“ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าสมาชิกจากสำนักอู๋ซินคนไหนที่กำลังมา”

 

ในขณะที่มองเรือยักษ์ เซี่ยวอู่โยวก็หัวเราะคิกคักในขณะที่มุ่งหน้าตรงออกไปจากตำหนักหลัก

 

ทั้งเฉินเฉินและผู้อาวุโสจ้าวได้เดินตามหลังเขาไปอย่างใกล้ชิด

 

หลังจากนั้นไม่นาน คนมากมายก็ได้มาอยู่เบื้องหน้าประตูภูเขาของสำนักเทียนหยุน

 

ณ ตอนนี้ ศิษย์ของสำนักเทียนหยุนจำนวนมากได้มารวมตัวกันที่ประตูภูเขาแล้วและได้ยืนจัดแถวอย่างเป็นระเบียบภายใต้การจัดการของผู้อาวุโสทั้งหลาย

 

ด้วยความที่เป็นนิกายที่เข้าร่วมกับสำนักอู๋ซิน แม้ว่าสำนักเทียนหยุนจะเน้นปกครองตัวเองอย่างมากแต่ก็ยังต้องรักษาความเคารพกับสำนักอู๋ซินไว้ที่ภายนอก

 

 

ครู่ต่อมา…

 

ชายแก่คนนึงและเด็กหนุ่มคนนึงได้ลงมาจากเรือยักษ์สีดำ

 

ทั้งสองคนนี้สวมชุดคลุมสีขาวที่มีลวดลายสีดำทั้งคู่ และดูค่อนข้างเข้มงวดและเย็นชา ในทันทีที่พวกเขาลงมาถึงพื้น ก็มีแรงกดดันกระจายไปรอบๆอย่างเห็นได้ชัด

 

กลุ่มศิษย์สำนักภายในและภายนอกมีความหวาดกลัวเขียนอยู่บนหน้าของพวกเขาในตอนที่พวกเขาได้มาเผชิญหน้า

 

ในครั้งนี้ผู้อาวุโสใหญ่รีบก้าวออกมาทำความเคารพชายแก่คนนั้น

 

“พวกเราขอให้การต้อนรับเหล่าคณะศักดิ์สิทธิ์ของสำนักอู๋ซินด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุดครับ!”

 

ผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินพยักหน้าเล็กน้อยและจากนั้นก็กวาดตามองฝูงชนที่ยืนเรียงรายกันอยู่ก่อนที่จะถามอย่างเคร่งขรึม “เซี่ยวอู่โยวอยู่ไหน?”

 

“เจ้าสำนักจะมาที่นี่ในเร็วๆนี้ครับ….” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบด้วยสีหน้าหดหู่

 

มันเป็นความจริงที่คนของสำนักอู๋ซินมารับพวกเขาและนี่ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจเหนือกว่า ไม่อย่างนั้น เหตุใดถึงมีเรื่อยักษ์ลอยอยู่เหนือหัวพวกเขาและแผ่แรงกดดันออกมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับคนสองคนที่พึ่งลงมาหล่ะ?

 

พวกเขาน่าจะออกมาเพื่อสร้างปัญหา!

 

“เซี่ยวอู่โยวนี่ช่างน่านับถือเสียจริง หึ” ผู้อาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนที่จะหลับตา

 

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อและก้าวออกมาข้างหน้าในทันที

 

“ในเมื่อสำนักเทียนหยุนมีทายาทใหม่เข้ามา ข้าก็อยากจะขอดูหน่อยว่ามันสมควรรึเปล่า”

 

หลังจากที่เขาพูด พลังปราณของชายหนุ่มจากสำนักอู๋ซินก็แผ่ซ่านออกมาอย่างกะทันหัน และเกิดเป็นแรงกดดันวิญญาณอันแข็งแกร่งที่กดดันซุนเทียนกังที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มศิษย์

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มจากสำนักอู๋ซินจะโจมตีในทันทีที่เขามาถึง!

 

ซุนเทียนกังกัดฟันของเขาและอุทานออกมา “จุดสูงสุดของสร้างรากฐาน!”

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็กดฝ่าเท้าของเขาเอาไว้ด้วยความยากลำบากเพื่อต้านทานแรงกดดันของพลังปราณอันแข็งแกร่ง

 

“เหอะ”

 

ชายหนุ่มจากสำนักอู๋ซินหัวเราะอย่างเย้ยหยันในขณะที่ความหนาวเหน็บปรากฎขึ้นในพลังปราณที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา

 

ด้วยความที่ตั้งตัวไม่ทัน ซุนเทียนกังได้ถอยหลังไปหลายก้าวในขณะที่ใบหน้าของเขาซีดเผือดในทันที

 

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มจากสำนักอู๋ซินไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ และควบคุมพลังปราณเพื่อปกคลุมกลุ่มศิษย์สำนักเทียนหยุนแทน

 

“เจ้ากำลังทำอะไร!?” ศิษย์สำนักภายในส่วนนึงที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานรีบเข้ามาข้างหน้าเพื่อกันแรงกดดันให้กลุ่มศิษย์สำนักภายนอก

 

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขาเองก็ซีดเผือดเหมือนกันและพวกที่มีระดับการฝึกตนอ่อนกว่าก็ถึงกับกระอักเลือดออกมาจากปากของพวกเขา

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กระนั่น พวกเขาก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะถอยเพราะมีกลุ่มศิษย์ภายนอกอยู่ข้างหลังพวกเขาซึ่งอาจจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงได้ถ้าพวกเขารับแรงกดดันโดยตรง

 

“ศิษย์พี่!”

 

กลุ่มศิษย์ภายนอกที่ยืนอยู่ข้างหลังและได้รับการปกป้องจากซุนเทียนกังอุทานด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตาม มันไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้

 

การประชันว่าใครมีออร่าแข็งแกร่งกว่าระหว่างเซียนสองคนที่ไปถึงขั้นสร้างรากฐานแล้วไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ภายนอกอย่างพวกเขาที่ยังไปไม่ถึงแม้กระทั่งฝึกพลังปราณขั้นที่เจ็ดจะสามารถเข้าร่วมได้

 

ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คือจ้องมองชายหนุ่มของสำนักอู๋ซินอย่างเดือดดาล

 

“เหล่าคณะศักดิ์สิทธิ์ของสำนักอู๋ซิน โปรดเมตตาด้วย!”

 

ผู้อาวุโสใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะกำลังแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจเหนือกว่า แต่พวกเขาก็ควรรู้ข้อจำกัดของตัวเองบ้าง การทำร้ายคนอื่นเพราะความไม่พอใจเพียงเล็กน้อยมันเป็นสิ่งที่มากเกินไป

 

ผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินยังคงหลับตาอยู่ในขณะที่ตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ต้วนปิงฝึกวิชาเต๋าแห่งสุดยอดหวังฉิน ดังนั้นเขาต้องทำตามหัวใจของเขา ถ้าข้าห้ามเขา มันจะส่งผลกระทบกับการฝึกตนของเขาได้ เพราะฉะนั้นคงต้องขอโทษด้วย”

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ใบหน้าของผู้อาวุโสก็ดูหดหู่อย่างเหลือเชื่อ

 

สุดยอดหวังฉินเต๋าคือวิชาสูงสุดของสำนักอู๋ซินและผู้คนส่วนใหญ่ที่ฝึกฝนมันจะมีอารมณ์แปลกๆ โดยเฉพาะพวกที่มีระดับการฝึกตนขั้นแรกๆซึ่งจะอยู่ในระหว่างอารมณ์อ่อนไหวและโหดเหี้ยม

 

มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยที่คนแบบนี้จะทำเรื่องแปลกๆ

 

แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนหยุนด้วยรึไง?

 

‘ศิษย์ของสำนักเทียนหยุนมีไว้เพื่อให้เจ้าได้ฝึกหรอ? หรือเจ้ากำลังลงโทษพวกเราเพราะเจ้าสำนักมาสายไม่กี่นาที?’

 

เมื่อเห็นว่าศิษย์สำนักภายในและภายนอกตกอยู่ในอันตราย ผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องการที่จะปกป้องพวกเขา อย่างไรก็ตาม เขาถูกขัดขวางด้วยพลังที่มองไม่เห็นซึ่งทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้

 

เหมือนกับเขา ผู้อาวุโสคนอื่นๆเองก็ทำได้แค่มองต้วนปิงรังแกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน

 

ในตอนนี้เอง เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจก็ดังมาจากที่ไกลๆ

 

“พี่ใหญ่หาน นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าอยากจะแสดงพลังของเจ้าให้กับสำนักเทียนหยุนในทันทีที่มาถึงเลยรึ?”

 

เมื่อได้ยินเสียง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ในที่สุดเจ้าสำนักก็มาถึงซักที!

 

“พี่ใหญ่เซี่ยว ในที่สุดก็มาสักที ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับสำนักอู๋ซินซะแล้ว แสดงพลังของพวกเราหรอ? มันไม่ใช่เรื่องแบบนั้นหรอก ต้วนปิงแค่ฝึกซ้อมกับเหล่าน้องเล็กของสำนักเทียนหยุนเท่านั้นเอง”

 

ผู้อาวุโสจากสำนักอู๋ซินที่ถูกเรียกว่า ‘พี่หาน’ ในที่สุดก็ลืมตาในทันทีในขณะที่เขามองไปทางที่ไกลๆ

 

ทั้งสองคนอาจดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่ แต่จริงๆแล้วพวกเขาได้ปะทะพลังปราณกัน

 

คำพูดของเซี่ยวอู่โยวเต็มไปด้วยแรงกดดันที่รุนแรงในขณะที่เขาพยายามจะหยุดต้วนปิง แต่ก็ถูกผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินลบล้างไปได้

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังระดับจุดสูงสุดของแก่นทองคำของเซี่ยวอู่โยว ผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินก็ดูผ่อนคลายเล็กน้อย

 

‘ดูเหมือนว่าข่าวลือที่เซี่ยวอู่โยวเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณแล้วจะไม่เป็นความจริงสินะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สนใจกับแค่ชีวิตของศิษย์ในสำนักเทียนหยุนหรอก’

 

‘แต่ว่า ข้าต้องทำการทดสอบและหยั่งเชิงเขาต่อ ถึงยังไง คนที่จะเป็นเจ้าสำนักได้นั้นก็ต้องมีความฉลาดหลักแหลม’

 

ในขณะที่ผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินกำลังคิดประเมินสถานการณ์ เซี่ยวอู่โยวก็ได้ลงมาถึงพื้นแล้ว เมื่อเห็นว่าต้วนปิงยังไม่มีความคิดที่จะหยุด เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว “เจ้ายังไม่หยุดอีกรึไง!? ผู้อาวุโสหาน เจ้าอยากเริ่มสงครามกับสำนักเทียนหยุนวันนี้เลยใช่ไหม!?”

 

มีทั้งความโกรธและความกังวลแสดงอยู่บนหน้าของเซี่ยวอู่โยว เขาเป็นห่วงศิษย์ของเขาแต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

 

อย่างไรก็ตาม ต้วนปิงไม่ได้สนใจเซี่ยวอู่โยว แต่เขากลับยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นแทน

 

ในอีกด้านนึง ศิษย์ภายในบางคนของสำนักเทียนหยุนที่มีระดับการฝึกตนสูงเริ่มซวนเซอย่างไม่มั่นคงเหมือนกับเรือที่อยู่ท่ามกลางพายุซึ่งพร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อแล้ว

 

ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้เอง คนๆนึงก็ปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้าศิษย์ภายในมากมายอย่างเงียบๆ

 

ในทันทีที่คนๆนี้ปรากฏตัว ความกดดันของศิษย์ภายในก็ผ่อนคลายขึ้น

 

ในขณะที่จ้องมองแผ่นหลังที่คุ้นเคย ศิษย์ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“ผู้สืบทอด…”

 

“ผู้สืบทอดอยู่ที่นี่แล้ว!”

 

 

“หืม? เจ้าคือผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนสินะ?”

 

เมื่อได้ฟังวิธีที่ศิษย์ภายในเรียกเฉินเฉิน ต้วนปิงก็มีความสนใจเพิ่มขึ้นมาในทันทีในขณะที่เขาโยกย้ายพลังปราณและนำมาลงที่เฉินเฉิน

 

ด้วยการรักษาใบหน้าที่เรียบเฉยเอาไว้ เฉินเฉินก็ยืนตรงหน้าศิษย์สำนักเทียนหยุนทุกคนอย่างเงียบๆ ร่างกายของเขาเปรียบเสมือนกำแพงที่ไม่สามารถผ่านได้

 

“น่าสนใจ”

 

ต้วนปิงไม่ได้ตกใจแต่กลับดีใจแทน ในขณะที่เขาเดินมาข้างหน้า พลังปราณในร่างกายของเขาก็พุ่งพล่านขึ้นมาในทันที

 

ด้วยการปะทะกันของพลังปราณของพวกเขา คลื่นแรงกดดันวิญญาณก็ก่อตัวขึ้น และปล่อยสายลมแรงที่พัดต้นไม้รอบๆ

 

ในตอนที่ศิษย์ภายในและภายนอกเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

 

แม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินก็มองเฉินเฉินด้วยความประหลาดใจ

 

ก่อนจะมาที่สำนักเทียนหยุน เขาได้เดินทางไปหกจากแปดสำนักทางเหนือมาแล้ว และไม่มีศิษย์คนไหนในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของสำนักอื่นที่สามารถเทียบเคียงกับต้วนปิงได้

 

“ดี ดีมากๆ!”

 

ต้วนปิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและก้าวมาอีกก้าวในขณะที่ความเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา และพื้นที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็เริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง

 

ในขณะที่มองพื้นที่อยู่ใกล้กับเท้าของเขากำลังถูกแช่แข็ง เฉินเฉินไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยและแค่เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเรียบเฉย

 

เปรี๊ยง!

 

หลังจากนั้นในทันที สายฟ้าก็ผ่าลงมาดังสนั่นระหว่างเซียนหนุ่มทั้งสอง

 

พื้นผิวน้ำแข็งได้ถูกเปลี่ยนเป็นซากในทันที

 

ในขณะเดียวกัน ร่างกายของต้วนปิงก็กระเด็นไปข้างหลังและกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปด้วยเสียงดังตุ๊บ

 

โดยไม่ได้มองต้วนปิงที่กระอักเลือดออกมา เฉินเฉินก็หันหลับกลับไปอย่างเงียบๆแล้วกลับไปอยู่ข้างหลังเซี่ยวอู่โยว