เมื่ออวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดชั้นในของเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจมาวิเคราะห์ว่า คนที่เมื่อคนกอดกันพัลวันกับเขาแท้จริงแล้วเป็นใคร อย่างไรเสียเขาก็เห็นใบหน้าไม่ชัด ซึ่งสิ่งนี้ล่ะที่แปลก เพราะอะไรเวลาฝัน จึงเห็นใบหน้าของคนอื่นไม่ชัดเจน แต่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร
ไฉเซ่ากำลังจะเริ่มลงมือแล้ว เขารอมาหนึ่งเดือนเต็มๆ ไม่ได้รับรายงานทางการทหารของหลี่จิ้ง แต่กลับได้ข่าวว่าซูติ้งฟางเข้าประจำการที่เขาเอ้อหยางหลิ่ง เรื่องการลอบโจมตีของหลี่จิ้งนั้นเป็นของตาย เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของเขตหลงซี มีอำนาจสิทธิ์ขาด สามารถโจมตีศัตรูได้ทุกที่ทุกเวลา ขอเพียงเขาเต็มใจ ซึ่งจุดนี้เองที่ไฉเซ่าไม่สามารถทนรับได้ เขาขอคำสั่งเปิดศึกจากหลี่จิ้งหลายต่อหลายครั้ง โดยหวังว่าเขาจะเคลื่อนพลจากซั่วฟางโจมตีเมืองเซียงเฉิงได้ แต่คำตอบที่หลี่จิ้งให้แก่เขาก็คือรักษาเมืองซั่วฟางมาโดยตลอด
ซั่วฟางเป็นดาบแหลมเล่มหนึ่งที่ต้าถังปักไว้ในใจกลางสำคัญของทูเจวี๋ยตะวันออก ห้ามเกิดข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยเองก็เข้าใจความคิดของหลี่จิ้งที่ว่า ขณะที่หลี่จิ้งกำลังนำกองกำลังบุกออกไป ให้รักษาแนวหน้าที่มั่นคงไว้เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝั่ง
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไฉเซ่าไม่คิดเช่นนี้ เขามักคิดว่าหลี่จิ้งต้องการให้กองทัพห้าหมื่นนายของเขานั่งกินนอนกินรอความตาย ไม่เช่นนั้นทำไมหลี่จิ้งจึงยกทัพเข้าอวิ๋นจง เห็นชัดว่าเขาวางแผนที่จะตัดทางถอยของข่านเจี๋ยลี่ แม้แต่หลี่เต้าจงและหวังเซี่ยวเจี๋ยก็เคลื่อนทัพตาม มีเพียงซั่วฟางเท่านั้นที่ถูกขอให้ตั้งทัพอย่าเคลื่อนพล
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เดือนสิบเอ็ดก็มาถึงแล้ว บรรยากาศในเมืองซั่วฟางเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มมีการให้อาหารข้นแก่ให้ม้าศึก ทหารเริ่มถูกออกคำสั่งไม่ให้ออกจากค่ายทหารโดยพลการ ทหารผ่านศึกเริ่มลับคมดาบและเตรียมชุดเกราะ โดยใช้วิธีนี้เพื่อขจัดความตึงเครียดในใจของพวกเขา
ความเร็วของม้าศึกที่พยายามผลักดันให้วิ่งต่อวันเกือบจะเหมือนกับกองทัพกลางของเยอรมันในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็คือหนึ่งร้อยหกสิบลี้ แน่นอนว่านี่คือความเร็วในการเคลื่อนที่ของอาชาเหล็กของชาวมองโกเลีย ความเร็วของการเคลื่อนทัพของทหารซั่วฟางในวันที่หิมะตกหนักนั้นได้แปดสิบลี้ต่อวันก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้ว สถานที่ทั้งสองอยู่ห่างกันหกร้อยลี้ ต้องใช้เวลาสิบวันในการเดินทางบนบก ซึ่งต่างจากซูติ้งฟางที่อยู่ในเอ้อร์เสียนหลิ่ง ที่เพียงแค่เดินทางสี่วันก็สามารถไปถึงเมืองเซียงเฉิงได้แล้ว ถ้าหากมีเพียงไม่กี่คนที่ออกศึก เพียงสามวันก็สามารถไปถึงแล้ว เขาได้เปรียบเรื่องตำแหน่งที่ดี
ไฉเซ่าตัดสินใจเตรียมจะบุกเมืองเซียงเฉิง วันที่สี่ เดือนสิบเอ็ด ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิอย่างน้อยก็ต่ำกว่าติดลบสิบห้าองศาเซลเซียส ไม่มีลม ทหารม้าชั้นเลิศสามพันนายได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไฉเซ่าให้หนิวจิ้นต๋าอยู่ป้องกันเมืองเซียงเฉิง ส่วนตนเองนำกำลังด้วยตัวเองไปจับข่านเจี๋ยลี่กลับมาทั้งเป็น
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจว่าข่านเจี๋ยลี่จะตายหรือไม่ แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าไฉเซ่าจะตายหรือไม่ สิ่งที่ทำให้เขากังวลก็คือเขาพาเฉิงฉู่มั่วออกไปด้วย อวิ๋นเยี่ยแบ่งถุงเท้าและถุงมือผ้าฝ้ายออกมาให้เฉิงฉู่มั่ว ทั้งยังเอากาเหล้าเล็กและยาไป๋เย่าใส่อกเสื้อให้แก่เขาด้วย พูดตักเตือนและย้ำเตือนเป็นหนักหนาว่าตระกูลเฉิงไม่ได้ต้องการให้เขาเอาชีวิตมาล้อเล่น ขอเพียงกลับมาได้อย่างปลอดภัย ครั้นเห็นใบหน้ารำคาญใจของเฉิงฉู่มั่ว เขาจึงจับเฉิงตงทหารคนสนิทมาข่มขู่ ถึงต้องแลกด้วยชีวิตของเขาก็รับปากว่าจะพาเฉิงฉู่มั่วกลับมาอย่างปลอดภัย แม้ว่าต้องรบจนตัวตายก็ตามที ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเฉิงเป็นหนี้น้ำใจเขา ภายหน้าลูกของเขาจะต้องได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างแน่นอน ครอบครัวจะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ตระกูลเฉิงและตระกูลอวิ๋นยังคงอยู่ ก็จะต้องทดแทนหนี้น้ำใจนี้ตลอดไป
เฉิงตงขอบตาแดงเสียแล้ว เขาเจ็บใจที่ไม่สามารถรบจนตัวตายได้ทันทีเพื่อคำมั่นสัญญาจากอวิ๋นเยี่ยที่เป็นตัวแทนของสองตระกูล ชีวิตน้อยๆ ของเขามันไร้ค่ามานานแล้ว เขาจึงตบหน้าอกสาบานว่าจะต้องปกป้องคุณชายน้อยให้กลับมาอย่างปลอดภัย ขอให้อวิ๋นเยี่ยวางใจได้
ไม่มีพิธีสาบานอันงดงามยิ่งใหญ่อะไร มีเพียงคำพูดหนึ่งประโยคของไฉเซ่า ทหารม้าสามพันนายก็เดินทางออกจากประตูเมืองไปพร้อมกับลากเลื่อนหนึ่งร้อยคันที่บรรทุกเสบียงกองทัพสำหรับสิบวัน อวิ๋นเยี่ยยืนมองพวกเขาจากไป จิตใจก็ค่อยจมดิ่งลง ไม่รู้ว่าพี่น้องกวนจงสามพันคนจะมีสักกี่คนกันที่จะกลับมาอย่างปลอดภัย
ขณะยืนอยู่หัวเมืองมองดูร่างของพวกเขาหายไปจากระยะสายตา จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องไห้ นี่คือสงครามตงทูเจวี๋ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ หนังสือประวัติศาสตร์บันทึกเพียงหลี่จิ้งบุกตีเมืองเซียงเฉิงแตกในค่ำคืนหิมะโปรย ไม่มีบันทึกว่าสุดท้ายแล้วในสงครามครั้งนี้ที่ทำให้ชาวฮั่นตื้นตันเป็นพันๆ ปีสูญเสียทหารไปจำนวนเท่าไร ความรุ่งโรจน์นั้นถูกย้อมด้วยเลือด และเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
กองกำลังที่สองของเซวียว่านเช่อจะเริ่มออกเดินทางหลังจากนี้อีกสามวันเพื่อเป็นกำลังเสริม อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธคำแนะนำของซุนซือเหมี่ยวที่จะไปแนวหน้า เขาตั้งใจจะไปดูด้วยตัวเอง เมื่อเหล่าซุนเห็นว่าโน้มน้าวเขาไม่ได้จึงได้ไปหาเหล่าหนิว คิดไม่ถึงว่าเหล่าหนิวกลับสนับสนุนให้อวิ๋นเยี่ยไปแนวหน้า
“เขาคืออู่โหว[1] การเข้าสู่สนามรบเป็นเรื่องของเวลาช้าเร็วเท่านั้น เห็นสนามรบเร็วขึ้นหนึ่งวันก็ได้รับประโยชน์เร็วขึ้นหนึ่งวัน เหล่าซุน พวกเราไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต ในภายหน้าลูกหลานอีกหลายตระกูลจะต้องพึ่งพาเขารักษาเอาไว้ ในวันหน้าเขาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าตอนนี้มากนัก เขาเป็นเด็กฉลาดและรู้จักหนักเบา”
เหล่าซุนไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ถอนหายใจยาวๆ และกลับไปที่ห้องเพื่อศึกษาค้นคว้าการผสมสมุนไพรต่อไป ตอนนี้เขายุ่งวุ่นวายมากจนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
การทำศึกสงครามในสมัยโบราณนั้น ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ยดูเหมือนจะเป็นการรอคอยที่ยากลำบากมาก สามวันแล้วไฉเซ่าไม่มีข่าวคราวอะไรเลย จดหมายต่อว่าของหลี่จิ้งถูกส่งมาถึงแล้ว และออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าหนิวจิ้นต๋าต้องปกป้องเมืองซั่วฟางอย่างเข้มงวด หากเคลื่อนทัพออกจู่โจม ห้ามเคลื่อนย้ายทหารหลวงแม้เพียงคนเดียว กล่าวคือเซวียว่านเช่อไม่สามารถไปได้แล้ว และไฉเซ่าถูกปล่อยทิ้งอย่างสิ้นเชิง
หลี่จิ้งบางทีอาจจะเป็นผู้บัญชาการไร้พ่ายที่ไม่มีวันรบแพ้ท่านหนึ่ง แต่มันคือจุดอ่อนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คำสั่งข้อนี้ในด้านการทหารถือว่าเป็นคำสั่งที่ชาญฉลาด แต่ถ้าในด้านการเมืองถือเป็นคำสั่งที่โง่เขลาเป็นอย่างมาก ถ้าหากทหารสามพันนายของไฉเซ่าพ่ายแพ้ในเมืองเซียงเฉิง แม้เขาจะสามารถฆ่าชาวทูเจวี๋ยได้หมดสิ้น ก็ไม่สามารถชดเชยความผิดเรื่องการสูญเสียไฉเซ่าได้ สิ่งที่รอคอยเขาอยู่จะเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่าความพ่ายแพ้ในสงคราม ซึ่งสิ่งนี้ดีต่อประเทศแต่เลวร้ายต่อตนเอง
ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่ก็เป็นชีวิตที่ยากลำบาก บั้นปลายชีวิตเก็บตัวอยู่ในจวนไม่ก้าวขาออกจากจวนเป็นเวลาสิบปี รอยกายเต็มไปด้วยการทรยศและแผนการชั่วร้าย อวิ๋นเยี่ยไม่อยากสนิทกับเขามากเกินไปเพราะมันจะเดือดร้อนมาถึงตน ผู้ที่เป็นชายชาติทหารอย่างแท้จริง ชะตากรรมมักถูกกำหนดให้ต้องผันผวน ไม่สามารถทำได้อย่างที่ตนมุ่งมั่น
เหล่าหนิวถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เซวียว่านเช่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่ทว่ากระดาษคำสั่งเพียงแผ่นเดียวทำให้พวกเขายากจะขยับตัว สามารถพูดได้ว่าการกระทำของไฉเซ่าคือประหารก่อนค่อยกราบทูล ที่เด่นที่สุดคือการลงโทษข้อที่ว่าการส่งกองทหารโดยพลการ อาศัยศีรษะของไฉเซ่ามารับความผิดข้อนี้ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าหากตอนนี้เหล่าหนิวและเซวียว่านเช่อส่งกองทหารออกไป หากหลี่จิ้งประหารพวกเขาก็ถือว่าพวกเขาตายเปล่า ขัดคำสั่งกองทัพ นี่เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาดในกองทัพ
ในวันที่หก หกวันผ่านไปนับตั้งแต่ที่ไฉเซ่าเคลื่อนกำลัง อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะลงมือแล้ว แม้ว่าจะดูไม่ฉลาด แต่เขาก็ยังต้องทำเช่นนี้ ทหารหลวงห้ามเคลื่นอย้าย เช่นนั้นทหารเสริมในมือเขาก็เคลื่อนพลได้ นอกจากนี้เขาเป็นขุนนางทางการแพทย์ที่มาเพื่อป้องกันและรักษาโรคระบาด ไม่ได้อยู่ในรายชื่อการทำสงคราม ซึ่งก็หมายความว่าหลี่จิ้งควบคุมเขาไม่ได้
คนรับใช้ชราพยุงสวี่จิ้งจงออกมา เขามองอวิ๋นเยี่ยเหมือนมองคนโง่คนหนึ่ง ในฐานะหนึ่งในสิบแปดบัณฑิต ของจวนฉินอ๋อง มีหรือที่เขาจะดูสถานการณ์ไม่ออก
“อวิ๋นโหวต้องการไปที่ใดกัน”
“ไม่มีอะไร ไปดูเมืองเซียงเฉิงเสียหน่อย”
“จุดแข็งของอวิ๋นโหวไม่ได้อยู่ในการทำศึก แต่อยู่ที่การเป็นเบื้องหลัง เหตุใดจึงละทิ้งเรื่องที่ถนัดไปทำเรื่องที่ไม่ถนัดด้วย”
“พี่น้องข้าอยู่ที่เมืองเซียงเฉิง เบื้องหน้าต้องบุกเมืองและไม่มีกำลังเสริม ข้าตั้งใจจะเป็นกำลังเสริมให้เขา และถือโอกาสนำเสบียงอาหารไปให้พวกเขา”
“แม่ทัพหนิวคงไม่เห็นด้วยที่จะให้เจ้าทำเช่นนี้ นอกจากนี้หากเหตุจะเกิดมันก็ย่อมต้องเกิด เจ้าไปเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้าก็เสมือนตั๊กแตนขวางล้อรถ” สวี่จิ้งจงบางทีอาจจะไม่คุ้นเคยกับการเป็นคนดี แม้แต่คำเกลี้ยกล่อมคนอื่นก็ยังพิจารณาถึงผลได้ผลเสีย
“ไม่เป็นไร ข้าแค่หวังว่าร่างกายของข้าจะแข็งพอ ทำให้ล้อรถช้าลงบ้างก็ยังดี”
“มันดูค่อนข้างโง่ที่จะทำเช่นนี้ แต่มันน่าประทับใจมาก” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“เจ้าไม่เข้าใจ บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถใช้ผลได้ผลเสียมาประเมิน ข้ากล้าเดิมพัน ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าจะมีแต่ความอึดอัดใจ ไม่มีวันมีความสุข”
เหล่าจวงจูงม้าศึกมาและพยุงอวิ๋นเยี่ยขึ้นมา แล้วจึงช่วยเขาผูกเสื้อคลุม ทหารคนอื่นๆ ก็พลิกตัวขึ้นหลังม้าเตรียมออกเดินทาง
สวี่จิ้งจงดึงเหล็กปากม้าของอวิ๋นเยี่ยไว้แล้วถามอย่างจริงจัง “อวิ๋นโหว เจ้าจะไม่พิจารณาใหม่อีกครั้งจริงๆ หรือ หากใต้หล้านี้ขาดเจ้าไป ข้าคงหมดสนุกไปอีกมาก”
“เราเป็นคนสองคนที่แตกต่างกัน เจ้าก็ค่อยๆ เน่าเปื่อยอยู่ท่ามกลางแผนการอันชั่วร้ายของเจ้าเถอะ” หลังจากพูดจบก็ผลักสวี่จิ้งจงออกและขี่ม้าจากไป
ชายสองร้อยสี่สิบเจ็ดคนที่หน้าประตูเมืองขนลากเลื่อนสองร้อยตัวเตรียมพร้อมออกเดินทาง พวกเขาได้เปลี่ยนชุดเกราะใหม่แล้ว และอาวุธในมือก็เปลี่ยนเป็นอาวุธมาตรฐานในกองทัพ ธนูแข็ง หน้าไม้หนัก ไม่มีขาดสักสิ่ง อวิ๋นเยี่ยยังเห็นว่ากงซุนเจี่ยแอบปะปะอยู่ในฝูงชน ข้างหลังยังมีรถม้าอยู่ที่คลุมด้วยผ้าใบกันน้ำ ไม่รู้ว่าคืออะไร
“ท่านกงซู การไปครั้งนี้ของข้าอันตรายยิ่งนัก เหตุใดตระกูลกงซูถึงยังต้องการจะมาพัวพันด้วย”
“เพราะการกระทำที่โง่เขลาครั้งนี้ของเจ้า ทำให้ตระกูลกงซูเราเห็นความหวังของการฟื้นฟูตระกูล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องไปเสี่ยงกับเจ้าด้วย”
“ทำไม ก็รู้ดีว่าวิธีการของข้านั้นไม่ฉลาดเลย ในเวลานี้ควรต้องหลีกห่างให้ไกลถึงจะถูก การจะมาแสวงหาความชอบในเวลานี้มันไม่ใช่พฤติกรรมของคนฉลาดเลย” ถูกคนอื่นด่าว่าโง่เขลาอีกแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงไม่ค่อยพอใจ
“ได้เห็นคนฉลาดมามากแล้ว ตระกูลกงซูข้าเสียเปรียบให้คนฉลาดมามากมายนัก ดังนั้นครั้งจึงเลือกคนที่ดูค่อนข้างโง่หน่อย เพื่อดูว่าจะมีโชคดีหรือไม่”
“อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน พวกเรามีแค่สามร้อยคนที่กำลังก้าวเข้าสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของพวกเคราดก เจ้าสวดภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกัน จริงสิ ถ้าเจ้ารบจนตัวตาย สวัสดิการที่สำนักศึกษาที่เราคุยกันไว้ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีก” ด้วยความที่อวิ๋นเยี่ยดีใจ จึงได้โพล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา
“ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ตระกูลกงซูของข้าสืบทอดกันมานานนับพันปีแล้ว และไม่ได้ดีแต่ชื่อเท่านั้น เรื่องการรักษาชีวิตรอดก็พอมีอยู่บ้าง ทางที่ดีเจ้าจงมีชีวิตรอดกลับมา มิฉะนั้นตระกูลเจ้าคงสูญเสียเยอะเป็นแน่” เขาตบลากเลื่อนด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ในเมื่อเป็นตระกูลกงซู เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าใบกันน้ำนั้นก็คงจะไม่ธรรมดา
ประตูเมืองเปิดออก เหล่าจวงขี่ม้าออกจากเมืองเป็นคนแรก ด้านหลังติดตามมาด้วยองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นเยี่ยอย่างใกล้ชิด ทหารม้านับร้อยก็เริ่มเคลื่นพลพร้อมกัน ซึ่งดูละม้ายคล้ายกับกองทัพใหญ่กำลังเคลื่อนพล
เหล่าหนิวยืนอยู่บนหอคอยกำแพงเมือง มือที่ถือลูกธนูอยู่สั่นเทาเล็กน้อย พยายามไม่พูดอะไรสักคำ คำพูดที่ควรพูดเมื่อคืนนี้ก็พูดจนหมดสิ้นแล้วแต่ก็ไร้ประโยชน์ เวลาเจ้าหนุ่มใช้อารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าอะไรก็ฟังไม่เข้าหูเลย ช่างเถอะ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจสักครั้ง มีชนรุ่นหลังเช่นนี้ เหล่าหนิวรู้สึกว่า แม้ว่าครอบครัวของเขาจะติดตามเด็กคนนี้แล้วต้องกินรากหญ้า ก็คงไม่มีคำคร่ำครวญใดๆ แล้วกระมัง ประเดี๋ยวเขาก็ภูมิใจในตัวอวิ๋นเยี่ย ประเดี๋ยวก็เป็นห่วงอวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถรับรู้ได้ เขารู้สึกตื่นเต้นกับการเป็นแม่ทัพใหญ่นำกองกำลังออกรบ เสื้อคลุมถูกลมแรงพัดจนเกิดเสียงปะทะกับสายลม เขาอยากจะตะโกนกู่ก้องแต่ก็อยากร้องไห้ ไม่ว่าคนเราจะอยู่ที่ใดก็มักจะพบกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้
——
[1] อู่โหว หมายถึง โหวเหยียของฝ่ายบู๊