สายลมพัดผ่าน และสถานการณ์ก็สงบลง

 

หลังจากความเงียบพักใหญ่ๆ ผู้อาวุโสหานของสำนักอู๋ซินก็สูดหายใจเข้าแล้วพูดออกมาในที่สุด “วิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนนี่สมกับชื่อของมันจริงๆ และผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนก็มีฝีมือไม่ธรรมดาเลย”

 

ในตอนนี้ เขาได้ย้ายความสนใจทั้งหมดมาที่เฉินเฉิน ผู้สืบทอดที่พึ่งถูกเลือกของสำนักเทียนหยุน

 

เนื่องจากต้วนปิงมีคุณสมบัติในการฝึกฝนสุดยอดหวังฉินเต๋า เขาจึงเป็นหนึ่งในพวกระดับสูงของสำนักอู๋ซินอย่างแน่นอน

 

มีเพียงไม่กี่คนในแปดสำนักทางเหนือที่สามารถเทียบเคียงฝีมือกับต้วนปิงได้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่เอาชนะเขาได้เลย

 

ดังนั้น ดูเหมือนว่าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนจะไม่ใช่ธรรมดา…

 

“เจ้าชื่ออะไร!”

 

ต้วนปิงที่อยู่ไกลออกไปลุกขึ้น แล้วเช็ดเลือดที่มุมปากของเขา จากนั้นก็มองไปทางเฉินเฉินอย่างไม่พอใจ

 

“เฉินเฉินแห่งสำนักเทียนหยุน”

 

หลังจากที่ตอบคำถามอย่างเมินเฉย เฉินเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอก ผู้สืบทอดจำเป็นต้องแสดงความสุขุมเอาไว้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเขา

 

แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันกลับไปมอง แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงสายตาแห่งความชื่นชมที่กำลังจ้องมองมาทางเขา

 

สายตาทั้งหมดนั้นมาจากศิษย์หญิงของสำนักเทียนหยุน! และมันก็ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจเล็กน้อย

 

‘ความมีเสน่ห์นี่มัน…ควบคุมไม่ได้จริงๆเลยนะ!’

 

“วันนี้ข้าจะจดจำความพ่ายแพ้เอาไว้! และในอนาคตข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน!”

 

ในขณะที่ต้วนปิงยั่วยุเฉินเฉินและเผยความคุกคามออกมา เฉินเฉินก็กำลังยุ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง

 

“ระบบ ในระยะ 30 เมตรมีศิษย์หญิงคนไหนที่หลงรักข้ารึเปล่า?”

 

“มีทั้งหมด 18 คนค่ะ มีคนนึงอยู่ทางซ้ายของท่าน 3 เมตร…. และอีกคนนึงอยู่ 7 เมตรข้างหลังด้านซ้ายของท่าน….”

 

หลังจากฟังคำตอบของระบบ เฉินเฉินก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออกและตอบกลับต้วนปิงอย่างแผ่วเบา

 

ต้วนปิงได้กลับมาอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสหานอย่างโกรธเคือง

 

ความจริงที่ว่าเฉินเฉินไม่แม้แต่จะเก็บคำพูดของเขาใส่ใจเอาไว้คือสาเหตุของความหงุดหงิดของเขา

 

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย พี่ใหญ่เซี่ยว เจ้าได้เจอศิษย์ดีๆของตัวเองแล้วสินะ”

 

ผู้อาวุโสหานพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจ

 

แม้ว่าเฉินเฉินจะมีร่างวิญญาณสายฟ้าและแข็งแกร่งมาก เขาก็ยังแค่พึ่งเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน

 

ในขั้นสร้างรากฐานนั้น เขาคงไม่สามารถสร้างความวุ่นวายได้มากนัก

 

ยิ่งเฉินเฉินแข็งแกร่งเท่าไหร่ เซี่ยวอู่โยวก็จะยิ่งให้ความสำคัญมากเท่านั้น

 

และมันก็คงจะยิ่งมีความหมายมากขึ้นสำหรับการให้คนที่เซี่ยวอู่โยวให้ความสำคัญเดินทางไปที่เมืองหลวง

 

“พวกเราสร้างความอับอายให้ตัวเองต่อหน้าท่านซะแล้ว พี่ใหญ่จ้าว” เซี่ยวอู่โยวพูดอย่างเย็นชา

 

เมื่อเห็นว่าเซี่ยวอู่โยวโมโหแล้ว ผู้อาวุโสหานก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทดสอบเขาต่อ

 

ตามรายงานที่ได้รับจากสายข่าวของเขา สำนักเทียนหยุนนั้นประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ดังนั้น เขาควรให้ความสำคัญกับบางสำนักที่ไม่ค่อยเชื่อฟังมากกว่า

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ยิ้มแล้วตอบกลับ “ในเมื่อพี่ใหญ่เซี่ยวไม่ต้อนรับพวกเรา พวกเราก็แค่กลับ สำนักอู๋ซินไม่ใช่สำนักที่ไร้เหตุผล ในส่วนของการรองรับที่เราจัดสรรไว้ให้นั้น ผู้สืบทอดของเจ้าสามารถพาผู้อาวุโสระดับแก่นทองคำไปด้วยได้หนึ่งคนและระดับศิษย์อีกสองคน”

 

 

“ผู้อาวุโสจ้าวของสำนักเราจะตามไปด้วย ในส่วนของศิษย์อีกสองคนนั้น…”

 

ในจุดนี้ เซี่ยวอู่โยวมีความลังเลขึ้นมา

 

การเดินทางนี้คล้ายกับการเข้าไปในรังของมังกรเพราะมันอันตรายมาก เฉินเฉิน ผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การคุ้มกันของจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับแก่นทองคำ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงศิษย์คนอื่นเลย

 

ถ้าพวกเขาตามเฉินเฉินไปที่เมืองหลวง พวกเขาก็คงจะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย!

 

เซี่ยวอู่โยวไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยม เขาไม่สามารถทนส่งแม้กระทั่งศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดไปสู่หนทางแห่งความตายได้

 

ในขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น เสียงนึงก็ดังขึ้นมาจากฝูงชนอย่างกระทันหัน

 

“พี่ใหญ่! ข้าขอไปกับท่านด้วย!”

 

หลังจากที่พูด จางจีก็โผล่ออกมาจากฝูงชนและมายืนอยู่ข้างๆเฉินเฉิน

 

ผู้อาวุโสแปรธาตุที่อยู่ใกล้กับทั้งสอง กระพริบตาให้ศิษย์ของเขาจางจีอย่างกระวนกระวาย แต่จางจีก็ไม่ได้สนใจเลย

 

ในขณะที่มองจางจีที่มีใบหน้าจริงจัง เฉินเฉินก็ตบไหล่ของเขาแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ดีมากน้องชาย!”

 

จางจียิ้มออกมาในทันทีที่เห็นว่าเฉินเฉินไม่ได้ปฏิเสธ

 

‘พี่ใหญ่ช่างสมกับเป็นพี่ใหญ่จริงๆ ไม่เพียงแค่เขาจะเข้าใจข้า แต่เขายังไม่อายเลยด้วย’

 

อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงตะโกนมาจากศิษย์ภายในและภายนอกที่อยู่ไม่ไกลด้วย

 

“ศิษย์พี่ใหญ่! ข้าจะไปกับท่านด้วย!”

 

“ท่านผู้สืบทอด! ขอข้าไปด้วยคนเถอะ! ข้าจะจัดการดูแลเรื่องทุกอย่างให้เองและจะอุ่นเตียงให้ท่านด้วย!”

 

“ท่านผู้สืบทอด! ถึงแม้ว่าข้าจะมีระดับการฝึกตนที่ต่ำแต่ข้าเป็นคนที่ขยันมาก! ข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถเป็นผู้เยี่มยุทธ์ได้จนกว่าข้าจะได้ประสบและแบกรับความยากลำบาก!”

 

เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันเมื่อเห็นศิษย์ร่วมสำนักของเขากำลังแข่งกันเพื่อให้ได้ติดตามเขาไปด้วย

 

‘เจ้าพวกโง่นี่ไม่รู้หรอว่าการเดินทางครั้งนี้มันอันตรายมากๆ?’

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเผยแพร่และปลูกฝังความคิดในแง่บวกให้กับพวกศิษย์มากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ มันมากจนพวกเขาสูญเสียการตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง

 

ในขณะที่มองดูพวกเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน เซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกใจหาย เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าสำนักเทียนหยุนจะรุ่งเรืองขึ้นมากขนาดไหนหลังจากที่เขาเกษียณและเฉินเฉินขึ้นเป็นเจ้าสำนักต่อจากเขา

 

แต่น่าเสียดายที่เวลาไม่เคยคอยใคร

 

‘ถ้าแค่สำนักเทียนหยุนมีเวลาซักอีกสิบปีหล่ะก็’

 

หลังจากที่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ เซี่ยวอู่โยวก็มองเฉินเฉิน

 

“ศิษย์เอ๋ย ในเมื่อทุกคนยินดีที่จะไปเมืองหลวงกับเจ้า เจ้าก็จงเลือกด้วยตัวเองเถอะ”

 

เฉินเฉินรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ถ้าเป็นไปได้ เขาก็คงจะพาไปแค่จางจี เขาไม่เห็นความจำเป็นในการพาศิษย์คนอื่นไปด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสหาน เขาก็รู้สึกถูกกดดันให้พาไปอีกคน

 

“ท่านผู้สืบทอด! พาข้าไปด้วยเถอะ!”

 

ในขณะที่มองใบหน้าที่จริงใจทั้งหลาย เฉินเฉินก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

 

ในตอนนี้ เรือยักษ์สีดำที่อยู่เหนือพวกเขาค่อยๆลดระดับลงมาและหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าของสำนักเทียนหยุน

 

มีคนหกคนกำลังยืนอย่างเงียบๆอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ และมองฉากข้างล่างด้วยสายตาที่เย็นชา

 

“ข้าเคยเห็นผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าสีดำมาก่อน เธอคือโยวหลานชิน ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุย!”

 

“แสดงว่าอีกห้าคนที่เหลือก็น่าจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักอื่นสินะ!”

 

ศิษย์ภายในกระซิบกระซาบกันเองในขณะที่พวกเขามองผู้สืบทอดทั้งหก

 

เมื่อเทียบกับศิษย์ธรรมดา คนกลุ่มนี้มีความซับซ้อนและดูมีอำนาจเหนือกว่ามาก

 

ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นชัดเจน

 

เมื่อผู้สืบทอดของทั้ง 36 สำนักได้ไปยืนอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวง พวกเขาคงจะทำให้เกิดภาพอันยิ่งใหญ่ได้เลยไม่ใช่หรอ?

 

พวกเขาน่าจะไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ศิษย์หลายคนที่มีความสามารถต่ำก็อดรู้สึกท้อใจไม่ได้

 

พวกเขาไม่ได้กลัวอันตราย แต่พวกเขารู้สึกกลัวว่าจะไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์แบบนั้นได้

 

แม้กระทั่งเซี่ยวอู่โยวก็ยังอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้…. แม้ว่าเฉินเฉินจะมีความสามารถที่เก่งกาจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการเข้าร่วมงานใหญ่โตเลย

 

ครู่ต่อมา จ้าวเสี่ยวหยาและศิษย์ภายในอีกไม่กี่คนที่ผ่านมาถึงขั้นสร้างรากฐานแล้วก็เป็นแค่กลุ่มเดียวที่กล้าติดตามเฉินเฉินไปในการเดินทางครั้งนี้

 

เฉินเฉินมองจ้าวเสี่ยวหยาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเฉินเฉินก็หันไปมองคนอื่น และในที่สุดก็มาหยุดลงที่ซุนเทียนกัง

 

“ศิษย์น้องซุน ครั้งนี้พวกเราคงจะต้องเดินทางไกลและอนาคตก็ไม่แน่นอน ระดับการฝึกตนของศิษย์น้องคนอื่นยังไม่สูงพอ แต่สำหรับเจ้านั้น…”

 

ซุนเทียนกังประหลาดใจกับคำพูดของเขา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเฉินเฉินเลือก

 

ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ในฐานะคนแรกที่ท้าประลองกับเฉินเฉิน เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคู่แข่งของเฉินเฉิน

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไป ใครมันจะพาศัตรูร่วมเดินทางไปด้วยหล่ะ?

 

‘หรือว่าเฉินเฉินจะมองเขาเป็นลูกน้องมาโดยตลอด’

 

ในตอนนี้เอง ซุนเทียนกังรู้สึกสับสนเล็กน้อย

 

ในอีกด้านนึง เฉินเฉินเหลือบมองคนทั้งหกที่ยืนอยู่บนเรือเหาะด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นเขาก็หันกลับมาแล้วถาม “ในสำนัก เจ้าเป็นศิษย์คนเดียวที่มีระดับการฝึกตนเป็นรองแค่ข้า เพราะฉะนั้นข้าขอถามหน่อย เจ้ากล้าติดตามข้าไปที่เมืองหลวงเพื่อมองดูพวกระดับสูงของสำนักอื่นในรัฐจิน และหาดูว่ามันมีอะไรที่พวกเขาแตกต่างจากคนธรรมดารึเปล่าหล่ะ?”

 

เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ซุนเทียนกังก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันทีในขณะที่เขาอุทานออกมาจากจิตใต้สำนึก “มีอะไรต้องกลัวด้วยรึไง!?”