“เอาล่ะ แค่ล้อคุณเล่นเท่านั้น พูดเรื่องสำคัญดีกว่า” มือทั้งคู่ของการันต์ใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวตัวใหญ่ และจ้องมองเธออย่างจริงจัง “มายมิ้นท์ สำหรับไฝสีแดงที่ข้อมือซ้ายของคุณนั้น คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้าง?”
“ไฝแดงจะไปมีความคิดเห็นอะไรได้?” มายมิ้นท์ไม่ค่อยเข้าใจ
แว่นตาของการันต์สะท้อนแสง “เพราะว่าคนที่มาลอบทำร้ายคุณในครั้งนี้ เป้าหมายที่แท้จริงนั้น ก็เพื่อที่จะทำลายไฝแดงที่ข้อมือคุณนี้”
“อะไรนะคะ?” มายมิ้นท์อึ้งไปครู่หนึ่ง “ทำลายไฝแดงที่ข้อมือฉันเหรอคะ?”
“ใช่ ตัวคุณคงไม่รู้ว่าแผลที่ข้อมือคุณนั้นมันเป็นยังไง แต่ผมรู้ แผลที่ข้อมือคุณนั้น เป็นรูปวงกลมอันหนึ่ง ใหญ่กว่าไฝแดงแค่นิดเดียว เพราะฉะนั้นสามารถเห็นได้จากสิ่งนี้ว่า คนคนนั้นต้องการที่จะทำลายไฝแดงของคุณ ถึงได้ตีคุณให้สลบ”
“มันเป็นแบบนี้เหรอคะ?” มือขวาของมายมิ้นท์จับข้อมือซ้ายที่พันผ้าพันแผลอยู่
การันต์เดินเข้ามา “เพราะฉะนั้นผมถึงได้ถามคุณว่า มีความคิดเห็นอะไรต่อไฝแดงเม็ดนี้หรือเปล่า หรือบางที ไฝแดงเม็ดนี้ อาจจะหมายถึงอะไรหรือเปล่า คนคนนั้นถึงต้องมาทำลาย”
ในดวงตาที่สูญเสียความสว่างไสวไปของมายมิ้นท์เต็มไปด้วยความขุ่นมัว ส่ายหน้าแล้วก็ถามขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ค่ะ ไฝแดงเม็ดนี้ของฉันมันมีแต่กำเนิด จะไปหมายถึงอะไรได้ละคะ?”
ถ้าเกิดจะสามารถหมายถึงอะไรได้จริง ๆ เธอที่เป็นเจ้าของไฝแดงนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้เรื่องนี่
แล้วอีกอย่าง ก็แค่ไฝแดงเม็ดเดียวเท่านั้น เธอไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมถึงได้ทำให้คนไม่ชอบนัก
“เอาเถอะ ดูท่าความลับของไฝแดงเม็ดนี้ของคุณจะเก็บซ่อนไว้ได้ลึกมากเลย ลึกจนคุณที่เป็นเจ้าของนี้ยังไม่รู้เรื่องเลย แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ผมสามารถแน่ใจได้เลย” การันต์ชักมือข้างหนึ่งออกมา แล้วลูบคางเล็กน้อย “นั่นก็คือไฝแดงเม็ดนี้ อาจจะเป็นภัยคุกคามให้กับคนอื่น คนคนนั้นก็เลยต้องรีบมาทำลายทิ้ง”
นี่คือสิ่งที่เขาแยกแยะออกมาตามหลักจิตวิทยา
และที่สำคัญนอกจากสิ่งนี้แล้ว เขาก็ไม่มีทางอธิบายได้ ว่าไฝแดงเม็ดนี้มีค่าอะไรให้คนต้องมาจดจ้องด้วย
“ภัยคุกคาม……” มายมิ้นท์ก้มหน้าลง แล้วพึมพำคำนี้ขึ้นมารอบหนึ่ง ในใจเต็มได้ด้วยความเยาะเย้ย
จะไม่ให้เยาะเย้ยได้ยังไง? ภายใต้สถานการณ์ที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็มีศัตรูเยอะขึ้นมาอีกคนแล้ว
และอีกอย่างเธอรู้สึกว่าการคงอยู่ของเธอ ราวกับว่าเป็นภัยคุกคามของคนทุกคน อย่างเช่นส้มเปรี้ยว และอย่างเช่นคนในตอนนี้
ก่อนหน้านี้ตัวเธอเป็นภัยคุกคามต่อส้มเปรี้ยว เพราะฉะนั้นส้มเปรี้ยวจึงอยากฆ่าเธอ นึกว่ากระทำแบบนี้ ถึงจะทำให้อยู่กับเปปเปอร์ได้ตลอดไป
แต่ว่าตอนนี้ แม้แต่ไฝเม็ดเดียวบนตัวเธอ ก็ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นไปแล้ว
งั้นครั้งหน้าอะไรจะเป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นอีกล่ะ เส้นผมเหรอ? หรือว่าหนังหนา ๆ บนตัวเหรอ?
พอมองเห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยของมายมิ้นท์ การันต์ก็ปรับระดับเตียงผู้ป่วยให้เธอ “มองในแง่ดี ถึงคนคนนี้จะมองคุณเป็นภัยคุกคาม แต่หล่อนก็ไม่ได้พุ่งมาเอาชีวิตคุณ ไม่งั้นก็ฆ่าคุณไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? แต่หล่อนกลับแค่ทำลายไฝของคุณไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่าต่อไป หล่อนคงจะไม่ทำอะไรคุณแล้ว ในเมื่อบนตัวคุณไม่มีอะไรที่เป็นภัยคุกคามต่อหล่อนได้อีกแล้ว สำหรับคุกคามยังไงนั้น รอให้จับคนคนนั้นได้แล้วก็จะรู้เรื่องเอง เอาล่ะ คุณนอนพักสักหน่อยเถอะ สมองที่โดนกระทบกระเทือนของคุณยังไม่หายดี จะต้องพักผ่อนให้เยอะ ๆ ไม่งั้นอีกเดี๋ยวก็จะสะอิดสะเอียนอยากจะอวกอีกแล้ว”
มายมิ้นท์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบอืมไปคำหนึ่ง “ฉันรู้แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ”
พูดตามตรง ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกสะอิดสะเอียนอยากจะอวกแล้ว และก็เวียนหัวเป็นอย่างมากด้วย
มายมิ้นท์หลับตาลง แล้วหัวเอียงไปข้างหนึ่ง แล้วนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว
พอการันต์ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอของเธอ ก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป
หมู่บ้านในเมือง ทางภาคเหนือ
พวกคุณลุงคุณป้ากลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ จ้องมองพวกตำรวจและบอดี้การ์ดชุดดำ และซุบซิบนินทาเสียงต่ำกันไป
“พวกเธอดูซิ มีคนมาอีกชุดแล้ว พวกเธอว่าคนพวกนี้มาทำอะไรกันนะ?”
“ไม่รู้ซิ แต่ว่ามีตำรวจมาด้วย ที่หมู่บ้านเราต้องมีคนทำผิดกฎหมายแล้ว คงจะมาจับคนละมั้ง”
“คงจะไม่ใช่บ้านไอ้เชษฐ์หรอกมั้ง ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้ไอ้เชษฐ์ซ้อมเมียมันจนเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว”
“น่าจะไม่ใช่นะ ถ้ามาจับเชษฐ์ ไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนี้หรอกมั้ง แค่ตำรวจมาไม่กี่คนก็พอแล้ว ทำไมยังต้องมีพวกคนที่ดูแล้วเหมือนบอดี้การ์ดของพวกอำนาจมืดด้วยล่ะ? เพราะฉะนั้นจากที่ฉันดูนะ น่าจะเป็นพวกนักโทษหลบหนีอะไร หนีมาที่หมูบ้านเราละมั้ง”
“……”
พวกลุงป้าน้าอาพูดซุบซิบนินทากันไป สอดรู้สอดเห็นกันไม่หยุด
ที่ข้างถนนไม่ไกลนั้น ในรถเบนซ์สีดำคันหนึ่ง ชวนชมได้มองผ่านกระจกหน้าต่างมาที่พวกตำรวจและบอดี้การ์ดพวกนั้น ในดวงตาแฝงไว้ด้วยปฏิกิริยาที่ทำให้คนมองไม่ออก
คนขับรถที่อยู่ข้างหน้าหันหน้ามาดู แล้วถามอย่างไม่เข้าใจขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ คุณไม่ลงไปเหรอครับ?”
“ไม่ลงแล้ว ฉันดูอยู่บนรถสักหน่อยก็พอแล้ว” ชวนชมตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม
คนขับรถไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “งั้นคุณหนูใหญ่มาที่นี่ทำไมเหรอครับ?”
“เพื่อนเก่าคนหนึ่งของฉันพักอยู่ที่นี่ ก็เลยมาเยี่ยมหล่อนสักหน่อย แต่ว่าเมื่อกี้หล่อนเพิ่งส่งข้อความมาให้ฉัน บอกว่าที่บ้านมีแขกมาหา ให้ฉันค่อยมาใหม่ครั้งหน้า” ชวนชมพูดอย่างอ่อนโยนไป มือทั้งคู่ที่วางอยู่บนหัวเข่า กำเข้าหากันแน่น
และเพราะว่ากำไว้แน่นเกินไป ข้อมือตามนิ้วจึงขาวซีดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ในใจเธอกำลังตื่นเต้นและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
คนขับรถมองอะไรไม่ออก จึงพยักหน้าเล็กน้อย “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นพวกเราจะกลับกันเลยไหมครับ?”
“กลับกันเถอะ” ชวนชมหรี่ตาลง
น่าจะไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง
เธอวางแผนได้รัดกุมขนาดนี้ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่!
รถเลี้ยวหัวรถกลับ แล้วก็จากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว
และพอชวนชมจากไปไม่นาน พวกบอดี้การ์ดและตำรวจในหมู่บ้านในเมือง ก็ควบคุมตัวผู้หญิงคนหนึ่งออกมา
ผู้หญิงคนนั้นสูงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดเซนติเมตร รูปร่างผอมบาง ดูไปแล้วน่าจะน้ำหนักประมาณสี่สิบถึงสี่สิบห้ากิโล ซึ่งรูปร่างคล้ายกับที่นายตำรวจสองนายได้พูดไว้ในห้องผู้ป่วยของมายมิ้นท์ในก่อนหน้านั้นเลย
โรงพยาบาลเรด้า
เปปเปอร์ได้รับสายโทรเข้าแล้ว และได้รับรู้ข่าวนี้แล้ว ดวงตาก็มีประกายกะพริบผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
หลังจากที่เขาวางสายไปแล้ว การันต์ก็ถามขึ้นว่า “ดูท่าทางคุณดีใจเป็นอย่างมาก เป็นยังไงบ้าง จับตัวได้แล้วเหรอ?”
ที่ด้านข้าง ลาเต้ที่กำลังจะกลับเพิ่งออกมาจากห้องพักผู้ป่วยของมายมิ้นท์ มาได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดี ก็ตื่นเต้นขึ้นมา แล้วรีบเดินมาทางพวกเปปเปอร์และการันต์
“เมื่อกี้พวกคุณว่าอะไรนะ? คนที่ลอบทำร้ายยาหยี โดนจับแล้วเหรอ?” ลาเต้ถามอย่างตื่นเต้นขึ้นมา
เปปเปอร์เหล่ตามองเขาทีหนึ่ง และไม่ได้ตอบอะไร
การันต์กลับตอบเขาไปว่า “ดูจากท่าทางของประธานเปปเปอร์ เหมือนจะใช่นะครับ!”
“ดีจังเลย!” ลาเต้กำหมัดขึ้นมา “ตอนนี้คนคนนั้นอยู่ที่ไหน?”
การันต์มองไปที่เปปเปอร์
เปปเปอร์เก็บโทรศัพท์กลับไป “ส่งตัวไปที่สถานีตำรวจแล้ว กำลังจะเข้าสู่การสอบปากคำ”
“งั้นผมก็จะไปด้วย ผมอยากได้ยินกับหูตัวเอง ว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นจะต้องทำแบบนั้นด้วย!”
พูดจบ ลาเต้ก็เดินไปทางลิฟต์อย่างรวดเร็ว
การันต์ยักคิ้วเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ขัดขวาง แล้วแตะแว่นเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว คุณบอกกับทางตำรวจสักคำ พอสอบสวนเสร็จแล้ว ก็ให้คนมามอบให้ผม ผมจะเอามาลองยาสักหน่อย ผมเชื่อในความสามารถของคุณ ว่าคุณทำได้แน่นอน ไม่งั้นส้มเปรี้ยวก็ไม่มีทางโดนตัดสินโทษเร็วขนาดนี้หรอก แม้แต่ขั้นตอนการขึ้นศาลยังไม่ต้องทำเลย”
เปปเปอร์เหล่ตามองเขาเรียบ ๆ ทีหนึ่ง “ฉันรู้ รอให้มายมิ้นท์ตื่นมาแล้ว และได้รับรู้สถานการณ์ของผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย แล้วผมจะบอกกับทางตำรวจ แต่ว่าคุณอย่าเอาให้ถึงตายก็พอ”
“วางในเถอะ” รอยยิ้มของการันต์ดูลึกซึ้ง
เปปเปอร์ไม่ได้สนใจเขา แล้วก็ยกเท้าเดินเข้าไปในห้องของมายมิ้นท์เลย
ตอนที่มายมิ้นท์ตื่นมานั้น เป็นเวลาดึกแล้ว
เธอลืมตาขึ้นมา ยังคงเต็มไปด้วยสีดำทั้งหมด มองไม่เห็นอะไรเลย แต่เธอก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูกอย่างเมื่อกลางวันแล้ว
หรือเป็นเพราะรู้ว่าการตาบอดของตัวเองเป็นแค่อาการชั่วคราว เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอก็เลยยอมรับความจริงเรื่องที่ตัวมองไม่เห็นได้อย่างเรียบเฉยแล้ว
และที่สำคัญ เธอก็บอกกับตัวเองในใจว่า จะต้องคุ้นเคยกับชีวิตที่มองไม่เห็นแบบนี้ให้เร็วที่สุด จนกว่าจะฟื้นฟูการมองเห็นกลับมาได้
“เต้!” มายมิ้นท์เอามือยื่นไปกลางอากาศแล้วก็ร้องเรียกออกมาคำหนึ่ง
ตอนแรกเปปเปอร์กำลังก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของเธอ ถึงรู้ว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว ที่สำคัญปากยังเรียกชื่อผู้ชายอื่นอีกด้วย
สีหน้าของเปปเปอร์เคร่งขรึมขึ้นมาทันที ในใจก็รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ แต่ก็ยังลุกขึ้นมาแล้วยื่นมือออกไป จับมือเธอเอาไว้ “ผมเอง!”