึ้นมา พ่อต้องมาเอาเรื่องกับเจ้าแน่นอน พี่ชายไปเที่ยวซ่องโสเภณีอย่างสบายใจจะดีกว่า ต้องขี่ม้าเล่นโปโลหลายๆ รอบจึงจะถูก”

 

“ไม่รู้ว่าท่านลุงเฉิงจะมาเอาเรื่องข้าหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าไม่ไปสำนักศึกษา ท่านต้องเอาเรื่องเจ้าอย่างแน่นอน ยังคิดจะไปหาจิ่วอีมีลูก เจ้าไปนั่งฟักไข่เองเถอะ เล่นโปโล เที่ยวซ่อง เมื่อเจ้ากลับบ้าน บิดาเจ้าก็กลับบ้าน ถ้าแน่จริงเจ้าก็ไปพูดคำพูดเหล่านี้กับบิดาเจ้าสิ”

 

“ข้าอยากตาย! กลับไปที่ฉางอันไม่อิสระเท่ากับอยู่ที่ซั่วฟาง ข้าไม่กลับไปแล้ว ใครก็สั่งให้ข้ากลับไปไม่ได้” มองดูเด็กโง่ที่ไม่มีสมองคนนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเศร้าแทนเขา จอมปีศาจเฉิงผู้เลื่องชื่อมีหรือจะปล่อยให้เจ้าหลุดรอดไปได้ เหล่าเฉิงรอให้เขาเมืองหลวงเพื่อขอพระราชทานสมรสให้เขา แม้แต่ชื่ออวิ๋นเยี่ยก็ยังรู้ว่านางคือองค์หญิงชิงเหอหลี่จิ้ง ตอนนี้อายุสิบขวบ เมื่อคิดถึงว่าเฉิงฉู่มั่วต้องแต่งงานกับตุ๊กตาน้อยอายุสิบขวบ อวิ๋นเยี่ยก็อยากหัวเราะ

 

“เสี่ยวเยี่ย เจ้าหัวเราะได้เจ้าเล่ห์มาก ต้องมีบางสิ่งที่ข้าไม่รู้แน่ เจ้าบอกข้ามาได้หรือไม่” 

 

 “เอ๋ เจ้าฉลาดขึ้นมาทันทีเชียวนะ วางใจเถอะ ท่านลุงเฉิงจะหาคู่ครองให้กับเจ้า ได้ยินว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เจ้าก็รอเข้าเรือนหอเถอะ”

 

เฉิงฉู่มั่วดื่มด่ำอยู่กับเรื่องกาเมอย่างหลงใหลไม่ได้สติ ก็ไม่รู้ว่าคิดถึงคุณหนูบ้านไหน หากตอนนี้อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าฝ่ายหญิงมีอายุเพียงสิบปี คาดว่าเขาคงต้องฆ่าตัวตายแน่

 

“เสี่ยวเยี่ย เจ้าหมั้นหมายแล้วไม่ใช่หรือ ผู้หญิงที่ชื่อซินเย่ว์สวยหรือไม่”

 

“ธรรมดาสามัญ ก็อาจจะสวยกว่าจิ่วอีสักสามส่วน”

 

“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นสาวงามไม่ใช่หรือ หากเจ้าแต่งไปแล้ว หลี่อันหลานจะทำอย่างไร” เฉิงฉู่มั่วไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดถึงหลี่อันหลานขึ้นได้

 

เมื่อพูดถึงหลี่อันหลาน อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนจะเหงาหงอยลงไป เป็นเวลานานเท่าไรแล้ว เงาร่างที่งดงามนั้นเคยทำให้เขาละเมอเพ้อพก ตอนนี้หลังจากผ่านเหตุการณ์หลายๆ อย่างแล้ว เงานั้นก็ค่อยๆ จางหายไป หลงเหลือไว้เพียงความผิดหวังจางๆ เพียงเล็กน้อย เพียงแต่ค่อนข้างแปลกอยู่เล็กน้อย ตอนนี้กลับเป็นวัยเยาว์แล้วถึงกับมีฝันเปียกด้วย ที่น่ากลัวก็คือทุกๆ ครั้งที่ฝันเปียก ในฝันจะเป็นหลี่อันหลาน ในทางตรงกันข้าม ซินเย่ว์กลับไม่เคยปรากฏในความฝันของเขาเลย

 

หลังจากตื่นขึ้นมาจากความฝันและเปลี่ยนกางเกงชั้นใน นอนอยู่บนเตียงย้อนคิดถึงเรื่องนี้ หรือว่าร่างกายของฉันเลือกหลี่อันหลานแล้ว เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นอวิ๋นเยี่ยก็ฝืนข่มกลั้นมันไว้ แต่น่าเสียดายที่เมื่อฝันครั้งถัดไปก็จะร้อนแรงและบ้าคลั่งมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดและรสชาติของการถูกร่างกายทรยศช่างไม่ดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงตอนจากลา ซินเย่ว์ที่แต่งชุดเจ้าสาวทั้งยังมีปอยผมในถุงผ้าปักที่ติดกายตลอดเวลา ก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้น ไม่ได้ ฉันไม่ควรผิดต่อซินเย่ว์ เป็นหญิงสาวที่ดีเพียงไรกัน หลี่อันหลานเป็นผู้รุกรานอย่างแท้จริงที่ครอบครองส่วนที่ลึกที่สุดในหัวสมองของเขา จะสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

 

“ข้าคือผู้รู้แห่งเขาฉางไป๋ซัน ชุดข้านั้นสีแดงสุดองอาจ หอกยาวเทียมฟ้าเตรียมพิฆาต อาวุธเจิดจรัสดับสุริยา ขึ้นเขาเป็นโจรล่าสัตว์ป่า เมื่อลงมาล่าฝูงสัตว์ที่ท่านเลี้ยง พบทหารข้าจะฆ่าให้หมดเกลี้ยง ไม่หลีกเลี่ยงที่จะถือดาบเข้าหา ศึกที่เหลียวตงแม้ต้องสิ้นชีวา ยังดีกว่าสิ้นชีพเพราะขุนนาง” ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ท่องบทกวี ‘อู๋เซี่ยงเหลียวตงลั่งสื่อเกอ’[1] ขึ้นมาเสียงดังอย่างมีจังหวะจะโคน

 

ทำให้เฉิงฉู่มั่วตกใจยกใหญ่ ปีนขึ้นมามองอวิ๋นเยี่ยด้วยความประหลาดใจ “เฮ้ย พี่ชาย แม้เจ้าจะเปลี่ยนใจหาหญิงอื่นก็ไม่ต้องอ่านบทกวีที่น่ากลัวอย่าง ‘อู๋เซี่ยงเหลียวตงลั่งสื่อเกอ’ กระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าบทกวีนี้ทำให้คนตายมาแล้วกี่คน”

 

“ข้าแค่ต้องการแสดงการตัดสินใจที่จะต่อต้านออกมา ไม่ได้กบฏเสียหน่อย เจ้าตื่นตระหนกอะไร” สำหรับเฉิงฉู่มั่วที่ไม่รู้อะไรเลย อวิ๋นเยี่ยนั้นเตรียมใจไว้แล้ว

 

“เจ้าจะต่อต้านใคร อ๋อ! หลี่อันหลาน ทำข้าตกใจหมด นึกว่าเจ้าจะทำอะไรเสียอีก ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น ถึงขั้นต้องถือหอกถือดาบ ถึงขั้นต้องฆ่าฟันกันเลยหรือ”

 

อวิ๋นเยี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฉิงฉู่มั่ว ถามว่า “จอมขี้เหร่ เจ้าไม่รู้ว่าหลี่อันหลานเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดในใจของข้า ทั้งยังเป็นแผลที่ลึกมาก ข้าบอกกับตัวเองว่าคนที่ข้าอยากแต่งงานด้วยคือซินเย่ว์ เพื่อทำให้ความคิดนี้มั่นคงข้าได้หมั้นกับซินเย่ว์แล้ว ก็เพื่อต้องการหยุดความคิดที่ไร้สาระของตัวเอง ใครจะรู้ว่าความรู้สึกอันนี้เป็นเหมือนด้ายป่านรัดกาย ตัดก็ตัดไม่ขาด ทำให้ความคิดสับสนวุ่นวาย เจ้าไม่ใช่ข้า ไม่เข้าใจความรู้สึกที่สับสนปนเปเช่นนี้หรอก”

 

“ยังนึกอยู่ว่าเจ้ากำลังว้าวุ่นอยู่กับอะไร ก็แค่เรื่องผู้หญิงสองคนเองไม่ใช่หรือ เจ้าก็แต่งทั้งสองคนก็สิ้นเรื่อง ต้องกลัดกลุ้มถึงเพียงนี้หรือ” นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาตามนิสัยของเฉิงฉู่มั่ว เรียบง่าย เถรตรง แต่จะเห็นผลหรือไม่ก็ยังไม่รู้ อย่างไรก็ตามเขามักจะโชคร้ายเสมอ

 

“พูดความในใจกับเจ้า เจ้าช่วยเสนอความคิดที่ดีให้ข้าหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร ซินเย่ว์จะต้องเป็นภรรยาเอก ไม่เช่นนั้น สำนักศึกษาต้องพังไม่เป็นท่าแน่ หลี่อันหลานก็ไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาเอก นิสัยนางแข็งเกินไปแล้วทำอะไรไม่ใช้ความคิด มักต้องการแต่เพียงความสะใจชั่วครู่เท่านั้น ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา พูดตามตรงภรรยาเช่นนี้ ใครแต่งด้วยต้องโชคร้าย ที่ข้าโชคร้ายก็คือข้าไปหลงรักนาง หากแต่งงานกับนาง ครอบครัวคงต้องพินาศแน่ ไม่มีวันสงบสุขแม้แต่วันเดียว หนำซ้ำนิสัยหัวดื้อที่เหมือนลาพุ่งชนกำแพงก็ไม่ยอมหันหลังเช่นนาง ช้าเร็วต้องก่อเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน อยู่ในวังท่านยายไม่รัก ท่านลุงไม่โปรด หากไม่เป็นเพราะฮองเฮายังมีความปราดเปรื่องอยู่ แม้แต่กระดูกนางก็หายไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแม้นางจะไม่มีฐานะเป็นองค์หญิง แต่ความเป็นจริงนางคือองค์หญิงอย่างแท้จริง ไม่สามารถเป็นภรรยาเอก[2]อีกคนได้ ด้วยนิสัยนางเช่นนั้น เหมาะจะเป็นภรรยาเอกอีกคนหรือ”

 

อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างหงุดหงิด เดินไปเดินมาโดยไม่มีความคิดที่ดีเลย ปกติพยายามไม่ไปคิดเรื่องนี้ วันนี้เมื่อพูดถึงแล้ว ก็อยากจะแก้ไขให้จบในคราวเดียว การหลีกหนีก็ไม่ใช่ทางออก

 

“น้องชาย เจ้าจบเห่แล้ว!” นี่เป็นคำพูดสรุปสุดท้ายของเฉิงฉู่มั่วที่พูดออกมา เขาตบไหล่ของอวิ๋นเยี่ย ทุกคำพูดล้วนแล้วแต่ฟังดูเวทนา

 

ถึงเวลาแล้ว เขาจะต้องกลับไปที่ค่ายทหารแล้ว อวิ๋นเยี่ยมองดูเขาหายไปในยามค่ำคืน ตัวเองกลับไปที่พักและเตรียมตัวเข้านอน

 

หลังจากนับจำนวนแกะไปหลายพันตัวแล้ว สติของอวิ๋นเยี่ยก็ค่อยๆ เลือนราง ปากก็พูดพึมพำว่า “หลี่อันหลาน เจ้าอย่าเข้ามาในความฝันของข้าอีกเลย…”

 

 

 

——

 

[1] อู๋เซี่ยงเหลียวตงลั่งสื่อเกอ บทกวีที่แต่งในปลายสมัยราชวงศ์สุย เนื้อหาเกี่ยวกับการปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้านทางการ

 

[2] ในสมัยสังคมศักดินา ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน โดยภรรยาเอก เรียกว่า เจิ้งชี และหากมีภรรยาเอกอีกคนจะเรียกว่า ผิงชี