ในที่สุดรถลากเลื่อนกว่าสามร้อยตัวก็ได้เข้าสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุด กองทหารเป็นเหมือนทรายเล็กๆ และโดดเดี่ยว ลมหนาวพัดผ่าน ธงกองทัพของอวิ๋นเยี่ย พลิ้วไปมาในสายลม เศษหิมะที่ถูกลมพัดใส่หน้าทำให้รู้สึกเจ็บ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องคลุมผ้าเช็ดหน้าบนใบหน้า ดวงตาที่หรี่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งมองไปยังถนนด้านหน้า การเดินบนหิมะเป็นเวลานานต้องมีที่ปิดตา มิฉะนั้นไม่นานนักดวงตาจะถูกแสงของหิมะที่อยู่บนพื้นสะท้อนจนตาแดงบวมและอักเสบ ซึ่งก็คืออาการที่คนในยุคปัจจุบันเรียกกันว่าตาบอดหิมะ โชคดีที่เมื่อตอนออกเดินทางเขาคิดถึงปัญหาข้อนี้ จึงได้หาผ้าบางสีดำจำนวนหนึ่งมาปิดไว้กันการสะท้อนของหิมะ แม้ว่าจะกระทบต่อการมองเห็นบ้าง แต่มันกลับเป็นประโยชน์มากในการป้องกันอาการตาบอดหิมะ …เพียงแต่ภาพลักษณ์อาจจะดูแย่สักหน่อย ทั้งกองกำลังรีบเร่งเดินบนหิมะอย่างเงียบๆ แต่ละคนคลุมผ้าโปร่งสีดำซึ่งเหมือนกองโจรกองหนึ่ง
ทหารที่นั่งอยู่บนรถลากเลื่อนด้านหน้าสุดก็คือทหารตัวน้อยคนนั้นที่เคยขอรองเท้าอวิ๋นเยี่ย เขาเปิดผ้าคลุมหน้าออกไม่ยอมหยุดเพื่อมองหิมะแต่ไกลๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อโดนทหารผ่านศึกตบศีรษะเข้าให้ครั้งหนึ่งจึงยอมหยุดลง
“อาห้า ทำไมพวกเราถึงต้องใช้ผ้าดำคลุมหน้าด้วย พวกเราไม่ใช่พวกหนวดดกและก็ไม่ใช่กองโจร ทำไมถึงต้องคลุมหน้า” ทหารตัวน้อยยังคงค่อนข้างลุกลี้ลุกลน
“ไอ้หมาน้อย เอาผ้าคลุมหน้าไว้ให้ดีๆ พวกเราไม่ควรลืมตานานบนพื้นหิมะนี้ ไม่เช่นนั้นจะตาบอดได้ โหวเหยียนั้นหวังดีจึงได้เตรียมผ้าให้คนละชิ้น เมื่อก่อนเวลาออกรบพวกเราเจอกับสภาพหิมะตกหนัก ก็ได้แต่เอาผิวหนังที่ขาดวิ่นมาปิดตาไว้ ก็ไม่เชื่อเรื่องปีศาจอะไร ด้วยเหตุนี้ดวงตาจึงบวมเหมือนลูกท้อ มองไม่เห็นอะไรเลยจนผ่านไปเจ็ดถึงแปดวันจึงได้มองเห็นอีกครั้ง หากเจ้าไม่อยากให้ดวงตาเป็นอะไรไปก็จงนั่งให้เรียบร้อยและตั้งใจเงี่ยหูฟัง” อาห้าจับไอ้หมาน้อยดันเข้าไปข้างในรถลากเลื่อน หยิบหนังแกะเก่าๆ ออกจากย่ามสองกระเป๋ามาห่อไว้บนตัวเขา
ด้านหน้ามีรถลากเลื่อนเปิดทางให้ ด้านหลังมีรถลากเลื่อนตามมาอย่างใกล้ชิด หิมะที่ถูกไม้ของรถลากเลื่อนกดทับเป็นแผ่นน้ำแข็ง ทำให้รถลากเลื่อนด้านหลังไหลเลื่อนได้ง่ายขึ้นมาก ร่องรอยสองเส้นที่คดโค้งเริ่มจากเมืองซั่วฟางค่อยๆ ทอดยาวออกไปสู่แดนไกล
ระยะทางหนึ่งร้อยลี้นอกเมืองล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพถัง ตอนนี้นับว่ายังปลอดภัยอยู่ หมาน้อยยังได้เก็บไก่ที่หนาวจนแข็งตายมาสองตัว ถอนขนหางที่ยาวที่สุดมาเสียบไว้ที่ศีรษะแล้วตะโกนกู่ร้อง
อวิ๋นเยี่ยก็ลงมาจากหลังม้าและนั่งลงบนรถลากเลื่อน ลากเลื่อนของตระกูลกงซูนั้นสร้างได้ละเอียดอ่อนมากและใหญ่ขึ้นมาก เมื่อนั่งลงไปก็แทบจะไม่รู้สึกถึงแรงกระแทก อวิ๋นเยี่ยจึงนอนแผ่ยื่นสองมือสองเท้าบนรถลากเลื่อน มองก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้า รถลากเลื่อนไหลไปอวิ๋นเยี่ยก็ไหลตามไปด้วย ก้อนเมฆสีขาวราวหิมะดูเหมือนจะจดจำแต่อวิ๋นเยี่ย ลอยเอื่อยๆ อยู่เหนือศีรษะของอวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเคลื่อนไหวอย่างไรมันก็ยังคงอยู่บนศีรษะไม่จากไปไหน
“อวิ๋นโหว ในสำนักศึกษามีเด็กจำนวนมากเต็มใจที่จะเรียนรู้งานฝีมือของพวกเราจริงๆ น่ะหรือ” เขาพูดต่ออย่างค่อนข้างเกรงใจว่า “ข้าไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า เพียงแต่ไม่กล้าคิดจินตนาการ พวกเขากำลังเรียนคำสอนของขงจื้ออยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงจะสนใจของเหล่านี้”
“เหล่าเจี่ย ไม่ถือใช่ไหมหากข้าจะเรียกเจ้าเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยเอ่ยปากถามกงซูเจี่ย
“ชื่อนี้เป็นเพียงคำแทนตัว เจ้าอยากเรียกว่าอะไรก็ตามใจ แต่ภายหน้านักเรียนเหล่านั้นจะเรียกแบบขอไปทีเช่นนี้ไม่ได้”
“ได้ เหล่าเจี่ย ข้าแปลกใจมาโดยตลอด วิชาสุดยอดแต่ละชนิดของตระกูลกงซูของเจ้าเกือบจะเรียกได้ว่ามีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลก ทำไมถึงได้รับปากกับข้าที่จะสอนสิ่งเหล่านี้กับคนอื่นๆ ง่ายๆ เดิมข้าคิดว่าการที่จะโน้มน้าวพวกเจ้าได้ คงเป็นเรื่องที่ยากมาก ใครจะรู้ พวกเจ้าดูเหมือนจะกระตือรือร้นจนรอไม่ไหวแล้ว เพราะเหตุใดกัน” อวิ๋นเยี่ยถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจ
“ตระกูลกงซูแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความคิดที่ไร้สาระเกี่ยวกับการเก็บความรู้ไว้กับตัว มีนักเรียนที่ฉลาดหลักแหลม พวกเราดีใจยังแทบจะไม่ทันไหนเลยจะขับไล่คนอื่นไป เพียงแต่ซั่วฟางสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการขยายการศึกษา ชาวฮั่นน้อย ชาวเผ่าหูพวกเราก็ไม่ต้องการสอน เห็นคนมีความสามารถลดน้อยลง เจ้าว่าพวกเราควรกระตือรือร้นหรือไม่”
บางทีการอาศัยในทุ่งหญ้าจิตใจของคนก็เปิดกว้างขึ้นไปด้วย กงซูเจี่ยเด็ดหญ้าสีขาวที่โผล่ออกมาจากหิมะมาคาบไว้ที่ปาก หันไปยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยพลิกตัวพลางพูดอย่างเกียจคร้าน “จะสนใจว่าใครวางแผนอะไรใคร ข้ารู้แค่ว่าความรู้ที่ตระกูลกงซูมีนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก การดำชีวิตของพวกเราในวันหน้าจะเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเจ้า ต้าถังได้รับประโยชน์ก็พอแล้ว ประชาชนใต้หล้าได้รับประโยชน์ก็พอแล้ว ใครจะสนใจว่าพวกเจ้ามาที่สำนักศึกษาได้อย่างไร เหล่าเจี่ย เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม สำนักศึกษาที่พวกเจ้ากำลังเผชิญหน้านั้นมีความสำคัญมากกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”
“คำพูดเหล่านี้ฟังดูซาบซึ้งใจมาก แต่ทำไมเจ้าไม่พูดอย่างหนักแน่นเข้มแข็งกว่านี้หน่อย มันจะได้เป็นแรงกระตุ้นข้าได้มากกว่าการที่เจ้าจะพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อโลกเช่นนี้มากมายนัก”
“เลิกเถียงกันดีกว่า ตระกูลของเจ้าถือเป็นหมาจิ้งจอกฝูงใหญ่ การพูดจาชักนำที่ไม่ผ่านมาตรฐานเช่นนี้ ข้าไม่สนใจทำหรอก ประหยัดน้ำลายอีกนิดจะไม่ดีกว่าหรือ การออกจากเมืองครั้งนี้ เป็นตายยังไม่อาจคาดเดาได้ ข้าโง่เขลา เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ยอมฉลาดขึ้นมาบ้าง”
“เจ้ารู้ไหมว่าท่านพ่อข้าเมื่อได้ยินว่าเจ้าต้องการนำทหารเสริมออกจากเมืองเพื่อไปสมทบกับกองกำลังที่จะลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิง เขาดีใจมากจนดื่มเหล้าจุ้ยหยางชุนของตระกูลมั่วติดต่อกันสามกา เมาจนแทบสลบไป ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นพ่อข้าดีใจขนาดนี้มาก่อนเลย ท่านบอกว่า ช่างดีจริง ในที่สุดก็ได้พบคนโง่เข้าแล้ว ทั้งยังบอกว่าคนโง่เช่นเจ้าเป็นพวกหายากในรอบหลายร้อยปี โง่จนไม่ต้องการชีวิต เป็นครั้งแรกที่ตระกูลข้าได้พบเจอ พ่อบอกว่าการเลือกครั้งนี้นั้นถูกต้อง มันคุ้มค่าที่ตระกูลกงซูจะเทหมดหน้าตัก ยังบอกอีกว่าเจ้าเป็นคนไม่ทิ้งเพื่อน แม้แต่กับทหารตัวเล็กๆ ก็ไม่ละทิ้ง ต่อไปจะใช้ตระกูลกงซูเป็นหมากได้อย่างไร ดังนั้นคราวนี้ข้ามาก็เพื่อพาเจ้ากลับมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หากเจ้ากลับไปไม่ได้ จากความหมายของท่านพ่อ ข้าก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว” กงซูเจี่ยค้อนอวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้า วางท่าทางของผู้สูงส่ง
อวิ๋นเยี่ยอ้าปากค้าง ได้ยินแต่ว่าชอบคนฉลาด ไม่เคยได้ยินคนที่ชอบติดตามคนโง่ หากเป็นเช่นนี้ การเสี่ยงภัยครั้งนี้มันช่างคุ้มค่าเสียจริง ในฐานะที่เป็นชาวมณฑลส่านซีในยุคปัจจุบัน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับรู้ถึงศึกสำคัญที่สุดของต้าถัง ข่านเจี๋ยลี่ในตอนนี้ตัวเขากำลังดิ้นรนอยู่ระหว่างการต่อสู้ที่เละเทะย่ำแย่ มีหรือจะมีกะจิตกะใจมาสนใจกองทหารที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ตอนนี้เกรงว่าเขากำลังปวดศีรษะอยู่กับเรื่องน้องชายที่หักหลังเขา ทหารสองร้อยคนของซูติ้งฟางก็สามารถทำให้โลกของเขาเละเทะไม่เป็นท่าได้ อาชาเหล็กสามพันคนของไฉเซ่าไม่น่าที่จะสู้ข่านเจี๋ยลี่ไม่ได้กระมัง
ตระกูลของเหล่าเฉิงมีบุญคุณต่อเขา ชาตินี้คงพัวพันกับตระกูลนี้จนแยกจากไม่ได้ อย่าเห็นว่าพ่อลูกตระกูลเฉิงเอาแต่โลภยึดของของอวิ๋นเยี่ย เช่น แว่นกันแดด พลั่ว ถุงนอนอะไรจำพวกนี้ นี่เป็นวิธีที่พวกเขาพ่อลูกแสดงความรู้สึกที่ดีให้อย่างหนึ่ง การที่เอาสิ่งต่างๆ ของคุณไปอย่างไม่เกรงใจ ตรงกันข้าม คุณก็สามารถนำสิ่งต่างๆ ของเขาไปได้โดยไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน ในยุคนี้มีแต่ตระกูลที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงจะทำเช่นนี้ได้ เช่นตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยสามารถแอบเข้าหลังบ้านของตระกูลเฉิงได้โดยไม่ต้องส่งเทียบแจ้ง เฉิงฮูหยินก็ไม่ถือสาอะไร เหมือนกับบ้านเหล่าหนิว อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วสามารถบุกฝ่าเข้าไปตรงๆ ได้เลย มีสถานะเช่นเดียวกับหนิวเจี้ยนหู่ในบ้านนี้ ดังนั้นเมื่อเฉิงฮูหยินรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะไปเมืองซั่วฟางจึงดึงมืออวิ๋นเยี่ยไว้ ไหว้วานเขาให้ดูแลเฉิงฉู่มั่วให้ดี ไม่มีอะไรอื่นนั่นเพราะนางเชื่อมั่นว่าอวิ๋นเยี่ยต้องดูแลลูกชายนางได้แน่ และจะพาลูกชายของนางกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยชีวิตของเขา นี่เป็นความไว้วางใจมากเพียงใดกัน คนต้าถังไม่เชื่อถือใครง่ายๆ หากจะเชื่อใครสักคนก็จะไหว้วานด้วยชีวิต อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจว่าจะไม่ผิดต่อความไว้วางใจนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องออกจากเมืองให้ได้ พูดตามตรงว่า ชีวิตของไฉเซ่าในสายตาของอวิ๋นเยี่ย เทียบไม่ได้กับผมแม้แต่เส้นเดียวของเฉิงฉู่มั่ว
กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้นมาก ท้องฟ้าก็มีลมหมอกพัดขึ้น การจะหาที่กำบังในทุ่งหญ้ากว้างไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าจะหาเนินเขาเล็กๆ ได้ลูกหนึ่ง พวกเหล่าจวงได้หยิบพลั่วออกมาขุดดินเป็นที่ว่างเปล่าได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นผูกรถลากเลื่อนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเมืองรถเล็กๆ ทหารเสริมนำโล่เสียบไว้บนขอบของรถลากเลื่อนซึ่งมีการออกแบบเป็นพิเศษไว้สำหรับรองรับแล้ว กระโจมแต่ละหลังค่อยๆ ตั้งขึ้น ม้าก็ถูกไล่เข้าไปในเนินเตี้ยๆ ที่ใช้กำบังลม เหล่าจวงขุดคูไปตามเนินเขาขึ้นไปบนยอดเขา ทั้งยังขุดรูถ้ำที่สามารถรองรับคนสองคนไว้ที่ด้านข้างด้วย หันมากำชับอวิ๋นเยี่ยอีกครั้งว่าหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ให้รีบมุดเข้ารูถ้ำที่เขาขุดทันที หากสงครามยังไม่สิ้นสุดลงห้ามออกมา
เอาเถอะ ถ้าเป็นเรื่องในสนามรบ ฟังทหารผ่านศึกไว้จะดีกว่า พวกเขามีประสบการณ์ ตัวเองอยู่ในสนามรบก็ไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ รังแต่จะเป็นภาระ หากไม่ต้องการให้พวกเขาต้องพะวงหลัง ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี นี่คือสิ่งที่ช่วยพวกเขาได้มากที่สุด
กองไฟถูกก่อสว่างขึ้น เปลวไฟสีส้มแดงเลียก้นหม้อ หิมะในหม้อกำลังละลาย ไม่นานนักน้ำก็เดือด เหล่าจวงตักน้ำออกมาหนึ่งกระบวยชงชาแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ยกับกงซูเจี่ยคนละถ้วย จากนั้นนำขนมเปี๊ยะโรยงาของเผ่าหูปิ้งบนกองไฟ
อวิ๋นเยี่ยและกงซูเจี่ยสองมือประคองถ้วยชา ดื่มชาร้อนทีละจิบๆ เห็นทหารเสริมใส่ข้าวสาร เส้นและเนื้อตากแห้งลงในหม้อที่ต้มน้ำเดือด วุ่นวายอยู่กับการทำอาหารเย็น บางคนก็ถืออาหารสัตว์ไปเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังมีถังน้ำอุ่นหลายถังที่ใส่เกลือสำหรับให้สัตว์ดื่ม
“ดูอะไร ชีวิตสัตว์ในทุ่งหญ้ามีความสำคัญมากกว่าชีวิตคนมาก ไม่ว่าอะไรก็ต้องให้ความสำคัญกับพวกมันก่อน จากนั้นจึงค่อยเป็นพวกเรา ถึงเจ้าจะเป็นโหวเหยียแต่ก็ไร้ประโยชน์” กงซูเจี่ยดูเหมือนจะชอบรสชาติของชานี้มาก ไม่ใช่เพียงแต่ดื่มชาจนหมด แม้แต่ใบชาก็ยังนำมาใส่ปากค่อยๆ เคี้ยว
เหล่าจวงหยิบถุงหนึ่งใบออกมาจากลากเลื่อน ใส่ตั๊กแตนป่นจำนวนมากลงในหม้อแต่ละใบ ทันใดนั้นก็มีกลิ่นเหมือนไก่ลอยขึ้นมา ทุกคนพยายามฝืนกลืนน้ำลาย รอเวลาอาหารสุก
อาหารไม่น่ากิน อาจพูดได้ว่ามันยากมากที่จะกิน ไม่ว่าอะไรก็ใส่ลงไปต้มในหม้อ รสชาตินี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกือบจะบ้า แต่คราวนี้เขาไม่ได้เป็นวัยรุ่นที่ติดตามมากับกองทัพ แต่เขาเป็นผู้บัญชาการทัพ การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้ใต้บังคับบัญชาคือเงื่อนไขเบื้องต้น เหล่าจวงรู้ดีว่าโหวเหยียปากสูงเพียงไหน เขาต้องไม่เคยชินกับการกินอาหารหยาบของกองทัพ จึงหยิบขนมเปี๊ยะแห้งหนึ่งชิ้นจากกระเป๋าสะพายหลังแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าเขาจะส่ายศีรษะ ก้มหน้าลงแล้วฝืนกลืนของเหลวชามใหญ่ชามนั้นลงไปด้วยความทรมาน
หมาน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก เขาไม่ได้กินอาหารอร่อยๆ เช่นนี้มานานหลายปีแล้ว หรือสามารถพูดได้ว่าเขาไม่เคยกินอิ่มท้องเลยตั้งแต่เกิดมา ในความทรงจำของเขามีแต่ความรู้สึกหิวโหยอันน่าหวาดกลัว ความรู้สึกนั้นเหมือนถูกฝังเข้าแกนกระดูก โยนทิ้งก็ไม่ได้สลัดก็ไม่หลุด จนกระทั่งโหวเหยียหนุ่มคนนั้นเป็นผู้ดูแลกองทหารเสริม เขาจึงรู้สึกอิ่มเป็นครั้งแรก เขาไม่เข้าใจว่าของที่อร่อยเช่นนี้ทำไมดูเหมือนว่าเขากำลังกินยาขมมิปาน ทั้งยังกินด้วยท่าทีทรมานอย่างหาที่สุดไม่ได้
คนร่ำรวยปกติอยู่บ้านกินอะไรกัน ทุกวันมีบะหมี่ขาวหรือข้าวไหม ช่างเป็นของล้ำค่าจริงๆ ที่เรากินในวันนี้คือข้าวสวยทั้งยังมีเนื้ออีก อาหารเช่นนี้เขายังไม่ชอบอีกหรือ ทหารองครักษ์คนนั้นเพิ่มอะไรในอาหาร ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมเช่นนี้ ทหารผ่านศึกบอกว่ามันคือกลิ่นไก่ หรือจะบอกว่าโหวเหยียกินไก่ทุกมื้อ นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดที่หมาน้อยคิดออกมาได้